MENU
TH EN

ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 1.003 - ยุคพระเวท: บทสวดแห่งฤคเวท

Title Thumbnail: คัมภีร์ฤคเวท เป็นภาษาสันสกฤต เขียนขึ้นราว พ.ศ.2038-2278, ถือครองโดย ห้องสมุดบริติช, ที่มา: bl.uk, วันที่เข้าถึง 11 เมษายน 2564. Hero Image: ระบบพราหมณ์ทั้งหก หรือ ษัษทรรศนะ (ษษฺ หรือ ษฏฺ षट्) พัฒนาเมื่อ 11 เมษายน 2564.
ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 1.003 - ยุคพระเวท: บทสวดแห่งฤคเวท
First revision: Apr.11, 2021
Last change: Jul.20, 2025
สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง แปล และปริวรรตโดย
อภิรักษ์ กาญจนคงคา.
 

ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 1.003
 
 
ส่วนที่ 1
 
ยุคพระเวท
   
 
 63
บทที่ 2
บทสวดแห่งฤคเวท

พระเวททั้งสี่ – ส่วนต่าง ๆ ของพระเวท มนต์ พราหมณ์ อุปนิษัทความสำคัญของการศึกษาบทสวด – วัน (ที่ระบุเรื่องราว) และความเป็นผู้ประพันธ์ – มุมมองที่แตกต่างในการสั่งสอนด้วยบทสวด – แนวโน้มทางด้านปรัชญา – ศาสนา – เทวา –  ธรรมชาตินิยมและมานุษยวิทยา – สวรรค์และโลกมนุษย์ - พระพิรุณ - ฤทธา – พระสุริยะ – อุษา – โสม (พระจันทร์) – พระยม – พระอินทร์ - เทพชั้นรองและเทพีต่าง ๆ  – การจำแนกประเภทเทพยดาต่าง ๆ ของพระเวท – แนวโน้มต่าง ๆ ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว - เอกเทวนิยม – ธรรมชาติอันมีเอกภาพ – แรงกระตุ้นที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับภาวะจิตที่มีเหตุผล – การส่งผลของการมีจิตสำนึกทางศาสนา – อติเทวนิยม – พระวิศวกรรม พระพฤหัสบดี พระประชาบดี และพระหิรัณยกภา รุ่งอรุณแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ – ความไม่เพียงพอทางปรัชญาเอกเทวนิยม-ที่เชื่อว่ามีพระเป็นเจ้าเป็นเทวดาองค์เดียว – เอกนิยม - ความเชื่อที่ว่ามีเพียงปัจจัย – ปรัชญาและศาสนา – การคาดเดาเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาของบทสวดพระเวท – นาสาทียะสูกตะ – ความสัมพันธ์ของโลกกับสิ่งที่แน่นอน – ปุรุษะสูกตะ – ศาสนาในทางปฏิบัติ – ผู้สวดมนต์ – เครื่องบูชา หรือ เมธ – กฎทางจริยธรรม – กรรม – การบำเพ็ญทุกรกิริยา – วรรณะ – ชาติหน้า – สองวิถีของบรรดาเทพเจ้าและเหล่าพระบิดา – นรกอเวจี – การเกิดใหม่ – บทสรุป.
1.
2.
I
ระเวท01
ระเวท เป็นเอกสารที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับจิตใจมนุษย์ที่เรามี. วิลสันเขียนไว้ว่า: "เมื่อคัมภีร์ฤคเวทและยชุรเวทเสร็จสมบูรณ์นั้น เราจะมีเอกสารที่เพียงพอสำหรับการประเมินผลลัพธ์ที่ได้จากคัมภีร์เหล่านั้นอย่างปลอดภัย และสภาพการณ์ที่แท้จริงของชาวฮินดู ทั้งทางการเมืองและทางศาสนา ในยุคสมัยที่เทียบเท่ากับบันทึกการจัดระเบียบทางสังคมที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่รู้จัก - ก่อนรุ่งอรุณของอารยธรรมกรีก - ก่อนพบร่องรอยที่เก่าแก่ที่สุดของจักรวรรดิอัสซีเรีย - อาจร่วมสมัยกับงานเขียนภาษาฮิบรูที่เก่าแก่ที่สุด และรองลงมาก็เพียงราชวงศ์อียิปต์เท่านั้น ซึ่งเรายังรู้เพียงเล็กน้อย ซึ่งมีเพียงชื่อที่สืบเสาะไม่ได้ ซึ่งพระเวทได้ให้ข้อมูลที่มากมายแก่เรา
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. พระเวท (वेद - Vedas) โดยทั่วไปถือว่าเป็นคัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หากกล่าวโดยเฉพาะลงไป หมายถึง บทสวดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความเชื่อของชาวอินโดอารยัน หรืออาจเรียกได้ว่าศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยมีการรวบรวมเป็นหมวดหมู่ในชั้นหลัง คำว่า “เวท” นั้น หมายถึง ความรู้ มาจากธาตุ “วิทฺ” विद् (กริยา รู้) (ที่มา: th.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง: 10 กรกฎาคม 2568).
1.
2.
64
เกี่ยวกับสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในการไตร่ตรองศึกษายุคโบราณ."1 มีสี่คัมภีร์01 พระเวท : ฤคเวท02 ยชุรเวท03 สามเวท04 และอรรถรเวท05 โดยที่สามพระเวทแรกนั้น ไม่เพียงแต่สอดคล้องกันในชื่อ รูปแบบ และภาษาเท่านั้น แต่ยังมีความสอดคล้องกันในเนื้อหาอีกด้วย. ฤคเวทถือเป็นพระเวทที่สำคัญที่สุด. เป็นลำนำที่ได้รับแรงดลใจที่ชาวอารยันซึ่งนำมาจากถิ่นเก่าของพวกเขา นำมาสู่ภารตวรรษ ซึ่งเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่สุด จะถูกรวบรวมไว้ เพื่อตอบสนองต่อความปรารถนาที่จะทนุถนอม ครั้นเมื่อชาวอารยันได้พบเหล่าผู้บูชาเทพเจ้าองค์อื่น ๆ จำนวนมากในแผ่นดินใหม่. ฤคเวทคือชุดคัมภีร์ที่สะสมไว้. ส่วนสามเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมพิธีกรรมพิธีสวดล้วน ๆ . เนื้อหาส่วนใหญ่พบในฤคเวท แม้แต่บทสวดที่มีลักษณะเฉพาะ ก็ไม่มีบทเรียนเฉพาะตัว. บทสวดเหล่านี้ล้วนถูกเรียบเรียงขึ้นเพื่อขับร้องในพิธีบูชายัญ. ยชุรเวทก็เช่นเดียวกับสามเวท ซึ่งต่างก็มีวัตถุประสงค์ในทางพิธีกรรม. ประมวลคัมภีร์พระเวทเหล่านี้ได้รังสรรค์ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของศาสนพิธี. วิทนีย์เขียนว่า: "ในยุคพระเวทตอนต้นนั้น การบูชาสังเวยคงเป็นการอุทิศตนแบบหลวม ๆ มิได้ผูกมัด ไม่ผูกมัดในกิจของนักบวชหรือพรตผู้มีสิทธิพิเศษ (ในการติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้า) ไม่ได้กำหนดรายละเอียดปลีกย่อย ทว่าปล่อยให้เป็นไปตามแรงดลใจเสรีของผู้ถวายพร้อมบทสรรเสริญและบทสวดของฤคเวทและสามเวท ขณะที่ปากได้พึมพำกล่าวถวายนั้น สองมือก็มอบของกำนัล อันเนื่องจากหัวใจเขาได้รับการกระตุ้นถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า. ... อย่างไรก็ตาม เมื่อกาลเวลาล่วงไป พิธีกรรมก็เป็นทางการมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นการสืบทอดอย่างมีลำดับชั้นของการกระทำแต่ละอย่างที่มีการควบคุมอย่างเคร่งครัดและละเอียดถี่ถ้วน ไม่เพียงแต่โคลงกลอนที่กำหนดไว้ซึ่งต้องยกมาในพิธีเท่านั้น แต่ก็มีการกำหนดบทสวด สูตรของกลุ่มคำ ที่ใช้ประกอบการกระทำแต่ละอย่างของงนทั้งหมด เพื่ออธิบาย ขอโทษ อวยพร ให้ความสำคัญในเชิงสัญลักษณ์หรืออื่น ๆ เช่นกัน. ...สูตรการบูชายัญเหล่านี้ได้รับชื่อมาจากคำว่า ยชุส ซึ่งรากศัพท์คือ ยัช ซึ่งแปลว่าการบูชายัญ. ... ยชุรเวทประกอบด้วยสูตรเหล่านี้ บางส่วนเป็นร้อยแก้วบางส่วนเป็นร้อยกรอง จัดเรียงลำดับเพื่อใช้ในการบูชายัญ."2 การรวบรวมสามเวทและยชุรเวทจะต้องจัดทำขึ้น 
---------------

