ภาพสลักหิน พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร กำแพงหรือระเบียงคดชั้นนอก ทิศใต้ปีกตะวันตก ถ่ายไว้เมื่อ: 13 ตุลาคม 2565.
19. ปราสาทบันทายฉมาร์01,02,03.
First revision: Dec.02, 2019
Last change: Oct.24, 2022
สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง และปริวรรตโดย อภิรักษ์ กาญจนคงคา.
       บันทายฉมาร์ หรือ บันเตียยฉมาร์ หรือ บันฑารฉมาร์ (Banteay Chhmar/Bantãy Čhmàr) แปลว่า "เมืองขนาดเล็ก" "ปราสาทน้อย" หรือ "ป้อมเล็ก" ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดบันเตียเมียนเจย (Banteay Meanchey) หรือ "บ้านใต้มีชัย" ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศกัมพูชา ห่างจากเมืองศรีโสภณไปทางทิศเหนือตามเส้นทางถนน ประมาณ 63 กิโลเมตร (เลาะริมชายแดน ถนนมีสภาพดี ข้อมูล ณ 13 ตุลาคม 2565) ห่างจากชายแดนไทยในแนวเส้นตรงตะวันตก ประมาณ 20 กิโลเมตร.
       ภาพสลักนูนต่ำด้านทิศตะวันออกจะน่าชมมาก หากไปในช่วงเช้า ช่วงหลังเที่ยงวันเป็นต้นไป ภาพสลักนูนต่ำด้านทิศตะวันตกจะน่าชมมาก สำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้าชมนั้น ต้องระวังการลื่นล้ม เพราะหินค่อนข้างเปียกชึ้น.
       ตัวเมืองโบราณมีอายุมาตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-17 พบร่องรอยของคูน้ำขนาดใหญ่ (เป็นรูปตัวแอล 4 มุม และมีหินทรายสลักเป็นเทพและอสูรยุดนาคไว้ เหมือนปราสาทพระขรรค์ที่เมืองพระนคร) และคันดินของเมืองรูปสี่เหลี่ยมขนาด 3.5*2.5 กิโลเมตร ด้วยเพราะเป็นจุดที่ตั้งสำคัญบนเส้นทางภูมิภาคเขมรสูง (อีสานใต้) ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 จึงมีการสร้างกลุ่มปราสาทประธานขนาดใหญ่ของเมืองที่เรียกว่า "ปราสาทบันทายฉมาร์" มีปราสาทบริวารขนาดเล็กล้อมรอบ 9 หลัง และ "พลับพลาลงสรง" ท่าน้ำลงสู่บารายอีก 1 แห่ง (ได้รับการบูรณะล่าสุดเมื่อปี พ.ศ.2564).
 ตรงลานหินทางเข้าปราสาทบันเตียฉมาร์ทางทิศตะวันออก หัวบันไดจะเป็นรูปสลักหินทรายครุฑนั่งอยู่เหนือนาค (ไม่ใช่ครุฑยุดนาค เพราะด้วยคติทางพระพุทธศาสนามหายาน ตันตระ จะมีความเมตตา อ่อนโยน ไม่รุนแรง) ถ่ายไว้เมื่อ 13 ตุลาคม 2565.
ตรงลานหินทางเข้าปราสาทบันเตียฉมาร์ทางทิศตะวันออก หัวบันไดจะเป็นรูปสลักหินทรายครุฑนั่งอยู่เหนือนาค (ไม่ใช่ครุฑยุดนาค เพราะด้วยคติทางพระพุทธศาสนามหายาน ตันตระ จะมีความเมตตา อ่อนโยน ไม่รุนแรง) ถ่ายไว้เมื่อ 13 ตุลาคม 2565.
