ผมตื่นแต่เช้ามืด สดชื่นพร้อมที่สนุกและลุยกับโปรแกรมการท่องเที่ยวในวันอาทิตย์นี้ พอราว 6 โมงเช้านิด ๆ พอล้างหน้าตาแปรงฟันเสร็จก็ลงมาทานอาหารเช้าที่ Coffee Shop ของโรงแรม ๆ มีขนาดกระทัดรัด เก๋ ๆ ทันสมัยอยู่กลางตลาดเก่าเสียมราฐ เมนูอาหารก็ใช้ได้ เป็นไข่ดาว ขนมปังปิ้ง กาแฟ สลัดผัก ทำนองนั้น เมื่อทานเสร็จก็ขึ้นห้องไปทำธุระ แล้วก็ลงมารวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ทันตอน 7:30 น. เพื่อชมเมืองพระนครตามโปรแกรม
อ.โอภาส, ผม และ อาจารย์วรณัย ณ ล้อบบี้โรงแรม Popular เช้าวันที่ 9 มิถุนายน 2562
ผมทักทาย อ.วรณัย และไกด์โอ ร่วมกันถ่ายภาพเล็กน้อยในฐานะศิษย์เก่าสวนกุหลาบด้วยกัน แต่คนละรุ่น
รถบัสพาคณะขึ้นมาทางเหนือของเมืองเสียมเรียบราว 10 กิโลเมตร ผ่านด่านตรวจตั๋ว เจ้าหน้าที่จะใส่เสื้อเชิร์ตสีส้มแขนยาว กางเกงสแล็ค เป็นชุดฟอร์มของพนักงานการท่องเที่ยวที่เมืองพระนคร ของกัมพูชา เขาตรวจกันละเอียดทุกคน ทุกใบและมีเซ้นส์จำแนกได้ว่าคนไหนคนไทย คนกัมพูชา นักท่องเที่ยวผู้ที่แสร้งว่าเป็นชาวกัมพูชา แล้วเข้าชมเมืองพระนครฟรี ๆ อย่าหวังเลยครับ
รถบัสผ่านเข้าพระตูเมืองนครธมทางทิศใต้ ตรงไปยังปราสาทบายน แล้วเลยตรงผ่านปราสาทบาปวน พระราชวัง ลานช้าง ตรงมายังประตูเมืองนครธมทางทิศเหนือ เหตุที่เลือกมาชม ณ จุดนี้ เพราะศิลปะลวดลายต่าง ๆ ของประตูเมืองด้านทิศเหนือ สวยงามและละเอียดพอ ๆ กับทิศใต้ แต่ทว่า มีนักท่องเที่ยวน้อยกว่ามาก ทำให้อิสระและมีเวลาทัศนา ศึกษางามศิลปกรรมได้มากขึ้น
ภาพถ่ายกับคณะทัวร์และวิทยากร เมื่อเช้าวันที่ 9 มิถุนายน 2562 หน้าประตูเข้าเมืองนครธมทางทิศเหนือ
ตรงด้านขวา ด้านนอกประตูเข้านครธมทิศเหนือ ตรงเชิงราวสะพาน
มีเจ้าหน้าที่และนักโบราณคดีกัมพูชากำลังขุดดูชั้นหินดิน สืบอายุโบราณวัตถุกันอยู่
ภาพจากซ้ายไปขวา: ภาพจำลองประตูเข้าเมืองนครธมทางทิศใต้ ถ่ายจากในประตูเมืองออกไปด้านนอก ที่มา: Facebook บล็อก Chaktomuk ของกัมพูชา, วันที่เข้าถึง 3 ตุลาคม 2562. และเสาด้านขวาของประตูเข้าเมืองนครธมทางทิศเหนือ ถ่ายจากด้านนอก เป็นศีรษะช้าง โดยช่างแกะสลักมีความเชี่ยวชาญและมีเชิงช่างวิศวกรรม แกะเสาค้ำยันเป็นงวงช้าง กำลังจุ่มในสระบัว เพื่อรองรับน้ำหนักของเสาไว้