1. ว.ต.อ. (วารสารราชสมาคมตะวันออกศึกษา - J.R.A.S. - Journal of the Royal Asiatic Society), เล่มที่ 13, พ.ศ.2395, หน้า 206.
2. การดำเนินงานของสมาคมอเมริกันตะวันออกศึกษา (A.O.S. - Journal of the American Oriental Society Proceedings), เล่มที่ 3 หน้าที่ 304.

หมายเหตุ คำอธิบาย
01. คัมภีร์ หรือ श्रुति - śruti - ศรุติ. (ศรุติ แปลว่า สิ่งที่ได้ยินมา - that which is heard). 
02. ฤคเวท (
ऋग्वेद - Ṛgveda) - คัมภีร์สรรเสริญเทพเจ้าทั้งปวง.
03. ยชุรเวท (
यजुर्वेद - Yajurveda) - บทสวดด้วยพิธีกรรมและความรู้.
04. สามเวท (
सामवेद - sāmaveda) - คัมภีร์รวบรวมบทสวดมนต์.
05. อรรถรเวท (
अथर्ववेद - Atharvaveda) บ้างก็เรียก อถรรพเวท หรือ อาถรรพเวท - เวทมนตร์คาถา การรักษาโรค การป้องกันภัย และพิธีกรรมในชีวิตประจำวัน.

1.
2.
65
ในช่วงระหว่างการรวบรวม (บทสวด กลุ่มคำ) ของฤคเวทและยุคพราหมณ์ เมื่อศาสนพิธีกรรมได้จัดวางรากฐานไว้ดีแล้ว. คัมภีร์อรรถรเวทที่ได้สั่งสมเป็นเวลายาวนานนั้น พระเวทก็มิได้ให้การเชิดชูให้ศักดิ์ศรีนัก ถึงแม้ว่ในความหมายของเรา (ในการศึกษาจำแนกประเภทพระเวทนั้น) คัมภีร์อรรถรเวทมีความสำคัญรองลงมาจากฤคเวทเท่านั้น เพราะเช่นเดียวกับคัมภีร์ฤคเวท นี่ก็คือการรวบรวมเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ที่แยกจากกัน. พระเวทนี้แฝงไปด้วยจิตวิญญาณที่มีความแตกต่างออกไป ซึ่งเป็นผลพวงจากความคิดในยุคหลัง. แสดงให้เห็นถึงผลของจิตวิญญาณแห่งการประนีประนอมที่ชาวอารยันรับและนับถือพระเวทไว้ ท่าามกลางเหล่าเทพเจ้าองค์ใหม่และบรรดาภูตผีที่ชาวพื้นเมืองเดิมในแผ่นดินใหม่นับถือ เหล่าชาวอารยันนี้ก็ค่อย ๆ ปราบ (ความคิดนับถือผีเดิม ๆ ) ลงอย่างช้า ๆ .
1.
       ในแต่ละพระเวทจะประกอบด้วยสามส่วน ที่เรียกว่า มนตรา01 พราหมณ์ 02 และ อุปนิษัท03 . การรวบรวมบทมนตราหรือบทสวดเรียกว่า สังหิตา04. เหล่าพราหมณ์นั้นประกอบด้วยศีล และหน้าที่ทางศาสนา. อุปนิษัท และคัมภีร์อารัณยกะ05 เป็นส่วนสุดท้ายของคัมภีร์พราหมณ์ซึ่งกล่าวถึงปัญหาทางปรัชญา. อุปนิษัทนั้นประกอบด้วยภูมิหลังทางจิตใจของความคิดที่เรียงลำดับมาทั้งหมดของประเทศนี้ (ภารตะ). ในยุคเริ่มต้นของอุปนิษัทนั้น ไอตเรยะ06 และ เกาษีตกิ07 อยู่ในหมวดของฤคเวท, เกนะ08 และ ฉานโทคยะ09 อยู่ในหมวดของสามเวท, อีษา10 ไตติรียะ11 และพฤหทารัณยกะ12 อยู่ในหมวดยชุรเวท, และปรัสนะ13 พร้อมทั้งมุณฑกะ14 อยู่ในหมวดของอรรถรเวท. ส่วนคัมภีร์อารัณยกะนั้นอยู่ระหว่างคัมภีร์พราหมณ์และคัมภีร์อุปนิษัท และตามชื่อที่บอกเป็นนัยเจตจำนงที่ใช้เป็นสิ่งในการทำสมาธิสำหรับผู้ (ประสงค์จะหลุดพ้น) ที่อยู่ในพงป่า.  บรรดาพราหมณ์จะหารือถึงพิธีกรรมของผู้ครองเรือน (หรือคฤหัสถ์) ที่พึงปฏิบัติ เมื่อย่างเข้าสู่วัยชราก็ต้องไปอาศัยอยู่ในป่า จำเป็นที่ต้องมีพิธีกรรมบางอย่างมาทดแทน และนั่นก็คือคัมภีร์อารัณยกะ. การทำสมาธิเน้นที่แง่มุมเชิงสัญลักษณ์และจิตวิญญาณของพิธีกรรมบูชายัญ และการทำสมาธินี้ก็ได้นำมาทดแทนการบูชายัญ. คัมภีร์อารัณยกะก่อให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างพิธีกรรมการของพราหมณ์กับปรัชญาของอุปนิษัท. ในขณะที่บทสวดสรรเสริญก็เป็นผลงานสร้างสรรค์ของกวี1 คัมภีร์พราหมณ์เป็นผลงานของนักบวช และอุปนิษัทเป็นสมาธิของเหล่าปราชญ์. ศาสนาแห่งธรรมชาติเป็นบทสวด ศาสนาแห่งธรรมของคัมภีร์พราหมณ์ และศาสนาแห่งจิตวิญาณเป็นของอุปนิษัท
---------------