       ปราสาทบันมายฉมาร์นี้ มีภาพแกะสลักเป็นหน้าบุคคล (บ้างก็ว่าเป็นพระพุทธเจ้า บ้างก็ว่าเป็นคติพระโพธิสัตว์) คล้ายกับปราสาทบายน ตรงหน้าบันปราสาททิศต่าง ๆ แสดงภาพแกะสลักเรื่องราวตามคติพราหมณ์-ฮินดู) 
       ราชวิหารบันเตียฉมาร์และปราสาทบริวาร 8 หลัง สร้างขึ้นในคติพระโพธิสัตว์ผู้เรืองอำนาจตามลัทธิ "โลเกศวร - Lokeśvara" ในกลุ่ม "วัชรยานตันตระ - Vajrayāna Tantra Buddhism" อันเป็นราชนิยมของพระเจ้าชยวรมเทวะที่ 7 ช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 นอกจาก "ปราสาทแม่บุญ - Maebon" บนเกาะกลางบารายตะวันตก ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็น "ไวกูณฐ์ - Vaikuṇṭha" วิมานหรือจักรวาลที่พระวิษณุประทับกลางเกษียรสมุทร (Kṣīrasāgara) หรือทะเลน้ำนม ตามแนวคิดความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไวษณพนิกาย. 
ภาพจากซ้ายไปขวา: พระเจ้าชยวรมเทวะที่ 7 และเจ้าชายศรีนทรกุมาร และกองทัพของพระเจ้าชยวรมเทวะที่ 7 ในการรบกับกองทัพจาม, ภาพสลักแสดงไว้ตรงระเบียงคดด้านนอกทิศใต้ปีกตะวันออก ถ่ายไว้เมื่อ 13 ตุลาคม 2565.
       ปราสาทประธานของเมืองเป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่มีการวางผังอาคารเป็นเครือข่ายซับซ้อน ตั้งอยู่กึ่งกลางภายในเมืองที่มีคูเมืองชั้นนอกขนาดประมาณ 1.72*1.97 กิโลเมตร ด้านหน้าชนกับบาราย (Baray) ขนาดประมาณ 1,653*822 เมตร  (ปัจจุบันได้มีการบูรณะ น้ำเต็มบาราย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ - 13 ตุลาคม 2565.) คูน้ำชั้นในขนาดประมาณ 820*890 เมตร (มีเขื่อนดินพอกกันน้ำไว้) ที่มีกำแพงล้อมรอบขนาดประมาณ 680*740 เมตร ระเบียงคดชั้นนอกขนาดประมาณ 260*190 เมตร บริเวณกึ่งกลาง/ค่อนไปทางตะวันตก มีกลุ่มอาคารภายในเรียงต่อกันด้วยฉนวนระเบียง ระเบียงชั้นในขนาดประมาณ 45*140 เมตร มีปราสาทประธาน 3 หลัง กลางกลุ่มอาคารมียอด “พระพักตร์พระโพธิสัตว์สมันตมุข 4 ทิศ” สร้างขึ้นในช่วงระหว่างกลางพุทธศตวรรษที่ 18 เพื่อถวายพระเกียรติแก่ “เจ้าชายศรีนทรกุมารราชบุตร” (Prince Śrīndrakumāra Rājaputra) หรือพระนาม (Kamarateṇ Jagatta Śrī-Śrīndradeva) ซึ่งเป็นรัชทายาทหรืออุปราชผู้สืบสันตติวงศ์ และเหล่าองครักษ์หลวงผู้ภักดีทั้ง 