ภาพจากซ้ายไปขวา: ด้านข้างซ้ายของประตูนครธมทางทิศเหนือด้านนอก เป็นราวสะพานแกะสลักเป็นพญามารกำลังยุดนาค ผู้ถือหางนาคไว้ สันนิษฐานว่าเป็นท้าวราพณาสูร หรือ ราวณะ หรือ ทศกัณฐ์, ด้านในของกำแพงเมืองด้านซ้ายของประตูนครธมทิศเหนือ จะเป็นเนินดินถมสูงไว้เพื่อให้ทหารใช้อาวุธขว้างซัดศัตรูได้ถนัด เพื่อป้องกันพระนคร (ซึ่งก็เป็นลักษณะเดียวกันกับเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาค รวมทั้งอยุธยา แต่ปัจจุบันอยุธยาได้ขุดตักออกรื้อถอนไม่เห็นเนินดินแล้ว)
ถัดจากนั้นคณะฯ เดินทางมาด้านในเมืองพระนคร ตรงด้านหน้าลานพระยม (Yama บ้างก็เรียก พระเจ้าขี้เรื้อน รายละเอียดดูใน ลานพระเจ้าขี้เรื้อน) ตรงข้ามกลุ่มปราสาทพระพิธุ (Preah Pithu Group)
ภาพจากซ้ายไปขวา: พระยม (Yama) (ผมตั้งเลนซ์หน้ากล้องไม่ค่อยดีนัก ปรับแต่งได้แค่นี้แหละครับ) ถ่ายเมื่อ 9 มิ.ย.62,
และพระยม ถ่ายเมื่อ 21 ต.ต.61 ปัจจุบันเป็นองค์จำลององค์จริงเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกรุงพนมเปญ
และ หน้าลานพระราชวังที่มีภาพแกะสลักมากมาย แสดงถึงโลกบาดาล ที่มีพญานาคเป็นใหญ่
ภาพจากซ้ายไปขวา: ภาพพญานาคเจ็ดเศียร ตรงด้านล่างของลานพระเจ้าขี้เรื้อน และพระโพธิสัตว์เมื่อครั้งเสวยชาติเป็นม้าพลาหะ (ม้าห้าเศียร)01
คณะเราเดินชม ถ่ายภาพและฟังบรรยายจากอาจารย์ทั้งสามท่าน (อ.วรณัย อ.โอภาส และ ไกด์ซาง) มีความรู้กันมาก ฟังกันไม่ทัน ใช้เวลาที่ลานพระเจ้าขี้เรื้อนร่วมชั่วโมง จากนั้นก็เดินมาจากวัดเทพพระนาม (Tep Pranam) ได้ยินเสียงแม่ค้าร้องเชิญชวนชาวคณะให้แวะทานน้ำมะพร้าวเย็น ๆ กัน ลูกละ US$ 1.0 บ้างก็แวะซื้อบ้างก็เดินกันต่อ
ที่วัดเทพพระนาม (ก่อสร้างตอนปลายสมัยพระเจ้ายโสวรมเทวะที่ 1 ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 9 เพื่ออุทิศแด่พุทธศาสนานิกายเถรวาท) ปัจจุบันยังมีพระภิกษุจำพรรษาและประกอบศาสนกิจ เมื่อคราวก่อน และในคราวนี้ เห็นมีชาวบ้านมานั่งตรงระเบียงศาลาวัดนุ่งผ้าข้าวม้าบ้าง กางเกงขายาว/สั้นปรกติบ้าง พนมมือ น้อมให้พระเอาน้ำราด หลายถังอยู่เหมือนกัน พระท่านก็สวดมนต์พลาง ราดน้ำพลาง เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ให้พ้นทุกข์หมดโศก อะไรทำนองนั้น (ผมถามแม่ค้าชาวกัมพูชาที่ขายน้ำมะพร้าวแถว ๆ นั้น เขาเรียกว่า Sroy Taek - สรอยตึก - รดน้ำมนต์)
ภาพจากซ้ายไปขวา: พระประธานของวัดพระนาม ในศาลา และภาพพระภิกษุกำลังราดน้ำให้ญาติโยม (ผมนำภาพเมื่อ 21 ต.ค.2561 มาแสดง)