1 ฤคเวท, บรรพที่ 1 อัธยายะที่ 164. โศลกที่ 6.; บรรพที่ 10 อัธยายะที่ 129. โศลกที่ 4.
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. มนตรา (मन्त्रा - Mantras) หรือ มนต์ หมายถึง คำ วลี หรือเสียงที่ซ้ำกันเพื่อช่วยสมาธิ หรือเป็นเครื่องมือสำหรับการเปลี่ยนแปลงตนเองและการคิดเชิงบวก มนต์อาจมีรากฐานมาจากประเพณีต่าง ๆ เช่น ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาพุทธ หรืออาจเป็นวลีเฉพาะบุคคลที่สอดคล้องกับบุคคลนั้น ๆ โดยพื้นฐานแล้ว มนต์ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการทำให้จิตใจจดจ่อ สงบความวิตกกังวล และส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก.
02. 
พราหมณ์ (ब्राह्मण - Brāhmaṇas) - บันทึกเกี่ยวกับพิธีกรรม.
03. อุปนิษัท (
उपनिषद् - Upaniṣads) - รายละเอียดทางปรัชญาในคัมภีร์พระเวท - รายละเอียดดูเพิ่มเติมใน อุปนิษัท: สรุปสาระสำคัญ.
04. สังหิตา หรือ สัมหิตา (
संहिता - Saṃhitā) หรือบทสวดพระเวท (Vedic chantsเป็นประเพณีการเล่าขานของพระเวท ประกอบด้วยปาฐะ (भाषणम्‌ - patha) หรือ “บทสวด” หรือวิธีการสวดมนตร์พระเวทหลายบท บทสวดเหล่านี้มักขับร้องในช่วงเวลาของการบูชาและยัชญพิธี หรือ ยัชญะ (यज्ञ - Yajña) อันเป็นที่มาของพิธีกรรมในยุคพระเวทตอนต้น.
05. คัมภีร์อารัณยกะ (आरण्यक  - Āraṇyaka) - พิธีบวงสรวง - การสนทนาเกี่ยวกับพิธีกรรมและการทำสมาธิ.
06. ไอตเรยะ อุปนิษัท "ตัวตนและอาตมันของมนุษย์" (ฤคเวท) (Aitareya Upaniṣad)
07. เกาษีตกิ (อุปนิษัท) อยู่ในหมวดของฤคเวท
08. 
เกนะ อุปนิษัท "ใครย้ายโลก" (สามเวท) (Kena Upaniṣad)
09. ฉานโทคยะ อุปนิษัท "บทเพลงและการสังเวย" (สามเวท) (Chāndogya Upaniṣad)
10. อีษา อุปนิษัท "ผู้ปกครองภายใน" (ศูกล ยชุรเวท) (Īśa Upaniṣad)
11. ไตติรียะ อุปนิษัท (บ้างก็ใช้ว่า ไตตติรียะ) "จากอาหาร สู่ปิติ" (กฤษณะ ยชุรเวท) (Taittirīya Upaniṣad)
12. พฤหทารัณยกะ อุปนิษัท (ศูกล ยชุรเวท) (Bṛhad-āraṇyaka Upaniṣad)
13. ปรัสนะ อุปนิษัท "ลมหายใจของชีวิต" (อรรถรเวท หรือ อาถรรพเวท) (Praśna Upaniṣad)
14. มุณฑกะ อุปนิษัท "การรับรู้สองอย่าง" (อรรถรเวท หรือ อาถรรพเวท) (Muṇḍaka Upaniṣad)
06-14. ปรับปรุงจากที่มา: en.wikipedia.org และ oknation.nationtv.tv/blog/chaiyassu/2011/02/11/entry-1, วันที่สืบค้น 28 กันยายน 2560. และหลักการแห่งอุปนิษัท (The Principal Upaniṣad​​​​​s)​​โดย ฯพณฯ สรวปัลลี ราธากฤษณัน (Servepalli Radhakrishnan), สำนักพิมพ์ Humanity Books, ปีที่พิมพ์ ค.ศ.1992, สหรัฐอเมริกา และ 06-14 ข้างต้นดูรายละเอียดได้ใน อุปนิษัท: สรุปสาระสำคัญ .
1.
2.
66
สอดคล้องกันอย่างใกล้ชิดกับความแตกต่างอันยิ่งใหญ่อันเป็นไปตามแนวคิดในการพัฒนาศาสนาของเฮเกล01. แม้ว่าในระยะหลัง ทั้งสามคัมภีร์จะดำรงอยู่เคียงข้างกัน ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าเดิมทีแล้วทั้งสามคัมภีร์แต่เก่ากาลนั้น ได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงเวลาที่ต่อเนื่องกัน. คัมภีร์อุปนิษัทนั้น แม้ในแง่หนึ่งจะเป็นการสืบสานการบูชาพระเวท แต่ในอีกแง่หนึ่ง นั่นก็ถือว่าเป็นการประท้วงต่อคัมภีร์พราหมณ์.
1.
2.
3.
II
วามสำคัญของการศึกษาทสวดระเวท
1.
       การศึกษาบทสวดคัมภีร์ฤคเวทนั้น จำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจแนวคิดของชาวภารตะอย่างถ่องแท้. ไม่ว่าเราว่าบทสวดเหล่านั้นเป็นเพียงตำนานที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างหรืออุปมานิทัศน์หยาบ ๆ การจัดกลุ่มที่คลุมเครือ หรือบทประพันธ์ที่ยังไม่สมบูรณ์ บทสวดเหล่านั้นยังคงเป็นต้นกำเนิดของแนวปฏิบัติและปรัชญาของชาวอินโด-อารยันในยุคหลัง และการศึกษาบทสวดเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับแนวคิดที่ตามมา. เราพบกับความสดชื่นและความเรียบง่ายและมนต์เสน่ห์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ในลมหายใจของฤดูใบไม้ผลิหรือดอกไม้ในยามเช้า เกี่ยวกับความพยายามครั้งแรกของจิตใจมนุษย์และแสดงความลี้ลับของโลก.