4 (ที่ตายในสมรภูมิรบ) อาทิ “อนักสัญชัก อรชุน” (Anak Sañjak Arjuna) /ปราสาทมุมตะวันออกเฉียงใต้ “อนักสัญชักศรีธรเทวะปุระ” (Anak Sañjak Śrīdharadevapura) /ปราสาทมุมตะวันออกเฉียงเหนือ ในการต่อสู้กับ “ภารตะราหู” (Bharata rāhu) ในเหตุการณ์การรัฐประหารในสมัยพระเจ้ายโศวรมเทวะที่ 2 โดยพระเจ้าตรีภูวนาทิตยวรมเทวะ ทั้งสองได้รับการอวยยศเป็น “อำเตง” (Amteṅ) ส่วน “อนักสัญชัก เทวะปุระ” บุตรของสัญชักศรีธรเทวะปุระผู้กล้าหาญ ได้รับตำแหน่ง “พระกมรเตงอัญศรีนฤปสิงหวรมเทวะ (Vraḥ Kamarateṇ Añ Śrī Nṛipasimhavarman)
 
 
           ภาพจากซ้ายไปขวา: ยุทธนาวีในตนเลสาบกับกองทัพจาม เป็นภาพสลักแสดงไว้ตรงระเบียงคดด้านนอกทิศใต้ปีกตะวันออก, และในกลุ่มปราสาทมณฑลด้านในของปราสาทบันเตียฉมาร์ แสดงทับหลังเรื่องราวในมหากาพย์รามายณะ เป็นภาพพราหมณ์อุ้มเด็กที่ป่วยมาหาพระราม แล้วกล่าวหาว่าพระองค์ปกครองไม่อยู่ในทศพิธราชธรรม เกิดอาเพททำให้เด็กป่วย ถัดมาเป็นการที่พระรามตัดศีรษะพวกศูทร คนวรรณะต่ำที่บังอาจเรียนรู้พระเวท (สะท้อนแสดงให้เห็นถึงความเคร่งครัดด้านวรรณะของคนอินเดียโบราณ), ถ่ายไว้เมื่อ 13 ตุลาคม 2565.
ภาพจากซ้ายไปขวา: ยุทธนาวีในตนเลสาบกับกองทัพจาม เป็นภาพสลักแสดงไว้ตรงระเบียงคดด้านนอกทิศใต้ปีกตะวันออก, และในกลุ่มปราสาทมณฑลด้านในของปราสาทบันเตียฉมาร์ แสดงทับหลังเรื่องราวในมหากาพย์รามายณะ เป็นภาพพราหมณ์อุ้มเด็กที่ป่วยมาหาพระราม แล้วกล่าวหาว่าพระองค์ปกครองไม่อยู่ในทศพิธราชธรรม เกิดอาเพททำให้เด็กป่วย ถัดมาเป็นการที่พระรามตัดศีรษะพวกศูทร คนวรรณะต่ำที่บังอาจเรียนรู้พระเวท (สะท้อนแสดงให้เห็นถึงความเคร่งครัดด้านวรรณะของคนอินเดียโบราณ), ถ่ายไว้เมื่อ 13 ตุลาคม 2565.
       ในจารึกช่วงหลังยังกล่าวถึง “อนักสัญชักศรีเทวะ” (Anak Sañjak Śrī Devadeva) /ปราสาทมุมตะวันตกเฉียงใต้ และ “อนักสัญชัก ศรีวรทธนะ” (Anak Sañjak Śrīvardhana) /ปราสาทมุมตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้เป็นพระญาติของเจ้าชาย ที่พลีชีพปกป้องเจ้าชายในการต่อสู้ผ่าวงล้อมทหารจามปาที่ “เขาเฉกคทัน/เขาไม้ไผ่” (Ček Katan) เมื่อเสร็จสิ้นสงคราม ทั้งสองได้รับการอวยยศเป็น “อำเตง ตามความในจารึกบันทายฉมาร์ 1 (K.227).