ถัดจากนั้น คณะของเราก็เดินตรงมาด้านหลังของวัดเทพพระนาม ยังวัดพระป่าเลไลยก์ (Preah Palilay) แสดงเห็นถึงหลักฐานว่า พระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท ได้ยั่งถึงดินแดนเมืองพระนครแล้ว. (ภาพส่วนใหญ่ที่แสดงไว้ของวัดพระป่าเลไลยก์ ต่อไปนี้ ได้รับการแชร์มาจากเพื่อนร่วมคณะ ด้วยเพราะภาพที่ผมถ่ายไว้ คุณภาพไม่ดีนัก - ขอขอบคุณเพื่อนร่วมคณะ มา ณ ที่นี้) รายละเอียดดูเพิ่มเติมได้ใน "36. ปราสาทพระป่าเลไลยก์"
วิทยากรได้บรรยายหน้าบัน กรอบประตูต่าง ๆ ของปราสาทนี้ได้ละเอียด น่าสนใจเกี่ยวโยงโดยตรงกับพุทธศาสนิกชน นิกายเถรวาท (Theravada Buddhism) มาก (คิดว่าโอกาสต่อไป จะมาเมืองพระนครอีก และจะลงลึกดูรายละเอียดปราสาทพระป่าเลไลยก์นี้ให้ได้มาก ๆ ) คณะใช้เวลาศึกษา ถ่ายรูป ดูรายละเอียดกับปราสาทนี้ร่วม 40 นาที
หน้าบันทางทิศตะวันออก ด้านในของประตูทางเข้าปราสาทบริวาร แสดงภาพทศชาติสุดท้ายของพระบรมศาสดา
"พระเวสสันดร" พร้อมด้วยพระพระนางมัทรี กัญหาและชาลี เสด็จออกจากเมืองสู่พนา
จากนั้นก็เดินตรงตัดมาทางทิศใต้ เข้าสู่บริเวณพระราชวัง (Royal Palace) ผ่านประตูวังด้านข้าง ทางทิศเหนือ มายังสระสรง (Sras Srei) มีขนาดใหญ่ สี่เหลี่ยมผืนผ้า ยังมีน้ำขอด ๆ อยู่ในสระขอด ตรงขอบสระเป็นหินทรายแกะสลักเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ปลา ปู กุ้ง หอย นานาชนิด รวมทั้ง โคธา (Small crocodile ด้วย..!!!)
ภาพจากซ้ายไปขวา: ประตูทางเข้าพระราชวังด้านข้างทางทิศเหนือ และสระสรง (Sras Srei)
ภาพจากซ้ายไปขวา: หินทรายสลักเป็นเทวดาต่าง ๆ ตรงขอบสระ และ หินทรายสลักเป็นรูปสัตว์น้ำต่าง ๆ รวมทั้งโคธาด้วย
จากนั้นก็เดินตรงตัดมาทางทิศใต้ มาด้านหน้าปราสาทพิมานอากาศ (Phimeanakas) รายละเอียดแสดงใน "03. ปราสาทพิมานอากาศ" คณะของเราพักกันตรงร่มไม้หน้าปราสาทพิมานอากาศกัน อาจารย์วรณัย ได้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของปราสาท และมีข้อสังเกตว่า อย่าเชื่อข้อมูลการบันทึกของโจ้วต้ากว้าน หรือ จิวต้ากวาน (Zhou Daguan) มากนัก เพราะบันทึกห่างจากเหตุการณ์จริงร่วมสองร้อยกว่าปี รายละเอียดดูในหมายเหตุที่ 13 ของ "I. อาณาจักรพระนครโบราณ" ด้านหลังของปราสาทพิมานอากาศซึ่งเป็นบริเวณพระราชวังเดิมนั้น ไม่มีวัตถุหรือสิ่งใดที่สำคัญให้ศึกษากันมากนัก เพราะนักวิชาการสันนิษฐานว่าเรือนหลวงต่าง ๆ ล้วนสร้างด้วยไม้ ก็ผุพังไปตามกาลเวลาไป
คณะเราพักได้ราว ๆ ครึ่งชั่วโมง ก็เดินกันออกมาทางประตูพระราชวังด้านทิศตะวันออก
แผนผังนครธมและบริเวณพระราชวังหลวง, ที่มา: www.canbypublications.com, วันที่เข้าถึง 1 มีนาคม 2562.
