MENU
TH EN

A03. บทนำ - เหล่าเทพเจ้า 1

พระอัคนี, พัฒนาเมื่อ 1 กรกฎาคม 2567.
A03. บทนำ - เหล่าเทพเจ้า 1

First revision: Feb.9, 2023
Last change: Oct.2, 2025

สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง แปล และปริวรรต โดย อภิรักษ์ กาญจนคงคา.
1.
หน้าที่ 1
       ด้วยมหากาพย์มหาภารตะนั้นได้เขียนขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านจากยุคพระเวทสู่ยุคปุราณะ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เทพเจ้าแห่งธรรมชาติที่เก่าแก่กว่า เช่น พระอัคนี และพระวายุ ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเทพเจ้าที่ใหม่กว่า เช่น พระศิวะ และ พระกฤษณะ การสร้างวิหารอันเป็นที่สถิตของเหล่าเทพยังคงเป็นที่เคารพกราบไหว้อยู่ในปัจจุบัน.

       ต้นกำเนิดของปรัชญาฮินดู-พราหมณ์นั้น สามารถศึกษาย้อนกลับไปได้ไกลถึงยุคเหล็ก ตั้งแต่ 1,700 ปีก่อนคริสตศักราช ความเสื่อมสลายของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ในขณะเดียวกันชาวอารยันก็มีอำนาจและอิทธิพลเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในภูมิภาคแห่งลุ่มน้ำนี้ สิ่งที่ตามมาก็คือการผสมผสานด้านความเชื่อและวัฒนธรรม ซึ่งทำให้เกิดประเพณีการบูชายัญ และพิธีกรรมที่มีหลักฐานให้เห็นในบทสวดของพระเวท. มีการเถวายเครื่องบูชาแด่เทพเจ้าที่สำคัญ เช่น พระอัคนี เทพแห่งไฟ, พระวรุณ เทพแห่งท้องฟ้า พื้นน้ำ และมหาสมุทร, พระอินทร์ เทพแห่งฟ้าร้อง ฝนและสงคราม. เทพเจ้าที่ปรากฎในพระเวทเหล่านี้ เป็นศูนย์รวมแห่งพลังธรรมชาติที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน ได้รับการบูชาเพื่อก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในจักรวาล.

พระพิรุณ หรือ พระวรุณ, ที่มา: sreenivasaraos.com, วันที่เข้าถึง 17 กุมภาพันธ์ 2566.

       รายละเอียดพระวรุณ ดูได้รายละเอียดในหน้าที่ 3 และเทพในกลุ่มต่าง ๆ ที่กล่าวต่อไปเบื้องหน้า.
1.
2.
หน้าที่ 2
 พระอัคนี (अग्नि - Agni
       มีความสำคัญเป็นอันดับสองรองจากพระอินทร์  {ในภาษาละติน เรียกพระอัคนีว่า อินิส (Ignis)} โดยได้รับการกล่าวถึงในบทสวดอย่างน้อย 200 บท. แนวคิดของอัคนีเกิดขึ้นจากดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ซึ่งความร้อนของพระองค์ได้ประทุยังสารไวไฟ. พระอัคนีมาจากเมฆขณะที่มีฟ้าแลบ. พระองค์มีต้นกำเนิดมาจากหินเหล็กไฟ (flintstone) มาจากแท่งไฟ. ซึ่งมาตริศวัน {मातरिश्वन् - Mātariśvan - แปลว่าเติบใหญ่ไปสู่การเป็นพระมารดาซึ่งในฤคเวทนั้น หมายถึงชื่อของพระอัคนี (ไฟสำหรับยัญพิธี คำว่ามารดา หมายถึงเปลวไฟที่กำเนิดมาจากการจุดจากแท่งไฟ)} เหมือนเช่น โพรเมธิอุส {Prometheus - เทพไททันแห่งไฟ (Titan God of Fire) ดูในหน้าที่ 4 ของ 2. เทพปกรณัมกรีกและโรมันโบราณ - ยุคทองแห่งการกินคน}. ซึ่งควรนำไฟกลับมาจากท้องฟ้าและมอบหมายให้ผู้ดูแลเหล่าสกุลภฤคุ (the Bhṛgus - ส้นนิษฐานว่าเป็นเหล่าศิษยานุศิษย์ของมหาฤๅษีภฤคุ ซึ่งเป็นหนึ่งในสัปตะฤๅษี รายละเอียดดูในหน้าที่ 4 ของ 02B-1. บรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ 1) พระอัคนีจะมีเคราสีน้ำตาลอ่อน กรามคมและฟันที่ไหม้เกรียม.{อ้างอิงจากหน้าที่ 82 ของปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 1.004 - ยุคพระเวท: บทสวดแห่งฤคเวท (ต่อ 1)}.
 Dyēus Phter: The Original Sky-Father ที่มา: https://starkeycomics.com/2020/06/16/dyeus-phter/, วันที่เข้าถึง 14 สิงหาคม 2568.
1.
2.
หน้าที่ 3
เหล่าเทพอินโด-อิหร่าน หรือ อารยันโบราณ 
ประกอบด้วย
     1. พระทิโยษ
     2. พระวรุณ
     3. เทพีอุษา
     4. พระมิตระ
     5. พระโสมา
     6. พระอหุระ มาซดะ