       คัมภีร์พระเวทที่เรามีอยู่นั้น สืบทอดมาจากยุคกิจกรรมทางปัญญา เมื่อเหล่าชาวอารยันได้ทางจากบ้านเกิดเมืองนอนสู่ภารตวรรษ. พวกเขานำเอาแนวคิดและความเชื่อบางอย่างที่พัฒนาขึ้นและสืบทอดกันมาบนผืนแผ่นดินภารตะมาด้วย. ช่วงเวลาอันยาวนานระหว่างการประพันธ์และเรียบเรียงบทสวดเหล่านี้. มัคส์ มึลเล่อร์ได้แบ่งยุคสังหิตาไว้1. ในยุคโบราณนั้น มีการแต่งบทสวดไว้. ซึ่งเป็นยุคแห่งการสร้างสรรค์ที่โดดเด่นด้วยบทกวีอย่างแท้จริง เมื่ออารมณ์ของเหล่าชนพรั่งพรูออกมาในรูปของบทเพลง เราได้พบร่องรอยแห่งการสังเวย การสวดมนต์อธิษฐานเป็นเครื่องบูชาเพียงอย่างเดียวที่ถวายแด่ทวยเทพ. ประการที่สอง มันคือยุคของการรวบรวมหรือการจัดกลุ่มอย่างเป็นระบบ ในยุคนั้นเอง 

---------------
1. บางครั้งก็มีความพยายามที่จะกำหนดบทสวดออกเป็นห้ายุคสมัยที่แตกต่างกัน ซึ่งมีความแตกต่างกันทางความเชื่อของศาสนาและขนบธรรมเนียมทางสังคม. ดู อาร์โนลด์02.: Vedic Metre.
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. เฮเกล รายละเอียดดูใน
D11. เกออร์ก เฮเกล.
02. เอ็ดเวิร์ด เวอร์นอน อาร์โนลด์ (Edward Vernon Arnold) พ.ศ.2400-2469 หรือ ค.ศ.1857-1926 ปราชญ์ชาวอังกฤษ ที่เขียนงานด้านปรัชญาสโตอิก กรีก ละติน และโรมัน.

1.
2.
67
ที่บทสวดได้ถูกจัดเรียงในรูปแบบที่แทบจะเหมือนกับที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน. ในยุคนี้ แนวคิดเรื่องการบูชายัญค่อย ๆ พัฒนาขึ้น. บทสวดเหล่านี้แต่งขึ้นและรวบรวมขึ้นเมื่อใดนั้น เป็นเพียงการคาดเดา. เรามั่นใจว่าบทสวดนี้มีอยู่จริง ประมาณเก้าถึงสิบศตวรรษก่อนพุทธกาลหรือสิบห้าศตวรรษก่อนคริสตกาล พระพุทธศาสนาซึ่งเริ่มแพร่หลายในภารตวรรษเมื่อ 500 ปีก่อนคริสตกาล ไม่เพียงแต่สันนิษฐานถึงการดำรงอยู่ของบทสวดพระเวทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวรรณกรรมด้านพระเวททั้งหมด รวมทั้งคัมภีร์พราหมณ์และคัมภีร์อุปนิษัทด้วย. เพื่อให้ระบบการบูชายัญตามคัมภีร์พราหมณ์ได้รับการยอมรับอย่างดี เพื่อที่จะให้ปรัชญาของคัมภีร์อุปนิษัทได้รับการพัฒนารังสรรค์อย่างเต็มที่ จะต้องใช้เวลานาน1. การพัฒนาความคิดที่ปรากฎชัดในวรรณกรรมอันโอฬารนี้ ต้องเวลาอย่างน้อยหนึ่งพันปี. ช่วงเวลานี้ไม่นานเกินไปนัก หากเราจำถึงความหลากหลายและการเติบโตที่วรรณกรรมแสดงให้เห็น. นักวิชาการชาวภารตะบางท่านระบุว่าบทสวดพระเวทมีอายุราว 3,543 ปีก่อนพุทธศักราชหรือ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล บางท่านก็กล่าวว่ามีอายุกว่า 6,543 ปีก่อนพุทธศักราชหรือ 6,000 ปีก่อนคริสตกาล. ทิลัค01 ผู้ล่วงลับได้กำหนดอายุบทสวดพระเวทไว้ประมาณ 5,043 ปีก่อนพุทธศักราชหรือ 4,500 ปีก่อนคริสตกาล คัมภีร์พราหมณ์ราว 3,043 ปีก่อนพุทธศักราชหรือ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล คัมภีร์อุปนิษัทยุคต้นมีอายุราว 2,143 ปีก่อนพุทธศักราชหรือ 1,600 ปีก่อนคริสตกาล. จาโคบี02 กำหนดว่าบทสวดมีอายุ 5,043 ปีก่อนพุทธศักราชหรือ 4,500 ปีก่อนคริสตกาล. เรา (หมายถึง ฯพณฯ สรวปัลลี ราธากฤษณัน) ระบุว่ามีอายุประมาณก่อนพุทธศตวรรษที่ 20-21 หรือศตวรรษที่ 15 ก่อนคริสต์ศักราช และก็เชื่อว่าวันเวลาที่เรากำหนดนี้จะไม่ถูกโต้แย้งว่าเร็วเกินไป.