ถ่ายรูปกันบริเวณลานช้าง (Terrace of the Elephants) ได้ประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วมาพักกันใต้ร่มไม้ใหญ่ ใกล้ประตูทางเข้าปราสาทบาปวน คุยวิสาสะถกประเด็นกันทางประวัติศาสตร์มี อาจารย์วรณัย และ อาจารย์โอภาสร่วมแจมกัน สนุก ได้ความรู้เพิ่มเติม จากนั้นคณะก็เดินเข้าชมปราสาทบาปวนกัน
ปราสาทบาปวน (Baphuon)
ปราสาทบาปวนมีขนาดใหญ่ และสูงชันมากด้วย ผมเดินขึ้นบันไดไปช้า ๆ เกาะราวไม้บ้าง ราวเหล็กเชื่อมบ้างก็เกือบจะถึงชั้นบนสุด (ซึ่งมีป้ายบอกไม่ให้ขึ้นแล้ว) เล่นเอาเหนื่อยทีเดียว รายละเอียดปราสาทบาปวน ดูได้ใน "06. ปราสาทบาปวน" ตรงมุม ด้านข้างบ้าง ด้านหลังบ้างของกรอบทวารหินทรายทางขึ้นบนชั้นต่าง ๆ ของปราสาทมีภาพสลักที่น่าสนใจมาก ศึกษาพิเคราะห์ไม่ทัน ต้องถ่ายเก็บบันทึกไว้ก่อน แล้วกลับไปศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ผมชมได้ประมาณสักชั่วโมง ก็เดินลงกลับทางหลังของปราสาท
จากนั้นก็ซื้อน้ำดื่มแก้กระหายกับแม่ค้าที่มาขายด้านหลังปราสาท แล้วเดินเกาะ ๆ กันไปกันเป็นกลุ่มกับเพื่อนในคณะ เลียบทางขวาของปราสาทบาปวนมาด้านหน้า คณะวิทยากรทั้งสามท่านบรรยายให้กับเพื่อนกลุ่มย่อยของคณะ แยกออกไปก่อน หาไม่เจอ คาดว่าคงเดินบรรยายล่วงหน้าไปแล้ว ก็เดิน ๆ มาถึงหน้าพระพุทธรูป Preah Ngoc มีญาติโยมอุปัฏฐากกำลังทำบุญกัน
ผมถ่ายรูปได้ครู่หนึ่ง แล้วเดินมาเข้ากลุ่มกับคณะฯ มาทางด้านหลังของปราสาทบายน เห็นเพื่อน ๆ ในคณะฯ รวมทั้งวิทยากร กำลังทานข้าวกล่องปิกนิกกัน ผมก็เข้าไปร่วมแจมด้วย อาหารกล่องก็เป็นอาหารไทย ไก่ทอดกระเทียมราดข้าวจากร้านอาหารเชียงใหม่ ไทยฟูดส์ ที่ตั้งอยู่ในเมืองเสียมเรียบ รสชาติดี ทานกับเพื่อน ๆ และผมทานไอศกรีมที่มีรถมาตั้งเต้นท์จอดขาย รสชาติดีแต่ก็แพงเอาเรื่องเหมือนกัน บริกรขายไอศกรีมก็เปิดเพลง Rock แบบกัมพูชาให้ฟังพร้อมร้องคลอไปด้วย เป็นเสียงนักร้องคนโปรดยอดนิยมของชาวกัมพูชา "ปราบ สุวัต หรือ เปรียบ โสวาธ (Preab Sovath)" ซึ่งมีความดังเทียบได้กับเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ บ้านเราเลยทีเดียว
ปราสาทบายน (Bayon)
พออิ่มหนำสำราญแล้ว ราว ๆ บ่ายกว่า ๆ คณะก็เดินเข้าปราสาทบายนทางประตูด้านหลังกัน ฝนตั้งเค้าและตกลงมาตอนที่คณะฯ กำลังเข้าชมปราสาท
รายละเอียดปราสาทบายนดูได้ใน "บายน: วิมานไพชยนต์" วิทยากร อ.วรณัย เริ่มบรรยายภาพแกะสลักจากกำแพงด้านนอกวนทวนเข็มนาฬิกามาทางทิศใต้ของปราสาท ผมฟังบรรยายพลาง ก็ถ่ายเก็บภาพไปพลาง