1. พระทิโยษ (द्यौस् - Dyáuṣ) หรือพระไทยอัส (द्य्हुस् - Dyēus) หรือพระทิโยษ ปิตะ หรือ เทฺยาสฺ (Dyaus Pitr หรือ Dyaus Pitā หรือ Dyḗus ph₂tḗr - father daylight หรือ Dyēus Phter: The Original Sky-Father) หรือ เทยาสฺ หรือ อากาศ (आकाश - ākāśa) หรือ ทโยษปิตฤฺ (Dyauspitar or ตัวอักษรเทวนาครี  द्यौष्पितृ - Dyáuṣpitṛ́ - บรรพบุรุษสวรรค์) เทียบเท่ากับมหาเทพกรีกคือ ซุส (Zeus) หรือละติน มหาเทพโรมันคือ จูปิเตอร์ (Jupiter) ทรงเป็นเทพแห่งท้องฟ้าในฤคเวท พระชายาของพระองค์คือพระนางปฤถวี หรือ ปฤถิวี หรือ ปฐพี (पृथ्वी  - Pṛthvī) เป็นเทพีแห่งโลก เทพทั้งสองเป็นบิดามารดรต้นแบบในฤคเวท.
          
พระทิโยษ (Dyaus Pitr - บิดาแห่งท้องฟ้า) และพระแม่ปฤถวี หรือ ปฤถิวี (Pṛthvī - โลก - พระแม่ธรณี), ที่มา: bloghemasic.blogspot.com, วันที่เข้าถึง: 13 สิงหาคม 2568.
1.
2. พระวรุณ (वरुण - Váruṇa) หรือพระพิรุณ ดูเพิ่มเติมในหน้าที่ 77-78 ของปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 1.004 - ยุคพระเวท: บทสวดแห่งฤคเวท (ต่อ 1).


 
หน้าที่ 4
3. เทพีอุษา (उषस् - Uṣás - อุษัศ มาจากพระเวท uṣá ) แปลว่ารุ่งอรุณ คำนี้มาจากภาษาอินโด-อิหร่านดั้งเดิม พระนางเป็นบุคลาธิษฐานของคัมภีร์พระเวทแห่งรุ่งอรุณ พระนางเป็นเทพีแห่งรุ่งอรุณในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นามของพระนางปรากฎในบทสวดฤคเวทซ้ำ ๆ . พระนางอุษาเชื่อมโยงโดยตลอดกับรุ่งอรุณ เผยตัวตนด้วยการมาถึงของแสงสว่างทุกวันสู่โลก ขับไล่ความมืดมิดที่กดขี่ ขับไล่ปีศาจร้าย ปลุกชีวิตทั้งหมด ตั้งค่าทุกสรรพสิ่งให้เคลื่อนไหว ส่งทุกคนไปทำหน้าที่ของตน พระนางคือชีวิตของสรรพชีวินทั้งมวล ผลักดันการกระทำและลมหายใจ ศัตรูของความสับสนวุ่นวาย ผู้ปลุกอันเป็นมงคลของระเบียบจักรวาลและศีลธรรม.

       เทพีอุษาทัดเทียมกับเทพบุรุษสำคัญองค์อื่น ๆ ในพระเวท พระนางได้รับการพรรณนาว่าเป็นหญิงสาวที่ตกแต่งอย่างสวยงามขี่รถม้าทองคำหรือรถม้าหนึ่งร้อยคัน ลากโดยม้าหรือวัวสีแดงทอง บนเส้นทางของการข้ามขอบฟ้าของพระนาง ได้เปิดทางให้กับสุริยเทพ (บ้างก็กล่าวว่าเป็นสามีหรือบุตรชายของพระนาง) บทสวดที่ไพเราะที่สุดในพระเวทบางบทอุทิศให้แก่เทพีอุษา ขนิษฐาหรือน้องสาวของเทพีอุษา คือ "นิศา" (निश्- Niś - Nisha - Night) หรือราตรีเทพี (रात्रि - Rātri).


 
หน้าที่ 5


พระมิตระ (ประติมากรรมองค์ซ้าย - ทรงมีลำแสงดุจดวงตะวันฉายแสงจากพระเศียรไปทุกทิศทาง และทรงประทับยืนบนดอกบัวศักดิ์สิทธิ์) {ประติมากรรมองค์กลางคือ พระเจ้าอาร์ดาชีร์ที่ 2 (Ardashir II) องค์ขวาคือพระอหุระ มาซดะ (Ahura Mazda} ในงานประติมากรรมสมัยพุทธศตวรรษที่ 9 หรือคริสต์ศตวรรษที่ 4 ที่ Taq-e Bostan ทางตะวันตกของอิหร่าน, ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง 16 พ.ค.2565.
1.
4. พระมิตระ บ้างก็เรียก เทพมิธรา และ เทพมิถรา ก็มี (मित्र - Mitra) ในคัมภีร์ปุราณะและอิติหาสนั้น มิตระ หรือ มิตร หรือ มิตร หมายถึง เพื่อน (friend) หรือพันธมิตร (ally) เป็นเทพเจ้าในตระกูลอทิตยา (Aditayas) หรือในกลุ่มศาสนาอินโด-อิหร่าน เป็นที่รู้จักในฐานะผู้พิทักษ์สนธิสัญญาและความจริง (ऋत - ṛtá - ฤทธา) ซึ่งมีอิทธิพลต่อเทพเจ้าอื่น ๆ เช่น Mithras ในศาสนาโรมัน และ "ไมตริยะ - อารยเมตตรัย" (Maitreya) ในบวรพระพุทธศาสนา รายละเอียดดูเพิ่มเติมในหน้าที่ 71 ของ ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 1.003 - ยุคพระเวท: บทสวดแห่งฤคเวท.
1.