       ในคัมภีร์สังหิตาฤคเวท หรือชุดรวมบทสวดนี้ ประกอบด้วย 1,017 บทสวด หรือสูกตะ03 ครอบคลุมทั้งหมดประมาณ 10,600 บท (หรือพยางค์โคลง). ซึ่งแบ่งเป็นแปดอัษฏัค (อษฺฏองฺค).2,04  แต่ละอัษฏัคมีแปดอัธยายะหรือบท ซึ่งแบ่งออกเป็นวรรค05 หรือกลุ่ม. บางครั้งก็แบ่งออกเป็นสิบมณฑล06 หรือวงกลม. ซึ่งมณฑลเป็นที่นิยมมากกว่า ในมณฑลนั้นประกอบด้วย 191 บทสวด และมีการอ้างไปยังผู้ประพันธ์ประมาณสิบห้าท่านหรือสิบห้าฤษี (ผู้หยั่งรู้หรือปราชญ์) อาทิ โคตะมะ07 กัณวะ08 เป็นต้น. (review from here again) มีหลักการที่เกี่ยวข้องในการเรียบเรียงบทสวด. ได้วางให้พระอัคนีเป็นลำดับแรก พระอินทร์เป็นลำดับสอง และที่เหลือ. ซึ่งแต่ละมณฑลทั้งหกถัดไปนั้น กำหนดให้เป็นกลุ่มกวีเดี่ยว และมีการจัดเรียงไว้เป็นแบบเดียวกัน. ในลำดับที่แปดก็ไม่มีการจัดเรียงไว้แน่นอน. มันถูกกำหนดให้เหมือนกับเป็นลำดับแรกซึ่งมาจากผู้ประพันธ์หลายท่าน. มณฑลที่เก้านั้นประกอบด้วยบทสวดที่ระบุถึงโสม (พระจันทร์). บทสวดที่มีมากมายของมณฑลที่แปด

---------------
1. จากยุคนี้เองนิยามศัพท์ทางปรัชญาก็ได้ก่อเกิดขึ้นมาตามลำดับจากบทสวดเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น พราหมณ์ อาตมัน โยคะ มีมางสา.
2. ประกอบด้วยแปดส่วน คือ อษฺฏองฺค
04.
หมายเหตุ คำอธิบาย
บาล คงคาธาร ทิลัค (Bal Gangadhar Tilak), ที่มา: www.culturalindia.net, วันที่สืบค้น 5 มกราคม 2566.
1.
01. บาล คงคาธาร ทิลัค (Bal Gangadhar Tilak) {23 กรกฎาคม พ.ศ.2399 (ค.ศ.1856) - 1 สิงหาคม พ.ศ.2463 (ค.ศ.1920)}. ท่านเป็นนักชาตินิยมอินเดีย ครู นักปฏิรูปสังคม นักกฎหมาย และนักเคลื่อนไหวเพื่อเอกราช. ท่านเป็นผู้นำคนแรกของกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชแห่งอินเดีย (Indian Independence Movement). ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่สืบค้น 18 กันยายน 2560.
แฮร์มันน์ จีออร์ค จาโคบี (Hermann Georg Jacobi), ที่มา: ru.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง 6 มีนาคม 2564.
1.
02. แฮร์มันน์ จีออร์ค จาโคบี (Hermann Georg Jacobi) {11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2393 (ค.ศ.1850) - 19 ตุลาคม พ.ศ.2480 (ค.ศ.1937)}  เป็นนักภารตะวิทยาชาวเยอรมันที่โดดเด่น มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาสันสกฤตมาก ได้แปลและกำหนดคำว่า โหรา (Hora) ทางดาราศาสตร์ของภารตะ.
03. สูกตะ (सूक्त - Sūkta) - กล่าวไว้ดีแล้ว.
04. อัษฏัค หรือ 
อษฺฏองฺค. (अष्टक - aṣṭaka) (บฬ. - อฏฺฐงฺค, สส. - อษฺฏ+องฺค) - ในภาษามราฐี หมายถึง 1). มวลรวมแปดส่วน 2). แปดส่วนรวมกันของไวยากรณ์ของปาณินี 3). คำทั่วไปสำหรับแปดส่วนของสังหิตาหรือการรวบรวมสูตรของคัมภีร์ฤคเวท. 
05. วรรค (वर्ग - Varga) - ชื่อที่ตั้งให้กับพยัญชนะต่าง ๆ ซึ่งนำหน้าโดยเสียง Surd ที่ไม่หายใจ.
06. มณฑล (मण्डल - Maṇḍala) หมายถึง 1). บท (Chapter) 2). เป็นเชิงสัญลักษณ์ทางธรรมหรือพิธีกรรม เพื่อหมายถึงเอกภพ 3). วงกลม หรือ ในปุราณะและอติหสะ หมายถึง มณฑลพยุหะ (मण्डलव्यूह - Maṇḍalavyūha) การจัดทัพเป็นรูปวงกลม - การจัดทัพ (व्यूह - Vyūha) สี่ส่วน (ทหารราบ ทหารม้า ช้าง และรถศึก) ในสนามรบ ปรากฎในมหาภารตยุทธ ภีษมบรรพ บทที่ 81.
07. มหาฤๅษี โคตะมะ (महर्षिः गौतम - Mahaṛṣi Gautama ) ท่านเป็นปราชญ์ฮินดู และมีการกล่าวอ้างถึงทั้งในศาสนาเชน และพุทธศาสนา ท่านได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในเจ็ดปราชญ์ฤๅษีที่ยิ่งใหญ่ {One of the Saptaṛṣis -สัปตะฤๅษี (Seven Great Sages Ṛṣi)}