แผนภูมิปราสาทบายน อภินันทนาการจาก อ.วรณัย (Ejeab Academies)
ภาพจากซ้ายไปขวา: รูปสลักบุคคลนั่งย่อเข่าที่ทางเข้าปราสาทบายนทางทิศตะวันตก นั่นคือ พราหมณ์วามน ที่มีรูปร่างสั้น เตี้ย แคระ อันเป็น "วามนาวตาร" นารายณ์อวตาร ปางที่ 5 และคณะทริปของเราเข้ามาหลบฝนในวิหารรองที่อยู่ด้านหลังของปราสาทประธานหลังหนึ่ง
ครู่หนึ่ง ก็มีฝนตกลงมา คณะเราบางส่วนก็หลบฝนในปราสาทรอง ๆ ที่อยู่ด้านทิศตะวันตก ต่างถ่ายรูปกันกับช่องหน้าต่าง หมู่บ้างเดียวบ้าง เซลฟี่บ้างตามอัธยาศัย
พอฝนซา คณะะของเราก็เดินทางออกมายังประตูชัย (Victory Gate) ที่อยู่ด้านหน้าลานช้าง (The Terrace of Elephants) เลยปราสาทแกลงเหนือมาเล็กน้อย แล้วเลี้ยวขวามายังวัดพราหมณ์ไปรลอเวง (Vat Prampei Loveng หรือ Vihear Prampli Loveng) เป็นที่ประดิษฐานของ พระชัยพุทธมหานาถ พระพุทธปฏิมากรนาคปรก อันเป็นพระประธานของปราสาทบายน คณะของเราก็เข้ามาสักการะ ถ่ายรูปสักครู่ก็เดินทางต่อไป ถัดจากนั้น คณะของเราก็เดินทางมายังปราสาทตาพรหม
เมื่อมาถึงบริเวณปราสาท ก็ไม่มีฝนแล้ว คณะของเราก็สามารถชม ทัศนศึกษาและถ่ายรูปเก็บไว้ได้สบายขึ้น คณะเราใช้เวลาที่ปราสาทตาพรหมราว ๆ ชั่วโมงเศษ ก็เดินต่อไปทางทิศเหนือ เยื้องตะวันออกเล็กน้อยราว 30 กิโลเมตร ไปยังปราสาทบันทายสรี
ปราสาทบันทายสรี หรือ บันทายศรี (Banteay Srei)
รายละเอียดปราสาทบันทายสรีดูได้ใน "07. ปราสาทบันทายสรี" หลังจากชมปราสาทบายนได้พอสมควร คณะก็เดินทางต่อมายังปราสาทบันทายสรี ที่อยู่ไกลออกไปจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือจากเมืองเสียมเรียบราว 30 กิโลเมตร
แผนภูมิปราสาทบันทายสรี อภินันทนาการจาก อ.วรณัย (Ejeab Academies)
สภาพอากาศไม่เป็นใจเลย ฝนตกมาตลอดตั้งแต่เมืองพระนครจนถึงปราสาทบันทายสรี ไกด์โอได้แจกเสื้อพลาสติกกันฝนให้คนละชุด การเก็บถ่ายภาพก็ไม่ดีหนัก ด้วยน้ำฝนละอองฝนกระจายบังเลนซ์กล้องถ่าย ขลุกขลักบ้างเล็กน้อย ปราสาทแห่งนี้ยังคงสงบนิ่ง งดงามเหมือนเคย จากที่ผมเคยมาเมื่อปี 2560 คณะเราใช้เวลากับที่ปราสาทแห่งนี้ จนเย็นถึง 5 โมงกว่า ก็กลับเข้าเมืองเสียมเรียบกัน
ใช้เวลาร่วมชั่วโมง ก็มามีเมืองเสียมเรียบ เข้าที่พัก ผมมาล้างเนื้อล้างตัวหน่อยหนึ่ง ก็ลงมาร่วมทานอาหารเย็นกับเพื่อน ๆ ในตลาดเมืองเสียมเรียบ เป็นร้านอาหารดัง มีเมนูรวงผึ้งย่าง ข้าวโพดคั่วเนย เนื้อโคขุนย่างเคลือบด้วยน้ำซอสปรุงรสสไตล์เสียมเรียบ อร่อยดี (มีผงชูรสผสมปนอยู่เพียบ) ผมทานกับข้าวสวย ผมนั่งข้าง ๆ อาจารย์วรณัย คุยกันอย่างออกรส ดื่มเบียร์ Angkor ไปขวดเดียว พอมัน ๆ เคลิ้ม ๆ ตอนท้ายก็ช่วยกันแชร์ (เลี้ยงอาจารย์วรณัย ไกด์โอ และไกด์ท้องถิ่นซาง) ตกเฉลี่ยท่านละพันบาท ก็โอเค ผมอยู่ร่วมได้ราวชั่วโมงเศษ ๆ ก็กลับโรงแรมพักผ่อน มีหลายท่านยังเพลินทานดื่มละเลียดกันไป (ทราบในวันรุ่งขึ้นว่า ทานดื่มกันถึงเกือบเที่ยงคืน)