พระโสม (Soma), ที่มา: www.thehinduportal.com, วันที่เข้าถึง: 31 สิงหาคม 2568.
1.
5. พระโสม (सोम - Soma) หรือ พระจันทร์
     พระโสมถือกำเนิดจากน้ำตาของมหาฤๅษีอตริ (अत्रि - Atri - หนึ่งในเจ็ดฤๅษีผู้ยิ่งใหญ่ - สัปตะฤๅษี รายละเอียดดูในหน้าที่ 3 ของ 02B-1. บรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ 1.) ซึ่งฤๅษีอตริเป็นบุตรแห่งพระพรหม ๆ จึงตั้งให้พระโสมกำกับดูแลบรรดาพราหมณ์ ยา และดวงประทีบ วัตถุมีแสงต่าง ๆ พระโสมกับนางธารา (तारा - Tārā) มีบุตรด้วยกันคือพุธ (หรือดาวพุธ) (ดูใน ภาควต ปุราณะ บรรพที่ 9.14.3 ถึง 14)

     นอกจากนี้ คำว่าโสมนั้นมีสองความหมาย ดังนี้:

       1). หมายถึง พระจันทร์ - โสม (सोम - Soma) หรือ โสมา (सोमा - Somā) ถูกขนานนามว่าเทพจันทรา ซึ่งเดิมทีเป็นเทพแห่งดวงจันทร์ (God Chandra) .ดวงจันทร์ถือเป็นถ้วยที่บรรจุเครื่องดื่มโสมสำหรับเหล่าทวยเทพ และเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ดวงจันทร์มีขึ้นมีลงก็เพราะเหตุนี้. เมื่อดวงจันทร์มีขึ้นมีลง ก็เป็นเพราะเหล่าทวยเทพกำลังดื่มโสมจนหมด ขณะที่ดวงจันทร์มีขึ้น เทพก็กำลังสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ และถูกกลืนกินอีกครั้งเมื่อถ้วยเต็มอีกครั้ง
       2). หมายถึง เครื่องดื่ม - โสมเปรียบเสมือนน้ำอมฤตของเหล่าทวยเทพ ด้วยอิทธิพลนี้เองที่ทำให้เหล่าทวยเทพสามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งปวงและบรรลุเป้าหมายได้ พระอินทร์ทรงเป็นนักดื่มผู้ยิ่งยง ก่อนที่จะเผชิญหน้ากับวฤตรา {वृत्र - Vritra หรือ Vṛtrá - หมายถึง อสูรเพศชาย ทานวะ หรือ ทานพ (दानव - Dānava) หรือมังกรในศาสนาฮินดู เป็นตัวแทนของความแห้งแล้งและอุปสรรคต่อธรรมชาติ ทำหน้าที่ปิดกั้นการไหลของแม่น้ำและกักเก็บน้ำไว้ ชื่อของเขามาจากคำภาษาสันสกฤตที่แปลว่า "ตัวห่อหุ้ม" หรือ "อุปสรรค" ในพระเวทนั้น วฤตรามีชื่อเรียกอีกว่า Ahi ซึ่งแปลว่า "งู" เขาถูกสังหารโดยพระอินทร์ (เทพเจ้าแห่งสายฟ้า) ทำให้แม่น้ำได้รับการปลดปล่อยออกมาและนำฝนกลับคืนสู่โลก} พระองค์ได้ดื่มมันอย่างมากมายเพื่อเพิ่มพละกำลังที่จำเป็นในการเอาชนะมังกรอันน่าเกรงขาม. พระอัคนีทรงดื่มมันในปริมาณมากเช่นกัน โสมคือสิ่งที่ทำให้เหล่าทวยเทพในพระเวทเป็นอมตะ เครื่องดื่มนี้เหมือนกับฮาโอมะ (Haoma) ในตำนานเปอร์เซีย.