มหาฤๅษี โคตะมะ, ภาพเขียนช่วงต้นคริสต์ศวรรษที่ 19, ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง 7 มีนาคม 2565. 
1.
08. กัณวะ (Kaṇva) ท่านเป็นฮินดูฤๅษี ประพันธ์บทสวดบางบทในฤคเวท ท่านมีเชื้อสายปราชญ์ฮินดูโบราณ บางครั้งท่านก็ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในเจ็ดปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ {One of the Saptaṛṣis -สัปตะฤๅษี (Seven Great Sages Ṛṣi)}.
1.
2.
68
และเก้านั้น พบในสามเวทด้วย. ส่วนมณฑลที่สิบ ดูเหมือนว่าจะเป็นส่วนเสริมที่มีขึ้นในภายหลัง. อย่างไรก็ตาม มันก็มีมุมมองที่เป็นปัจจุบันในช่วงสุดท้ายของการพัฒนาบทสวดพระเวท. สีสันด้านกวีนิพนธ์ดั้งเดิมของที่นี่อันเกี่ยวเนื่องกับข้อคิดทางจิตวิญญาณก่อนหน้านี้ก็ป่วย ด้วยความคิดทางปรัชญาที่ซีดเซียว. บทสวดต่าง ๆ ที่คาดเดา (เกิดความกังขาสงสัย) เกี่ยวกับที่มาในการประพันธ์หลากหลายจะมารวมบรรจบกัน. เมื่อรวมกับทฤษฎีอันเป็นนามธรรมเหล่านี้แล้ว ยังพบกับอาคมความเชื่อโชคลางต่าง ๆ และปฏิบัติการอันเป็นยุคของอรรถรเวท. ในขณะที่ส่วนที่คาดเดาบ่งบอกถึงความเจริญด้านจิตใจอันปรากฎเป็นครั้งแรกในกวีบทสวด คุณลักษณะเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อถึงเวลานั้นชาวอารยันพระเวทต้องคุ้นเคยกับหลักคำสอนและวัตรปฏิบัติของชาวอินเดียดั้งเดิม และทั้งสองนี้ก็เป็นเครื่องบ่งชี้อันแจ่มแจ้งถึงที่มาตอนปลายของมณฑลที่สิบ.
1.
2.
III
ารอนระเวท
1.
       มีนักวิชาการที่มาด้วยความสามารถได้จัดมุมมองที่แตกต่างกันของจิตวิญญาณของบทสวดพระเวท นักวิชาการเหล่านี้น้อมนำเอาคัมภีร์โบราณมาศึกษาชีวิตของพวกเขา. ฟลายเดอฮาร์01 กล่าวว่า "คำอธิษฐานที่ไร้เดียงสาเหมือนเด็กปฐมวัยของฤคเวท." พิกเทต02 ยืนยันว่าชาวอารยันตามที่ปรากฎในฤคเวทนั้นนับถือพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว แม้ว่าจะคลุมเครือและเก่ากาลก็ตาม. โรธ03 และ ทยานันทะ สรัสวตี04 ผู้ก่อตั้งอารยสมาช05 ก็เห็นด้วยกับมุมมองนี้. ซึ่งราม โมฮัน รอย06 ถือว่าเทพเจ้าต่าง ๆ ในพระเวทนั้น เป็น "การแสดงเชิงเปรียบเทียบของคุณลักษณะของเทพสูงสุด". สอดคล้องกับปราชญ์ท่านอื่นที่กล่าวไว้ บลูมฟิลด์07 บทสวดของฤคเวทนั้น ถือเป็นองค์ประกอบที่ได้เสียสละของเผ่าพันธุ์อารยันเก่ากาลอันมีความสำคัญยิ่งต่อพิธีกรรมต่าง ๆ . ศาสตราจารย์แบร์เกน08 ก็เชื่อเช่นนั้นในเชิงเปรียบเทียบ. สายณะ09 นักวิจารณ์อินเดียผู้มีชื่อเสียง นำการตีความที่แสดงถึงความเป็นธรรมชาติของเทพต่าง ๆ มาใช้ในบทสวด ซึ่งได้รับการสนับสนุนการศึกษาวิจัยจากแหล่งทุนยุโรปสมัยใหม่. ในบางครั้งระยะต่อมานั้น สายณะได้ตีความบทสวดด้านจิตวิญญาณของศาสนาพราหมณ์. ความคิดเห็น (ของเหล่าปราชญ์ข้างต้น) ก็ไม่จำเป็นว่าจะแย้งเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เพียงเหล่าปราชญ์นั้นได้ชี้ให้เห็นถึงคุณลักษณะที่แตกต่างกัน
หมายเหตุ คำอธิบาย
ออตโต ฟลายเดอฮาร์ (Otto Pfleiderer), ที่มา: giffordlectures.org, วันที่เข้าถึง 09 มีนาคม 2565.
1.
01. ออตโต ฟลายเดอฮาร์ (Otto Pfleiderer) {13 กันยายน พ.ศ.2382 (ค.ศ.1839) - 18 กรกฎาคม พ.ศ.2451 (ค.ศ.1908)} เป็นนักเทววิทยาโปรเตสแต้นท์ชาวเยอรมัน.
อาดอยฟ์ พิกเทต (Adolphe Pictet), ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง 09 มีนาคม 2565.
1.
02. อาดอยฟ์ พิกเทต (Adolphe Pictet) {11 กันยายน พ.ศ.2342 (ค.ศ.1799) - 20 ธันวาคม พ.ศ.2418 (ค.ศ.1875)} เป็นนักชาติพันธุ์วิทยา นักภาษาศาสตร์ (linguist) และนักนิรุกติศาสตร์ (philologist) ชาวสวิส.
03.  กุสตาฟ โรธ (Gustav Roth) เกิดเมื่อ พ.ศ.2459 ท่านเป็นนักภารตะวิทยา นักไวยากรณ์ และปรัชญา มีงานวิจัยด้านปรัชญาฮินดูและพระพุทธศาสนา.
มหาฤๅษี ทยานันทะ สรัสวตี, ที่มา: starsunfolded.com, วันที่เข้าถึง 12 เม.ย.2565
1.
04.  มหาฤๅษี ทยานันทะ สรัสวตี (Dayānanda Sarasvatī) 12 ก.พ. พ.ศ.2367 - 30 ต.ค.2426 เป็นนักปรัชญาภารตะแนวพระเวท เป็นผู้นำทางสังคม ผู้ก่อตั้งอารยสมาช ซึ่ง ฯพณฯ ดร.สวรปัลลี ราธากฤษณัน เรียกท่านว่า ผู้สร้างภารตะยุคใหม่ เทียบเท่ากับศรี อรพินโธ. 
05.  อารยสมาช (आर्य समाज - Arya Samaj) หรือสมาคมชั้นสูง หรือขบวนการปฏิรูปศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่เน้นความเชื่อว่ามีพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวของภารตะ ที่ส่งเสริมค่านิยมและการปฏิบัติตามความเชื่อในอำนาจที่ไม่มีข้อผิดพลาดของพระเวท สมาชหรือสมาคมนี้ก่อตั้งโดยสันยาสี หรือ มหาฤๅษี ทยานันทะ สรัสวตี เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2418.

ภาพเขียน ราชา ราม โมฮัน รอย, ที่มา: deccanherald.com, วันที่เข้าถึง 17 เมษายน 2565.
1.
06. ราชา ราม โมฮัน รอย (Ram Mohan Roy) - (เกิดเมื่อ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2315, เบงกอล อินเดีย - ถึงแก่กรรมเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ.2376, บริสตอล อังกฤษ) เป็นนักการศาสนา สังคม นักปฏิรูปการเมืองชาวภารตะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ที่มีชื่อเสียง ท่านท่องไปทั่วในขณะที่เยาว์วัย ได้เปิดเผยตัวตนต่อวัฒนธรรมต่าง ๆ และพัฒนามุมมองที่ต่างออกไปจากศาสนาฮินดู. ในปี พ.ศ.2346 ท่านได้เขียนแผ่นพับประณามการแบ่งแยกทางศาสนาและความเชื่อทางไสยศาสตร์ของภารตะ และสนับสนุนศาสนาฮินดูแบบมีพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว. ท่านจัดให้มีการแปลคัมภีร์พระเวทและอุปนิษัทสมัยใหม่ เพื่อเป็นพื้นฐานทางปรัชญาตามความเชื่อของท่าน ได้สนับสนุนเสรีภาพในการพูดและการนับถือศาสนา และประณามระบบวรรณะและพิธีสัตตี (suttee - หรือ Sati ในภาษาสันสกฤต - เมื่อสามีถึงแก่กรรม ภรรยาที่ยังมีชีวิตต้องโดนเผาตายตกตามสามีด้วย). ในปี พ.ศ.2369 ท่านได้ก่อตั้งวิทยาลัยเวทานตะ และในปี พ.ศ.2371 ได้ก่อตั้งพราหมณ์สมาจ (หรือสมาคมพราหมณ์). ที่มา: britannica.com, วันที่เข้าถึง 14 เมษายน 2565. 