 
 
       
ภาพจากซ้ายไปขวา: ในกลุ่มปราสาทมณฑลด้านในของปราสาทบันเตียฉมาร์ แสดงทับหลังเรื่องราวตอนต้นของมหากาพย์รามายณะในพาลกัณฑ์  ด้วยฤๅษีวามีกิ (Valmiki) ผู้รจนารามายณะนั้น เดินเข้าพงป่าเพื่อสรงน้ำแบบพราหมณ์ ก็เจอนกกระเรียนสาระสาคู่หนึ่ง (Sarus Crane) กำลังแสดงความรักกัน พลันมีพรานป่าใช้ธนูยิงตัวผู้ตาย ฤๅษีวาลมีกิรับรู้ถึงความโศกเศร้าของกระเรียนเพศเมีย จึงได้สาปแช่งพราน วลีที่ออกจากปากของฤๅษีนั้น มีรูปแบบและจังหวะซึ่งเหมาะสมกับการประกอบดนตรี และลำนำเพลง เมื่อฤๅษีกลับถึงอาศรมแล้ว พระพรหมเสด็จมาเยือน ตรัสให้ฤๅษีได้รับพร และนำความสะเทือนใจนี้ ไปแต่งบทกลอน โศลกเกี่ยวกับวีรบุรุษชื่อ พระราม ให้ขยายเนื้อหาออกไป  "ตราบใดที่ยังมีพนมภูเขาตระหง่าน และตราบใดที่ยังมีมหานทีไหลผ่านพระแม่ธรณีอยู่นี้ ตราบนั้นมหากาพย์รามายณะก็ยังคงเผยแพร่หมุนเวียนให้ศึกษากันในโลก ตราบใดที่เรื่องราวของพระรามที่ท่านได้ประพันธ์ขึ้นไว้ ตราบนั้นจักดำรงสถาวร จวบถึงเวลานั้น (เรื่องราวของ) เจ้าจักประจักษ์อยู่ทั้งแดนสวรรค์ แดนมนุษย์และในโลกของเรา" กล่าวจบ พระพรหมอันเรืองจรัสก็อันตรธานไป.
พระพรหมตรัสต่อฤๅษีวาลมีกิ, สรรค (2), พาลกัณฑ์., ภาพถัดมาเป็นทับหลังแสดงพระตรีมูรติ แยกออกเป็นสามองค์ คือพระศิวะอยู่ข้างบน ด้านซ้ายของภาพเป็นพระพรหม ถัดมาด้านขวาเป็นพระวิษณุ, ถ่ายไว้เมื่อ 13 ตุลาคม 2565.
       จารึกบันทายฉมาร์ 1 ยังได้กล่าวถึงเหล่าทหารกล้าของเจ้าชายที่ได้ร่วมรบอย่างกล้าหาญยอมพลีชีพเพื่อป้องกันราชบัลลังก์และเหล่าเชื้อพระวงศ์ ใน 78 สมรภูมิ ต่างได้รับพระราชทานรางวัลและเกียรติยศจากพระเจ้าชยวรมเทวะที่ 7 ให้แก่ครอบครัวโดยทั่วหน้า มีการสร้างรูปเคารพแห่งเจ้าชายศรีนทรกุมารไว้ในปราสาท ทั้งยังสร้างรูปแทนอนักสัญชักสำคัญทั้ง 4 ประดิษฐานไว้ในคูหาต่าง ๆ ของราชวิหารบันทายฉมาร์
       ปราสาทบันทายฉมาร์ สันนิษฐานว่าเริ่มมีการก่อสร้างครั้งแรกหลังปี พ.ศ. 1733 – 35 ภายหลังจากสงครามพิชิตเมืองวิชัยปุระ (Vijayapur) ศูนย์กลางอาณาจักรจามปาไปแล้ว.
 
        ภาพจากซ้ายไปขวา: ภาพสลักหินทรายตรงเบียงคดด้านนอกทิศเหนือปีกตะวันตก ซ้ายขวาของกรอบประตูทางเข้าออกปราสาทชั้นใน ในหนังสือ 03 กล่าวว่า "prince battles demon" ซึ่งคุณโอภาส ผู้นำทริปอภิบายจากการค้นคว้าเสริมว่าเป็นเรื่องราวในมหาภารตะยุทธ ในอาทิบรรพ เกี่ยวกับการปราบรากษสชื่อ "พกะ" ของภีมะ หรือ ภีมเสน เพื่อช่วยชาวบ้านที่ถูกพกะบังคับให้ส่งอาหาร วัว และสังเวยคนในหมู่บ้านมาให้กินเนือง ๆ , ถ่ายไว้เมื่อ 13 ตุลาคม 2565.