 

หน้าที่ 6

ภาพสลักหิน พระอหุระ มาซดะ ที่เมืองเปอร์ซีโพลิส อิหร่าน, ที่มา: www.worldhistory.org, วันที่เข้าถึง: 3 กันยายน 2568. 
1.
6. พระอหุระ มาซดะ บ้างก็เขียนว่า พระอหุระมาซดะ (Ahura Mazda บ้างก็เขียนว่า Ahuramazda) เป็นเทพองค์หลักและพระเจ้าแห่งท้องฟ้าของศาสนาโซโรอัสเตอร์ ซึ่งเป็นศาสนาเอกเทวนิยมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก พระองค์เป็นวิญญาณดวงแรกและถูกอัญเชิญบ่อยที่สุด ความหมายตามตัวอักษร Ahura คือ พระผู้เป็นเจ้าหรือนาย (Lord) ส่วนคำว่า Mazda แปลว่า ปัญญา (Wisdom) พระองค์หมายถึง ดาวพฤหัส เป็นเครี่องหมายแห่งแสงสว่างและความดี. ความเชื่อการนับถือพระอหุระ มาซดะเริ่มแรกนี้ กำเนิดขึ้นในอิหร่านตะวันออก หรืออัฟกานิสถานในปัจจุบัน. พระองค์มีศัตรูที่ฉกรรจ์คือ อังกรเมนยู (Angra Mainyu หรือ Ahriman) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้ายและความโกลาหล การต่อสู้ระหว่างทั้งสองเทพ แสดงถึงการเลือกข้างระหว่างความดีและความชั่วของมนุษย์.
1.
2.
หน้าที่ 7
เหล่าอาทิตยะ หรือ เหล่าอาทิตยา (आदित्य - the Ādityas) หมายถึง บุตรชายสิบสององค์ที่เกิดจากเทวีอทิติ (अदिति - Aditi) และฤๅษีกัศยปะ (कश्यप - Kaśyapa)

ประกอบด้วย:
       1). พระอาทิตย์ (Vivasvan หรือ Sūrya)
       2). พระอรรยมัน (Aryaman)
       3). พระตวัษฏฤ (Tvashtr)
       4). พระสวิตฤ (Savitr)
       5). พระภคะ (Bhaga)
       6). พระธาดา (Dhatr)
       7). พระมิตร (Mitra)
       8). พระวรุณ (Varuṇa) 
       9). พระอังศะ (Amsha)
      10). พระปูษัน (Pusan)
      11). พระอินทร์ (Indra)
      12). พระวิษณุ (Vishnu) ในรูปของพราหมณ์วามน (Vamana) (รายละเอียดดูใน นารายณ์อวตาร ตอนที่ 5 "วามนาวตาร".)
 
       หรือ ทวาทศาทิตย์ (द्वादशादित्य - Dvādaśāditya) ดังที่ปรากฎในอัคนี ปุราณะ (บรรพที่ 51) เป็นตารางชื่อของอาทิตย์ทั้งสิบสองราศี เดือน และสีของอาทิตย์.   
ราศีต่าง ๆ  (Signs of the Zodiac), ที่มา: www.pysanky.info, วันที่เข้าถึง: 15 กันยายน 2568.
1.
       1). Varuṇa. เมษา Meṣa (Aries) สีดำ Black.
       2). Sūrya (Sun)
ฤษภา Rṣabha (Taurus) สีแดงเลือด Blood-colour. 
       3). Sahasrāṃśu มิถุนา Mithuna (Gemini) Slightly redcolour.
       4). Dhātā กรกฏกะ Karkaṭaka (Cancer) Yellow.
       5). Tapana สิงหา Siṃha (Leo) White.
       6). Savitā กันยา Kanyā (Virgo) Pure white.
       7). Gabhasti ตุลา Tulā (Libra) tawny colour.
       8). Ravi พฤศจิกา Vṛścika (Scorpio) Yellow.
       9). Parjanya ธนู Dhanu (Sagittarius) Parrot-colour.
     10). Tvaṣṭā มกระ Makara (Capricorn) Snow-white.
     11). Mitra กุมพะ Kumbha (Aquarius) Smoky hue.
     12). Viṣṇu* มีนา Mīna (Pisces) Blue.


*1. บทประพันธ์ตอนนี้ปรากฏในมหาภารตะ มหากวีกาลิทาส (कालिदास - Kālidāsa) ได้ดัดแปลงให้เข้ากับงานเขียนของท่าน คือ อภิชญานะ-ศากุนตลา (अभिज्ञान शाकुन्तलम् - Abhijñāna-Śākuntala) อาจมีบางส่วนที่แตกต่างจากเรื่องมหาภารตะในงานเขียนของกวีท่านอื่น ๆ ด้วย 2. ชื่ออาทิตยต่าง ๆ ปรากฏในปุราณะต่าง ๆ ชื่อที่ให้ไว้ในที่นี้อ้างอิงจากอัคนีปุราณะ.
1.
2.
หน้าที่ 8
เทพีอทิติ, พัฒนาเมื่อ 18 กันยายน 2568.
1.
     เทพีอทิติ (अदिति - Aditi) แปลว่า 'ไร้ขอบเขต' หรือ 'ไร้ขีดจำกัด' หรือ 'ความบริสุทธิ์' เป็นเทพีแห่งพระเวท ที่สำคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู. เป็นชื่อของ 'มารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ (मातृ० - mātṛ)' พระนางเป็นบุคคลแห่งจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลและไม่มีที่สิ้นสุด พระนางเป็นเทพีแห่งความเป็นมารดาจิตสำนึก จิตไร้สำนึกอดีตอนาคตและความอุดมสมบูรณ์ พระนางเป็นมารดาของเหล่าเทพบนสวรรค์ที่รู้จักกันในชื่อว่าเหล่าอาทิตยะ (
आदित्य - the Ādityas) และถูกเรียกว่ามารดาของเหล่าเทพมากมาย ในฐานะมารดาแห่งสวรรค์ของสรรพสัตว์ทั้งมวล การสังเคราะห์สรรพสิ่ง พระนางมีความเกี่ยวข้องกับอวกาศ และวาจาอันลี้ลับ (वाच् - วาจ - Vāc) พระนางอาจถือได้ว่าเป็นพระพรหม ในรูปแบบสตรี และมีความเกี่ยวข้องกับแก่นสารดั้งเดิม (मूलप्रकृति - Mūlaprakṛti - มูลปรากฤติ) ในคัมภีร์เวทานตะ พระนางถูกกล่าวถึงมากกว่า 250 ครั้งในฤคเวทซึ่งบทต่าง ๆ เต็มไปด้วยคำสรรเสริญพระนาง.