ศ.มอริซ บลูมฟิลด์ (Maurice Bloomfield) ที่มา: dbcs.rutgers.edu, วันที่เข้าถึง 3 พ.ค.2565.
1.
07.  ศ.ดร.มอริซ บลูมฟิลด์ (Maurice Bloomfield) (23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2398 ออสเตรีย - 13 มิถุนายน พ.ศ.2471 ซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ) มีความสามารถด้านภาษาสันสกฤต มีผลงานมากมาย ตีพิมพ์ใน AJP - American Journal Press และหนังสือด้านปรัชญาภารตะ, ปรับปรุงจาก jstor.org, วันที่เข้าถึง 3 พฤษภาคม 2565.
08. อะเบล แบร์เกน (Abel Bergaigne) (31 สิงหาคม พ.ศ.2381 - 6 สิงหาคม พ.ศ.2431) นักภารตะวิทยาและปราชญ์ด้านภาษาสันสกฤตชาวฝรั่งเศส มีผลงานที่ตีพิมพ์ด้านศาสนาและปรัชญา โครงสร้างไวยกรณ์ แสดงถึงพัฒนาการด้านประวัติศาสตร์ทั้งภาษาสันสกฤต กรีก ละติน ภาษาในกลุ่มเจอร์แมนิก และอื่น ๆ .
09. สายณะ (Sāyaṇa) หรือ สายณาอาจารยะ (Sāyaṇācārya) ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.1930 (ค.ศ.1387) เป็นปราชญ์ในสำนักปรัชญาสันสกฤตมีมางสา ท่านได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับพระเวท มีงานด้านการแพทย์ จริยธรรม ดนตรี และไวยกรณ์.

1.
2.
69
อันเป็นประมวลกลุ่มปรัชญาฤคเวทเท่านั้น. มันเป็นงานที่แสดงถึงความคิดของปราชญ์ในรุ่นต่อ ๆ มา และมีลำดับชั้นของความคิดอยู่ภายใน. โดยหลักแล้ว เราอาจกล่าวได้ว่าฤคเวทนั้น เป็นตัวแทนของศาสนาในยุคที่ไม่มีความซับซ้อนนัก. บทสวดจำนวนมากนั้นดูเรียบง่ายและเยาว์วัยไร้เดียงสา เป็นการแสดงถึงจิตสำนึกด้านศาสนาภายในจิตใจ ปราศจากความซับซ้อนที่จะตามมา. นอกจากนี้ในภายหลังแล้ว ก็ยังมีบทสวดของพราหมณ์ที่เป็นแบบฉบับและเป็นทางการอีกด้วย. มีคัมภีร์บางเล่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคัมภีร์เล่มก่อน ซึ่งรวบรวมผลที่สมบูรณ์ของการไตร่ตรองอย่างมีสติเกี่ยวกับความหมายของโลก และตำแหน่งแห่งหนของมนุษย์บนโลกใบนี้. เอกเทวนิยมได้แสดงลักษณะของบทสวดสรรเสริญบางบทของฤคเวท. ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในบางครั้งนั้นพระผู้เป็นเจ้าหลายองค์ก็ถูกมองว่าเป็นพระนามและจริยวัตรที่แสดงออกต่างกันไปของสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ในสากลจักรวาล.1 แต่ลัทธิเอกเทวนิยมนี้ ยังไม่ถือว่าเป็นเอกเทวนิยมที่เฉียบแหลมของโลกสมัยใหม่.
ศรี ออโรบินโด (ศรี อรพินโธ) (15 สิงหาคม พ.ศ.2415 กัลกัตตา อินเดีย - 5 ธันวาคม พ.ศ.2493 ปูดูเชร์รี หรือ พอนดิเชอร์รี อินเดีย), ที่มา: pragyata.com, วันที่เข้าถึง 29 สิงหาคม 2564.
1.
       ออโรบินโด กอช (ศรี อรพินโธ โฆษะตระกูล) เป็นปราชญ์ผู้ลึกลับชาวภารตะที่ยิ่งใหญ่ มีความเห็นว่าพระเวทนั้นเพียบพร้อมไปด้วยคำแนะนำเกี่ยวกับคำสอนที่อำพรางไว้และปรัชญาที่เร้นลับ. ท่านมองว่าเทพเจ้าแห่งบทสวดนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งการทำงานทางจิตวิทยา. สูรยะ (สุริยะ) หมายถึง ความเฉลียวฉลาด อัคนีเแทนความตั้งใจ และโสมะ (พระจันทร์-โสม) แทนความรู้สึก. สำหรับท่านนั้น พระเวทเป็นศาสนาที่ลึกลับที่สอดคล้องกับลัทธิออฟิก01 และเอยูเซเนี่ยน02 ของกรีกโบราณ. "สมมติฐานที่ข้าพเจ้าเสนอคือฤคเวทนั้น เป็นเอกสารสำคัญฉบับหนึ่งที่ยังคงอยู่กับเราตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของความคิดมนุษย์ ซึ่งความลึกลับทางประวัติศาสตร์ของลัทธิเอยูเซเนี่ยนและออฟิกนั้น เป็นเพียงเศษเล็กเศษน้อยที่ล้มเหลว เมื่อความรู้ทางจิตวิญญาณและจิตใจของเผ่าพันธุ์ ถูกบดบังด้วยเหตุผลที่ยากแก่การตัดสินใจในปัจจุบันขณะ ด้วยสิ่งปกคลุมที่มีรูปและสัญลักษณ์ที่จับต้องได้ ซึ่งปกป้องความรู้สึกจากคำดูหมิ่นและเปิดเผยต่อผู้ประทับจิต. หลักการสำคัญประการหนึ่งของความเชื่อที่ดำมืดคือความศักดิ์สิทธิ์และเป็นความลับขององค์ความรู้ตนเองและความรู้ที่เที่ยงแท้ของเหล่าทวยเทพ. พวกเขาคิดว่าภูมิปัญญานี้ไม่เหมาะกับมนุษย์ผู้มีจิตใจปกติธรรมดา อาจอันตราย หรืออาจวิปริต และการใช้ในทางที่ผิดและสูญเสียคุณธรรมได้ หากเปิดเผยต่อวิญญาณที่หยาบกระด้างและไม่บริสุทธิ์. ดังนั้นพวกเขาจึงรื่นรมย์กับการมีอยู่ของ
---------------
1 ดูใน ฤคเวท
, บรรพที่ 1. สรรคที่ 164-46 และ 170-71.