ภาพจากซ้ายไปขวา: ภาพสลักหินทรายตรงเบียงคดด้านนอกทิศเหนือปีกตะวันตก ซ้ายขวาของกรอบประตูทางเข้าออกปราสาทชั้นใน ในหนังสือ 03 กล่าวว่า "prince battles demon" ซึ่งคุณโอภาส ผู้นำทริปอภิบายจากการค้นคว้าเสริมว่าเป็นเรื่องราวในมหาภารตะยุทธ ในอาทิบรรพ เกี่ยวกับการปราบรากษสชื่อ "พกะ" ของภีมะ หรือ ภีมเสน เพื่อช่วยชาวบ้านที่ถูกพกะบังคับให้ส่งอาหาร วัว และสังเวยคนในหมู่บ้านมาให้กินเนือง ๆ , ถ่ายไว้เมื่อ 13 ตุลาคม 2565.
       ปราสาทบริวารขนาดเล็กโดยรอบราชวิหาร 5 แห่ง จาก 8 แห่ง คือ “ปราสาทตาเอม” (Ta Em) ทางตะวันออก “ปราสาทยายคุม” (Yeay Kom) “ปราสาทตาแนม” (Ta Nem) ทางตะวันตก และ “ปราสาทตาปรัง” (Ta Phlang) ทางทิศใต้ จึงอาจมีความเกี่ยวพันกับเรื่องราวของราชองค์รักษ์/อนักสัญชักในจารึกบันทายฉมาร์ ด้วยเพราะมีการจัดวางตำแหน่งปราสาทตามแผนผังสมมาตรจากประตูโถงใหญ่ชั้นในของตัวพระวิหารใหญ่ทั้ง 4 ทิศ เหมือนเป็นผู้ปกป้องประตูทั้ง 4 ด้าน ทั้งยังมีขนาด รูปแบบทางสถาปัตยกรรมและองค์ประกอบแบบเดียวกันทั้งหมด คือมีคูน้ำขนาดเล็กกว้างยาวประมาณ 75*90 เมตร กำแพงล้อมรอบขนาดประมาณ 35 * 50 เมตร ปราสาทประธานผังจัตุรมุขยอดทรงวิมานศิขระ มีมุขกระสันสั้น ๆ เชื่อมอาคารระเบียงหลังคาซ้อนชั้นมีประตูด้านข้าง ด้านหน้าเชื่อมต่อมณฑปและอรรธมณฑป (Ardhamandapa) มุขหน้าไปเกือบชนกับอาคารซุ้มประตูโคปุระด้านหน้าแบบปีกข้างสั้น มีโคปุระด้านหน้าหลังเดียว ด้านอื่น ๆ เป็นกำแพงล้อม เป็นอาคารต่อกันกว้างขนาดประมาณ 5-8 (รวมมุขข้างของเรือนประธานจัตุรมุข) ยาวประมาณ 16 เมตร มีบรรณาลัยขนาดเล็กอยู่ด้านข้าง
       ปราสาทบริวารอีกกลุ่มหนึ่ง 3 หลัง มีขนาดพื้นที่ใหญ่กว่า น่าจะสร้างขึ้นในช่วงหลังจากที่มีการสร้างราชวิหารและปราสาทบริวารขนาดเล็กตามผังทิศสมมาตรไปแล้วระยะหนึ่ง คือ “ปราสาทสำนางตาสุข” (Samnang Ta Sok) นอกเมืองทางทิศตะวันออก “ปราสาทเจิ๊นเจิมเตร๊ย” (Chegnchem Trei) นอกเมืองทางทิศเหนือนอกคูน้ำ และ “ปราสาทยายจู” (Yeay Chu) ตั้งอยู่ภายในคูเมืองทางตะวันออกเยื้องลงมาทางใต้ ทั้ง 3 ปราสาท มีคูน้ำขนาดใหญ่ชั้นนอกขนาดประมาณ 150*170 เมตร และชั้นในประมาณ 110*110 เมตร