       ตามที่ระบุในมัตสยปุราณะ เกี่ยวกับมัตสยาวตาร (รายละเอียดดูใน นารายณ์อวตาร ตอนที่ 1 "มัตสยาวตาร") บรรพที่ 179 อัธยายะที่ 8 "ผู้มีจิตเป็นผู้สร้าง สร้างขึ้นเพื่อดื่มเลือดของเหล่าอสูรอันธกะ", “พวกเขา (เช่น อทิติ) ล้วนดื่มเลือดของเหล่าอสูรอันธกะเหล่านั้นและอิ่มเอมอย่างล้นเหลือ” บรรพที่ 179 อัธยายะที่ 35.

       ฤๅษีกัศยปะ หลานชายแห่งพระพรหมและเป็นบุตรของฤๅษีมารีจิ (Marīci) สมรสกับเทพีอทิติ ซึ่งเป็นธิดาของท้าวทักษะประชาปติ (Dakṣaprajāpati) อทิติมีพี่น้องสาวสิบสองคน (มหาภารตะ อาทิ บรรพ บรรรพที่ 65 อัธยายะที่ 12) ได้แก่
       1). ดิติ (Diti)
       2). กาลา (Kālā)
       3). ทนายุส (Danāyus)
       4). ทนุ (Danu)
       5). สีหิกา (Siṃhikā)
       6). โครธา (Krodhā
       7). ปฤถะ (Pṛthā
       8). วิศวา (Viśvā)
       9). วินาตา (Vinatā)
      10). กปิลา (Kapilā)
      11). มุนิ (Muni) และ
      12). กทรู (Kadrū)

       เทพบุตรทั้งหลายเป็นโอรสที่อทิติเกิดแก่ฤๅษีกัศยปะ จึงเรียกว่าอาทิตยาด้วย. กัศยปะสมรสกับพี่น้องทั้งสิบสามคน รวมถึงอทิติ และสรรพสัตว์ทั้งปวงล้วนมีต้นกำเนิดมาจากทั้งสอง. มีบุตร 33 องค์เกิดจากเทพีอทิติ ในบรรดาโอรสทั้ง 12 พระองค์ เรียกว่า
ทวาทศาทิตย์ ได้แก่ ธาตา (Dhātā), อารยามา (Aryamā), มิตระ (Mitra), ศักระ (Śakra - ท้าวสักกะ หรือพระอินทร์), วรุณ (Varuṇa), อรรศ (Aṃśa), ภค (Bhaga), วิวัสวัน (Vivasvān), ปูษะ (Pūṣā), สาวิตา (Savitā), ตวัษฏา (Tvaṣṭā) และวิษณุ (Viṣṇu) (ซ้ำกับหน้าที่ 7 ข้างต้น การเขียนชื่อแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับที่มาของปุราณะที่ต่างกันออกไป) .

       ในบรรดาโอรสอีก 21 พระองค์ มีพระรุทระ (रुद्र - Rudra)01. 11 พระองค์ และพระวสุ (वसु - Vasu) 8 พระองค์ (ดูมหาภารตะ อาทิ บรรพที่ 65 อัธยายะที่ 15) ส่วนบุตรอีก 2 องค์คือเทพฝาแฝดอัศวิน.

       พระรุทระ 11 พระองค์หรือ 11 พระนามนั้น มีคัมภีร์กล่าวถึง ให้นิยาม กำหนดคุณสมบัติ ที่มาหลากหลายมาก ในเว็บไซต์นี้ จะขออ้างถึงนิยามทั่วไปของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูใน ภาควตะ ปุราณะ (บรรพที่ 3 อัธยายะที่ 12 โศลกที่ 12) ดังนี้:
       1). Manyu;
       2). Manu;
       3). Mahinasa;
       4). Mahān;
       5). Śiva;
       6). Ṛtadhvaja;
       7). Ugraretā;
       8). Bhava;
       9). Kāla;
      10). Vāmadeva และ;
      11). Dhṛtavrata.