วัน-เวลา |
กิจกรรม |
หมายเหตุ |
วันที่สาม: จันทร์ที่ 10 มิ.ย.2562 |
นครวัด - ล่องเรือชมปราสาทแม่บุญตะวันตก - ปอยเปต - กรุงเทพฯ |
รวมอาหารเช้า เที่ยง เย็น |
06:00 น. |
ตื่นนอน ทำธุระส่วนตัวให้ร่างกายสดชื่น |
|
07:00 น. |
รับประทานอาหารเช้าที่ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก |
|
08:00 น. |
อัศจรรย์กับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคปัจจุบัน มหาปราสาทนครวัด ชมรูปแกะสลักนางอัปสรากว่า 1,600 องค์รอบบริเวณปราสาท และชมระเบียงแกะสลักภาพที่เป็นเรื่องราวต่าง ๆ เช่น เรื่องมหาภารตยุทธ รามายณะ กระบวนทัพของพระเจ้าสุริยวรมเทวะที่ 2 การกวนเกษียรสมุทร ฯลฯ |
|
11:00 น. |
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารโตนเลจตุมุข |
|
12:00 น. |
ชมบารายตะวันตก อ่างเก็บน้ำที่มีความยาวถึง 8 กิโลเมตร กว้าง 2.2 กิโลเมตร
นั่งเรือชมปราสาท(แม่)บุญตะวันตก ที่เคยเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์สำริด ความยาวกว่า 6 เมตร |
|
16:00 น. |
ถึงด่านปอยเปต ชายแดนไทย-กัมพูชา ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง |
|
17:00 น. |
รับประทานอาหารเย็นแบบเวียดนามที่ร้าน เจ๊เยิง อรัญประเทศ |
|
18:00 น. |
ออกเดินทางกลับ - ถึงกรุงเทพฯ ประมาณ 22:00 น. โดยสวัสดิภาพ |
|
ผมตื่นขึ้นมาแต่เช้า ลงมาทาน Breakfast ของโรงแรมเป็นคนแรก ราว ๆ 6:00 น. เมนูก็ปกติ ขนมปังทาเนย แยม กาแฟ แฮม ผลไม้ เรียนตรง ๆ ผมไม่ประทับใจอาหารเช้านัก ก็โอเคผ่าน ๆ ไป
จากนั้นก็เข้าห้องอาบน้ำสระสรง แต่งตัวเก็บข้าวของ เช็คเอ้าท์จากโรงแรมพร้อมเพื่อน ๆ ในคณะราว 07:30 น. คณะก็เดินทางเข้าชมมหาปราสาทนครวัดทันที
ปราสาทนครวัด (Angkor Wat)
รายละเอียดแสดงใน "01. นครวัด" คณะของเราใช้เวลา ณ ที่มหาปราสาทนี้ตลอดช่วงเช้าเลย โดยมีวิทยากรทั้งสามท่านร่วมกันบรรยาย มีข้อมูลผลการศึกษาใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ เริ่มตั้งแต่ด้านหน้า ภาพสลักนางอัปสรา ประตู ภาพนางอัปสราตามกำแพง บรรณาลัย แล้วมารวมตัวกันด้านหน้าก่อนเข้ากำแพงด้านนอก เริ่มตั้งแต่ประตูทางเข้า วนมาทางทิศเหนือก่อนแล้ว ดูภาพ ชมอาจารย์ทั้งสามท่านอธิบายภาพตามผนังกำแพงชั้นนอกวนทวนเข็มนาฬิกา