ล้อมรอบ 2 ชั้น เกาะปราสาทกลางมีขนาด 70 * 90 เมตร มีทางเดินเข้าด้านหน้าและหลัง กำแพงล้อมรอบปราสาทมีขนาดประมาณ 50*55 เมตร มีซุ้มประตูโคปุระด้านหน้าเพียงด้านเดียว มีปราสาทประธานผังจัตุรมุข มุขด้านหน้าและหลังยาวกว่าด้านข้าง ขนาดประมาณ 15*18 เมตร ยอดทรงวิมานมีรูปพระพักตร์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 4 ด้าน (Face Tower) มีอาคารบรรณาลัยขนาดเล็กด้านหน้าซีกทิศใต้ แต่ปราสาทยายจู ถึงจะมีขนาดพื้นที่ใหญ่ แต่กลับมาปราสาทต่อเป็นเรือนยาวแบบเดียวกับปราสาทหลังเล็ก.
 
           ภาพจากซ้ายไปขวา: ภาพสลักหินทรายตรงเบียงคดด้านนอกทิศเหนือปีกตะวันตกริมสุด เป็นภาพสลักเกี่ยวกับการกวนเกษียรสมุทร เป็นศิลปะแบบบายน บุคคลที่ยุดหางพญานาคท้ายสุดคือพญาวานร "พาลี" (ด้วยเพราะสวมมงกฎและเป็นวานร นั่นคือ Monkey King แห่งเมืองขีดขินธ์ ในมหากาพย์รามายณะนั่นเอง), และภาพสลักหินทรายตรงเบียงคดด้านนอกทิศใต้ปีกตะวันตก เป็นภาพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร, ถ่ายไว้เมื่อ 13 ตุลาคม 2565.
ภาพจากซ้ายไปขวา: ภาพสลักหินทรายตรงเบียงคดด้านนอกทิศเหนือปีกตะวันตกริมสุด เป็นภาพสลักเกี่ยวกับการกวนเกษียรสมุทร เป็นศิลปะแบบบายน บุคคลที่ยุดหางพญานาคท้ายสุดคือพญาวานร "พาลี" (ด้วยเพราะสวมมงกฎและเป็นวานร นั่นคือ Monkey King แห่งเมืองขีดขินธ์ ในมหากาพย์รามายณะนั่นเอง), และภาพสลักหินทรายตรงเบียงคดด้านนอกทิศใต้ปีกตะวันตก เป็นภาพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร, ถ่ายไว้เมื่อ 13 ตุลาคม 2565.
       “ปราสาทตาพรหม” (Ta Prohm) ปราสาทบริวารขนาดใหญ่อีกหลังหนึ่งภายในเมือง ติดกับปราสาทตาปรังทางทิศใต้ มีรูปแบบของ “ปราสาทอาโรคยศาลา” (Ārogya - Śālā) ประจำเมืองบันทายฉมาร์ มีคูน้ำล้อมรูปขนาดประมาณ 80*95 เมตร เกาะปราสาทมีขนาดประมาณ 45*70 เมตร กำแพงแก้วมีขนาดประมาณ 40*55 เมตร ล้อมรอบ ปราสาทประธานมีขนาดกว้างยาวประมาณ 20 * 20 เมตร (มุขด้านหน้าและหลังยาวปีกด้านข้าง ยอดทรงวิมานมีรูปพระพักตร์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 4 ด้าน เช่นเดียวกัน มีอาคารโคปุระขนาดใหญ่ด้านหน้าเพียงหลังเดียว.
 พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร, ตรงกรอบประตูระเบียงคดทิศใต้ปีกตะวันตก, ถ่ายไว้เมื่อ 13 ตุลาคม 2565
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร, ตรงกรอบประตูระเบียงคดทิศใต้ปีกตะวันตก, ถ่ายไว้เมื่อ 13 ตุลาคม 2565.
       ปราสาทบริวารอีกหลังหนึ่ง เรียกว่า “ปราสาทแม่บุญ” (Mebon บ้างก็เขียน Maebon) ตั้งอยู่กลางบาราย ล้อมรอบด้วยคูน้ำ 3 ชั้น เกาะปราสาทมีขนาดประมาณ 70* 110 เมตร กำแพงแก้วขนาดประมาณ 60 *100 เมตร มีซุ้มประตูโคปุระด้านหน้าและด้านหลัง ตัวปราสาทมีรูปแบบเดียวกับปราสาทบริวารหลังเล็ก คือปราสาทประธานผังจัตุรมุขยอดทรงวิมานศิขระ มีมุขกระสันสั้น ๆ เชื่อมอาคารระเบียงหลังคาชั้นซ้อน มีประตูข้าง ต่ออาคารมณฑป อรรธมณฑป และมุขหน้าไปเกือบชิดกับอาคารซุ้มประตูโคปุระด้านหน้าแบบปีกข้างสั้น เป็นอาคารต่อกันยาวขนาดประมาณ 30 เมตร มีบรรณาลัยขนาดเล็กอยู่ด้านข้าง เป็นปราสาทในคติฮินดู/ไวษณพนิกาย.
 
 สระสรง (มีการถ่ายภาพ pre-wedding กันอยู่), ถ่ายไว้เมื่อ 13 ตุลาคม 2565.
สระสรง (มีการถ่ายภาพ pre-wedding กันอยู่), ถ่ายไว้เมื่อ 13 ตุลาคม 2565.
       ในปี 2563 ที่ผ่านมา ได้มีการขุดค้นและบูรณปฏิสังขรณ์อาคารพลับพลาลงสรง พระราชนิยมในพระเจ้าชยวรมเทวะที่ 7 บนคันดินฝั่งตะวันตกของบารายใหญ่ เป็นฐานอาคารขนาดประมาณ 35 * 27 เมตร ชั้นบนเป็นฐานพลับพลาจัตุรมุขขนาดประมาณ 22*16 เมตร รองรับอาคารเครื่องไม้ ท่าน้ำลงสรงก่อหินทรายรูปทรงนาคบาท ขนาดประมาณ 23*30 เมตร มีเสาระเบียงหัวราวบันไดรูปหัวครุฑยุดนาค สิงห์ทวารบาลรูปแบบเดียวกับอาคารพลับพลาลงสระด้านหน้าฝั่งทิศตะวันออกของปราสาทบันเตียกะเดย หรือ ปราสาทบันทายกุฎี (Banteay Kdei) แต่แกะสลักส่วนฐานเป็นรูป “หงส์เล่นน้ำและกอบัว” อันเป็นลวดลายเฉพาะของท่าน้ำลงสรงเมืองบันทายฉมาร์.
ที่มา คำศัพท์ และคำอธิบาย:
01. ปรับปรุง เสริมจาก. Facebook เพจ Voranai Pongsachalakorn, วันที่เข้าถึง 10 เมษายน 2565.
02. จาก. "Focusing On The Angkor Temples, The Guidebook 2017 Edition," Michel Petrotchenko,  ISBN 978-616-423-531-1, จัดพิมพ์ที่ บมจ.อมรินทร์ พรินติ้ง ประเทศไทย, ครั้งที่ 4 พ.ศ.2560.
03. จาก. "Banteay Chhmar: Garrison-Temple of the Khmer Empire," Peter D. Sharrock, ISBN 978-616-7339-20-7, River Books, จัดพิมพ์ครั้งแรก ประเทศไทย, พ.ศ.2558.