       พระวสุ 8 พระองค์ (อ้างถึง: ศรีมัด ภควัต-คีตา ตามความเชื่อของไวษณพนิกาย พระวสุ เป็น กึ่งเทพ 8 องค์ - eight demigods) หมายถึง ความดี หรือ ทวยเทพแห่งความสว่าง ประกอบด้วย:
       1). อาปา Apa: Containing Water,
       2). ธุรวา Dhruva: polestar,
       3). โสม Soma: moon,
       4). ธารา Dharā: earth,
       5). อนิลา Anila: wind,
       6). อนาลา Anala: fire;
       7). ปรัทยูษะ Pratyūṣa: dawn;
       8). ประภาส Prabhāsa: light.

1.

เทพฝาแฝดอัศวินมีพระพักตร์เป็นม้ากำลังนั่งบนรถ ตามคติโบราณไทยที่ได้รับจากชมพูทวีปในกาลต่อมา, เก็บเป็นแฟ้มรวบรวมไว้เมื่อ 1 มกราคม พ.ศ.2503 ไม่ทราบชื่อจิตรกร,ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง 30 มีนาคม 2566.

       เทพฝาแฝดอัศวิน (अश्विन् - The Aśvins) เป็นเทพฝาแฝดมีศีรษะเป็นม้า เป็นเทพที่เกี่ยวกับการแพทย์ สุขภาพ รุ่งอรุณ และวิทยาศาสตร์ ในฤคเวทนั้นอธิบายว่า เทพฝาแฝดผู้เยาว์วัยทั้งสอง เดินทางด้วยรถม้าที่ลากโดยม้าที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และแสดงตนเป็นเทพผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้องและช่วยเหลือผู้คนในสถานการณ์ต่าง ๆ . ในมหากาพย์มหาภารตะกล่าวว่าเทพอัศวินเป็นบุตรแห่งพระอาทิตย์และนางสัญญา (संज्ञा - Sañjñā หรือ Saṃjñā) ภารดาปาณฑพฝาแฝด นกุล และสหเทพนั้น เป็นบุตรของเทพอัศวิน.

       เรื่องราวของเทพฝาแฝดอัศวิน ปรากฎอยู่ในบทสวดราว 50 บท และในบางส่วนของบทสวดอื่นอีกมาก1. ทั้งสองแยกจากกันไม่ออก เป็นเจ้าแห่งความสว่างไสวและความวิภา (ความเป็นเงา ความแวววาว) แข็งแกร่ง ว่องไว และปราดเปรียวดุจนกอินทรี. ทั้งสองเป็นโอรสแห่งสวรรค์ และมีรุ่งอรุณ (The Dawn) เป็นกนิษฐา. เชื่อว่าปรากฎการณ์ในช่วงพลบค่ำย่ำสนธยาเป็นรากฐานทางวัตถุของทั้งคู่. ด้วยเหตุนี้เราจึงมีอัศวินฝาแฝดที่สอดคล้องกับรุ่งอรุณและพลบค่ำ. ทั้งสองค่อย ๆ กลายเป็นแพทย์ของทวยเทพและมนุษย์ ผู้ทำงานอันน่ามหัศจรรย์ ผู้พิทักษ์ความรักและชีวิตสมรส ตลอดจนปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้พ้นจากความทุกข์ทนทุกกรณีทุกประการ.




หมายเหตุ คำอธิบาย:
01. พระรุทระ ในฐานะ "ทิศามฺปติ" ดังข้อความว่า "ขอความนอบน้อมจงมีแต่ (เทพรุทระ) ผู้มีแขนสีทอง ผู้เป็นจอมทัพ ผู้เป็นใหญ่แห่งทิศทั้งหลาย ผู้มีศีรษะอันงดงามคือต้นไม้ทั้งหลาย ผู้เป็นใหญ่แห่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นใหญ่แห่งเส้นทางโคจรทั้งหลาย ผู้มีรัศมีสีแดง ผู้เป็นใหญ่แห่งความเจริญรุ่งเรือง ผู้มีเกศาสีทอง ผู้สวมสายยัชโญปวีต" (อ้างอิง: นายณัชพล ศิริสวัสดิ์ หน้าที่ 83 ของวิทยานิพนธ์ อักษรศาสตร์มหาบัณฑิต คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2555).