จากนั้นก็เดินเข้าชมด้านในมหาปราสาท มีข้อความแกะสลักสองจุดที่เห็น เป็นคนไทยเขียนจารึกหรือทำโบราณสถานเลอะเทอะไว้
หนึ่ง) เป็นข้าราชการที่ปราจีนบุรีมาตรวจราชการที่นครวัด
สอง) เป็นประชาชนที่เมืองโคราช มาทำบุญที่นครวัด
ภาพจากซ้ายไปขวา: ภาพมหาปราสาทนครวัดด้านหน้า, และตรงมุมขอบพื้นระเบียงวิหารด้านนอก หลังจากข้ามสระน้ำแล้ว จะเห็นเป็นรอยที่เซาะหินไว้แล้วมีร่องสำหรับวางเหล็กเป็นรูปตัว H ยึดหินทั้งสองก้อนไว้
ภาพจากซ้ายไปขวา: ภาพบรรณาลัยทางขวาหน้าของมหาปราสาท, และตรงเสาทางเข้ามหาปราสาท มีรอยเซาะเขียน (มือบอน) ของข้าราชการที่ปราจีนบุรีมาตรวจราชการที่นครวัด
ภาพจากซ้ายไปขวา: ภาพเขียนจารึก (ทำโบราณสถานเลอะเทอะ) ของประชาชนที่เมืองโคราช มาทำบุญที่นครวัด ตรงเสาระเบียงชั้นสามด้านซ้ายของระเบียงรูปกากบาท, และถ่ายจากชั้นสี่ของมหาปราสาท ไปยังยอดวิหารศูนย์กลางของนครวัด
ภาพจากซ้ายไปขวา: ภาพชั้นที่สี่ของมหาปราสาทนครวัด, และตอนขาออกจากนครวัดได้ถ่ายภาพนี้ไว้ จากมุมด้านซ้าย
ผมชมตาม ๆ กันไปขึ้นไปด้านบน ถ่ายเก็บภาพไว้ แต่ไม่ได้ขึ้นไปชั้นบนสุด เพราะมีนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวจีนรอเข้าคิวเตรียมขึ้นเป็นแถวยาวเหยียด ผมเดินลงมาด้านล่างด้านหน้า ถ่ายภาพต่าง ๆ รวมทั้งบรรณาลัย วิวนครวัด และแวะซื้อน้ำตาลโตนดจากชาวบ้านชาวเขมรแถวนั้นทาน อร่อยหอมและเย็นดี มีนักท่องเที่ยวชาวบ้านชาวเขมรสองสามีภรรยาพร้อมบุตรน้อย ก็มาซื้อน้ำตาลโตนดด้วย ได้คุยโอภาปราศรัยกัน ก็ทราบว่าทั้งสองได้ทำมาหากินที่ประเทศไทย แถบจันทบุรี ผมคุยกันเป็นภาษาไทย ผมเลี้ยงน้ำตาลโตนดให้สองสามีภรรยาและบุตรน้อย พวกเขาขอบใจยิ้มหวาน แล้วแยกย้ายจากกัน
ผมเดินกลับมาที่รถบัสกับเพื่อน ๆ กลุ่มหนึ่ง แต่ก็มีเพื่อนกลุ่มหนึ่งพร้อมอาจารย์วรณัย ไปชมปราสาทตาพรหมเกล (Ta Prohm Kel) กันต่อ ซึ่งผมเคยไปชมมาก่อนแล้ว
จากนั้น รถบัสก็พาคณะเรามารับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารโตนเลจตุมุข เป็นแบบบุฟเฟต์
ภาพจากซ้ายไปขวา: ผมกับเพื่อน ๆ ระหว่างทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารโตนเลจตุมุข, เทวรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์สัมฤทธิ์02. พบที่บารายตะวันตก ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานในกรุงพนมเปญ, ขอบคุณที่มาของภาพ: EJeab Academies ใน facebook