1.
2.
หน้าที่ 9

พระอินทร์, พัฒนาไว้เมื่อ 13 สิงหาคม 2567.
1.
       พระอินทร์ (इन्द्र - Indra) (สันสกฤต: อินฺทฺร) เป็นเทวราช ตามคติในศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ และศาสนาเชน มีหน้าที่ปกครองสวรรค์ (Svarga-Heaven) และอภิบาลโลก ถือกำเนิดขึ้นในสมัยฤคเวท ต่อมาในสมัยที่ตรีมูรติอุบัติขึ้น พระอินทร์ก็ถูกลดบทบาทลงและเริ่มมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสมมากขึ้น กระทั่งถูกลดบทบาทเป็นเทวดาชั้นรองจากมหาเทพตรีมูรติในปัจจุบัน, เป็นเทพด้านสงคราม, สายฟ้า (Lightning), เทพเจ้าด้านทิศตะวันออก, อาวุธคือวัชระ (Vajra - Thunderbolt) , สัตว์พาหนะคือช้างเอราวัณ (Airavata-White elephant), บิดาคือ ฤๅษีกัศยปะ (कश्यप - Kaśyapa), มารดาคือพระแม่อทิติ (अदिति - Aditi), คู่ครองคือ พระแม่ศจี หรือ พระอินทราณี (शची - Śacī - Shachi หรือ इन्द्राणी - Indrāṇī) เมื่อพิจารณาเทียบเคียงตามสายเทพเจ้า Indo-European แล้ว เทียบได้กับเป็น ซุส (Zeus-Greek), จูปิเตอร์ (Jupiter-Roman), Perun-Slavic, ธอร์ (Thor-Norse หรือ Nordic), และ โอดิน (Odin-Norse หรือ Nordic), พระอินทร์มีหลายสมัญญา คือ
  • ท้าวสหัสนัยน์ (ท้าวพันตา),
  • ท้าวโกสีย์,
  • ท้าวสักกะ (Śakra),
  • เทวราช,
  • อมรินทร์,
  • ศักรินทร์,
  • มัฆวาน,
  • เพชรปาณี,
  • พระสวรรคาธิบดี,
  • พระวัชรหัสต์,
  • พระวัชรปาณี,
  • พระศักระ,
  • พระวฤษัน,
  • พระวฤตรหัน,
  • พระสุเรนทร์,
  • พระสหัสเนตร,
  • พระสหัสรากษะ,
  • พระปุรันทร,
  • พระชินษณุ เป็นต้น
                                                                                                         ที่มา: en.wikipedia.org, th.wikipedia.org, และ www.tumnandd.com, วันที่สืบค้น 25 มีนาคม 2561.


       พระอินทร์ ทรงเป็นหนึ่งในห้ารูปธรรมชาติของพระอัคนี (เทพแห่งแสงสว่างแห่งสวรรค์ในคัมภีร์พระเวท) รูปแบบนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อของพระอินทร์ หรือ วายุ (वायु - Vāyu) เป็นตัวแทนของพลังแห่งสายฟ้าที่สถิตอยู้ในเมฆ. พระองค์คือไฟแห่งอวกาศ (ของโลกกลาง) เป็นแหล่งกำเนิดของเพลิงไหม้และไฟป่าอันน่าสะพึงกลัว (दावाग्नि - dāva-agni - Forest fire - ดาว-อัคนี). 
1.
2.
หน้าที่ 10

พระวิวัสวัตหรือพระสูรย์ (สุริยะ), วิหารพราหมณ์ในกรุงนิวเดลี ภารตะ, ที่มา: fr.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง 1 สิงหาคม 2567.
1.
       พระสุริยะ หรือ พระสูรย์ (सूर्य - Sūrya) หมายถึงเทพเจ้าผู้ให้แสงสว่างแก่โลก. พระสุริยะหรือพระอาทิตย์ เป็นบุตรของฤๅษีกัศยปะกับเทพีอทิติ. โดยมีพี่น้องร่วมครรภ์มารดาเดียวกัน 12 พระองค์ (ดูหน้าที่ 7 ข้างต้น)

       พระวิวัสวัต หรือ พระไววัสวัต (विवस्वत् - Vivasvat) บ้างคัมภีร์ก็เรียก Vivasvant หมายถึง 1) พระอาทิตย์ 2) ชื่อของพระอรุณ (अरुण  - Aruṇa) 3) ชื่อของพระมนูองค์ปัจจุบัน ลำดับที่เจ็ด (वैवस्वत मनु  - Vaivasvata Manu) รายละเอียดดูในหมายเหตุ 01. หน้าที่ 5 ของ คัมภีร์ปุราณะ 1.

1.
2.
หน้าที่ 11
       พระสวิตฤ (सवित्रि - Savitṛ) บ้างก็เรียก พระสวิต์ฤ เป็นเทพเพศชาย พระองค์มีพระวรกายงดงามด้วยพระหัตถ์ทองคำ พระองค์เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมแห่งมนุษย์ เช่น ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเคารพ ความเชื่อฟัง ความปรารถนา ความรู้สึกเป็นเจ้าของ และความเมตตากรุณา พระองค์ไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น.

       ทรงประกอบพิธีกรรมในบทสวดทั้งสิบเอ็ดบท ทั้งยังทรงเป็นสุริยเทพอีกด้วย. มีคำพรรณาถึงพระองค์ว่ามีพระเนตรสีทอง พระหัตถ์สีทอง และพระชิวหาก็สีทอง. บางครั้งพระองค์ก็แตกต่างจากพระอาทิตย์ แม้ว่าจะถูกเรียกว่าเป็นพระอาทิตย์บ่อยครั้งก็ตาม. พระสวิตฤนั้นไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนของพระอาทิตย์ที่เจิดจ้าด้วยลำแสงสีทองในยามทิวาเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของพระอาทิตย์ที่มองไม่เห็นในยามราตรีอีกด้วย. (อ้างถึงหน้าที่ 81 ของ ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 1.004 - ยุคพระเวท: บทสวดแห่งฤคเวท (ต่อ 1).)

พระสวิตฤ, ที่มา: 
https://x.com/Kalakavrikshiya/status/1752310928106987577/photo/2, วันที่เข้าถึง: 22 กันยายน 2568.
1.
       พระองค์มีพระลักษณะอันศักดิ์สิทธิ์. แท้จริงแล้วพระองค์คือตัวแทนของดวงอาทิตย์. เทพผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นผู้ริเริ่ม ในฐานะเจ้าแห่งการริเริ่ม พระองค์ได้ผลักดันสรรพสัตว์และตัวแทนแห่งธรรมชาติให้ปฏิบัติหน้าที่ของตน การริเริ่มของพระองค์ยังเป็นเครื่องมือในการกำจัดความชั่วร้ายทั้งปวง. แม้ว่าแม้ว่าเทพสวิตฤจะเชื่อมโยงกับทั้งสามโลก แต่พระองค์เชื่อมโยงกับสวรรค์เป็นหลัก พระองค์เชื่อมโยงกับทิศเหนือและทิศตะวันตก.

      ในคัมภีร์ไอตเรยะ-พราหมณะ (บรรพที่ 7 สรรคที่ 4 โศลกที่ 2) เปรียบเทียบดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นพร้อมกับพระสวิตฤ ความเท่าเทียมกันของพระสวิตฤกับพระปราณะ (prāṇa) (ไอตเรยะ-พราหมณะ บรรพที่ 1 สรรคที่ 4 โศลกที่ 2 และ บรรพที่ 3 สรรคที่ 3 โศลกที่ 5) ก็มีหลักฐานยืนยันเช่นเดียวกัน เพราะดวงอาทิตย์เป็นที่รู้จักกันในชื่อพระปราณะ (ไอตเรยะ-พราหมณะ บรรพที่ 5 สรรคที่ 5 โศลกที่ 6).

       
พระสวิตฤเป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์และพืชพันธุ์ พระองค์ทรงเป็นพลังแห่งชีวิตและเป็นต้นกำเนิดของกิจกรรมทางโลกทั้งปวง พระองค์ทรงประทานอายุยืนยาวและทรงคุ้มครองกายของสรรพสัตว์ สิ่งที่ควรกล่าวถึงคือพระสวิตฤทรงเป็นอมตะ พระสวิตฤเชื่อมโยงกับพระเวท โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคัมภีร์สามเวท (Sāmaveda)  พระองค์ทรงเชื่อมโยงกับทุกระยะ แต่กับระยะของพระองค์เอง คืออุษณิก (Uṣṇik) พระองค์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลัทธิบูชายัญด้วย พระองค์เกี่ยวข้องกับสูตรบูชาต่าง ๆ ทั้งพิธีกรรมบูชาทั้งหมด นักบวชบูชายัญพิธี และเครื่องบูชาต่าง ๆ . แต่ความสัมพันธ์ของพระองค์กับพิธีกรรมอาศวินศัตร (Āśvinaśatra) ปรายณียะ (Prāyaniya) และไวศวเทวะ (Vaiśvadeva) สมควรได้รับการกล่าวถึงเป็นพิเศษ การดื่มเนยเป็นเครื่องบูชาส่วนพระองค์ พระองค์บูชาพระโสมในตอนเช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการคำนับครั้งที่สามของการบูชาพระโสม.

       
พระสวิตฤมีจุดอ่อนต่อมนุษย์ พระองค์มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับเทพองค์อื่น ๆ พระองค์เป็นหนึ่งในเหล่าอาทิตยเทพ (the Ādityas). เหล่าฤภู (The Ṛbhus) เป็นศิษย์ของพระองค์. พระองค์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาบดี (Prajāpati) พระอินทร์ พระโสม พระอัศวินคู่แฝด พระวรุณ เทพีอทิติ และเทพองค์อื่น ๆ อีกมากมาย คุณสมบัติของมนุษย์ที่ปรากฏอยู่ในพระสวิตฤ รูปร่างและกิจกรรมต่าง ๆ ของพระองค์ สถานที่ของพระองค์ในลัทธิบูชาการทำยัญพิธี และการกล่าวถึงพระองค์ในฐานะพระอุปัชฌาย์ของเหล่าฤภู (ไอตเรยะ-พราหมณะ, บรรพที่ 3 สรรคที่ 3 โศลกที่ 6) ทำให้พระองค์เป็นเทพเจ้าที่สำคัญ.


แหล่งอ้างอิง:
01. จาก. "The Illustrated Mahabharata: A Definitive Guide to India's Greatest Epic," ISBN: 978-0-2412-6434-8, สำนักพิมพ์เพนกวิน แรนดัม เฮ้าส์, พ.ศ.2560, พิมพ์และเข้าเล่มในประเทศจีน, www.dk.com.
02. จาก. www.wisdomlib.org.






 
humanexcellence.thailand@gmail.com