และต่อด้วยชมบารายตะวันตก (รายละเอียดดูเพิ่มเติมได้ใน ปราสาทแม่บุญ และบารายตะวันตก) นั่งเรือและเดินต่อไปยัง ปราสาท(แม่)บุญตะวันตก ที่เคยเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์สำริด ความยาวกว่า 6 เมตร
ที่บายรายตะวันตก ปริมาณน้ำสำรองยังคงมีไม่มากนัก คณะของเราแบ่งออกเป็นสองชุด เพื่อนั่งเรือไปยังเกาะกลางน้ำอันเป็นที่ตั้งของปราสาทแม่บุญกัน ยังไม่ถึงเกาะกลางน้ำ ท้องเรือก็ติดดินพื้นน้ำแล้ว ต้องจอดเรือให้คณะเดินต่อไปราวกิโลเมตรเศษ คณะของเราก็สามารถชมปราสาทได้ห่าง ๆ เพราะกำลังมีโครงการบูรณะกันอยู่ โดยรัฐบาลกัมพูชา หน่วยงานอัปสรา บริษัทน้ำมันโทเทล และสำนักฝรั่งเศสปลายบูรพาทิศกันอยู่
คณะของเรา ถ่ายรูป ชม และศึกษาข้อมูลภาพที่ติดไว้บนปรำให้พักชมได้ราว ๆ ชั่วโมงเศษ ก็เดินมาขึ้นเรือกลับฝั่ง
จากนั้นก็ตรงกลับประเทศไทย (ไกด์ซาง ไกด์ท้องถิ่น ก็ขอตัวร่ำลา กลับเข้าเมืองเสียมเเรียบ) รถบัสตรงผ่านมาทางเมืองศรีโสภณ และเข้าปอยเปต พลบค่ำพอดี คณะของเราลากกระเป๋า ผ่านตม.ทั้งฝั่งกัมพูชา และฝั่งไทย จากนั้นก็มาขึ้นรถบัส ที่จอดรออยู่ที่ท่ารถ เข้าตัวเมืองอรัญประเทศ
แวะทานอาหารเวียดนามที่ร้านเจ๊เยิง อาหารรสชาติใช้ได้ สะอาดอนามัยดี ใช้เวลาละเลียดนานนิดหนึ่ง เพราะถือว่าผ่อนคลาย พักเหนื่อย กลับจากการท่องเที่ยว จากนั้นก็เดินทางกลับเข้ากรุงเทพมหานคร มีเพื่อนในทริปครอบครัวหนึ่งขอตัวลงก่อน เพราะต้องกลับไปยังเมืองอุบลฯ
ในระหว่างกลับเข้ากรุงเทพฯ อาจารย์วรณัย ก็บรรยาย ถาม-ตอบด้านประวัติศาสตร์หลากหลาย ได้เยอะมาก ผมฟังบ้าง กึ่งหลับกึ่งตื่นบ้างด้วยความเพลีย รถบัสก็มาถึงบางลำพูราว ๆ เที่ยงคืน ก็ร่ำลาแยกย้าย กลับบ้านพักปลอดภัยโดยสวัสดิภาพทุกคนครับ.
ที่มา คำศัพท์ คำอธิบาย
01. ม้าพลาหะ (พลหะ - Balaha) เป็นอวตารของพระอวโลกิเตศวร
กลุ่มม้าพลาหะจากปราสาทนาคพัน, ผู้ถ่ายรูป ศ.ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล
สไลด์ชุด ศิลปะขอม, ห้องสมุด ศ.ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล,
ที่มา: http://www.thapra.lib.su.ac.th/, วันที่เข้าถึง 24 พฤศจิกายน 2562
02. เทวรูปพระนารายณ์บรทมสิทธุ์สัมฤทธิ์นี้ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ มีขนาด: สูง * ยาว * กว้าง * : 122 ซม. * 222 ซม. * 72.5 ซม. สร้างในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 11 พบที่ปราสาทแม่บุญตะวันตก.
เทวรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์สัมฤทธิ์ (Reclining Vishnu), ที่มา: www.cambodiamuseum.info, วันที่เข้าถึง 13 กันยายน 2563.