หมายเหตุ คำอธิบาย
01. ลัทธิออฟิก (Orphic-Orphism) เป็นลัทธิกรีกโบราณ มีตำนานอธิบายว่ามนุษย์มีลักษณะสองประการคือ 1) ร่างกายที่สืบทอดมาจากไททันส์ และ 2) ประกายไฟหรือวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ สืบทอดมาจาก ไดอะไนซัส (เทพเจ้าแห่งไวน์ เทศกาลรื่นเริง) เพื่อให้บรรลุความรอดจากเรือไททานิค การดำรงอยู่ของวัตถุ.
02. ลัทธิเอยูเซเนี่ยน (Eleusinian) ลัทธิเกษตรกรรมโบราณ เกี่ยวกับการเกิดใหม่ของเทพผู้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นนิรันดร์แห่งชีวิตซึ่งไหลจากรุ่นสู่รุ่น.

1.
2. 
70
การบูชาภายนอกที่มีประสิทธิผล แต่ไม่สมบูรณ์สำหรับคำดูหมิ่นและวินัยภายในสำหรับผู้ริเริ่ม (นำความรู้ที่บริสุทธิ์เข้ามาในจิต) และการสวมภาษาของพวกเขาด้วยคำพูดและภาพ อันมีความรู้สึกทางจิตวิญาณสำหรับผู้ที่ถูกเลือกและความรู้สึกที่เป็นรูปธรรมสำหรับเหล่าชนทั่วไปที่ได้นมัสการ บทสวดของพระเวทบังเกิดขึ้นและรังสรรค์ขึ้นบนหลักการเหล่านี้"1 เราพบว่าทัศนะนี้เป็นการตรงข้าม ไม่เพียงแต่นักวิชาการสมัยใหม่ชาวยุโรปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการตีความดั้งเดิมของสายณะและระบบปรัชญาของปูรวะ-มีมางสา ผู้ทรงอำนาจในการตีความพระเวทด้วย ไม่ว่ามุมมองของศรี อรพินโท โฆษะตระกูลจะแยบยลเพียงใด เราก็จำต้องลังเลในการทำตามคำแนะนำของเขา. ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ความก้าวหน้าทั้งหมดของความคิดของชาวอินเดียจะค่อย ๆ มลายไปจากความจริงทางจิตวิญญาณสูงสุดของบทสวดพระเวท. สอดคล้องกับสิ่งที่รู้กันโดยทั่วไปของการพัฒนามนุษย์ และง่ายกว่าที่จะยอมรับว่าศาสนาและปรัชญาในยุคหลัง ๆ เกิดขึ้นจากข้อเสนอแนะที่หยาบกระด้าง และแนวคิดทางศีลธรรมขั้นต้น และแรงบันดาลใจทางจิตวิญญาณของจิตใจในยุคแรก ๆ มากกว่าที่จะเป็นความเสื่อมทรุดของความสมบูรณ์แบบดั้งเดิม. ในการตีความถึงจิตวิญญาณของบทสวดแห่งพระเวทนั้น เราเสนอให้นำเอามุมมองของบทสวดเหล่านี้ที่บรรดาพราหมณ์และอุปนิษัทได้ยอมรับต่อมาทันที. ผลงานที่เกิดขึ้นภายหลังนี้เป็นความต่อเนื่องและเป็นการพัฒนามุมมองของบทสวด. ในขณะที่เราพบความก้าวหน้าจากการบูชาพลังงานธรรมชาติภายนอกไปสู่ศาสนาด้านจิตวิญญาณของอุปนิษัท ที่เข้าใจได้ง่าย ๆ ตามกฎแห่งการเติบโตด้านศาสนาตามปกตินั้น มนุษย์ทุกหนแห่งในโลกเริ่มต้นด้วนสิ่งที่อยู่ภายนอกแล้วเข้าสู่ศาสนาสูงสุดที่มีอยู่ในพระเวท. การตีความนี้สอดคล้องกับวิธีการทางประวัติศาสตร์สมัยใหม่และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ของวัฒนธรรมมนุษย์ยุคแรก ๆ และสอดคล้องกับมุมมองชั้นเอกของอินเดียที่ปราชญ์สายณะได้นำเสนอ. 
---------------

1. อรยะ, เล่มหนึ่ง หน้าที่ 60. 

1.
2.
71
IV
นวโน้มต่าง ๆ ทางรัชญา

       ในฤคเวท เรามีวจนะอันเร่าร้อนของจิตวิญญาณเก่ากาล ทว่าเป็นดวงจิตกวีซึ่งแสวงหาที่หลบเร้นจากการตั้งคำถามอันดื้อรั้นของความรู้สึกและสิ่งต่าง ๆ ภายนอก. บทสวดเป็นแนวปรัชญาในขอบเขตที่พวกเขาพยายามอธิบายความลึกลับของโลก ไม่ใช่ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งเหนือมนุษย์หรือการเผยที่ไม่ธรรมดา แต่ด้วยลำแสงแห่งเหตุผลที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือ. จิตที่ได้เผยไว้ในพระเวทไม่ใช่จิตประเภทใดประเภทหนึ่ง. มีเพียงจิตวิญญาณที่คร่ำครวญแห่งกวีผู้เพียงแต่คร่ำครวญถึงความงดงามของท้องฟ้าและความมหัศจรรย์ของแผ่นดินโลก และบรรเทาจิตวิญญาณด้วยดนตรีอันเป็นภารกิจของปราชญ์เหล่านี้ด้วยการแต่งบทสวดสรรเสริญ. เหล่าเทพอินโด-อิหร่านประกอบด้วย พระทโยษะ01 พระวรุณ พระอุษา พระมิตระ02 และอื่น ๆ อันเป็นผลงานของจิตสำนึกในบทกวีนี้.
พระดิออษ หรือ พระทโยษะ (Dyáuṣ) หรือ เทยาสฺ หรือ อากาศ (ākāśa, Akasha) - ท้องฟ้า สวรรค์,ที่มา: bloghemasic.blogspot.com, วันที่เข้าถึง: 29 สิงหาคม 2564.
1.
       ได้มีปราชญ์ท่านอื่นที่กระตือรือร้นยิ่ง พยายามปรับโลกให้เข้ากับจุดประสงค์ของตนเอง. ความรู้ทางโลกที่เป็นประโยชน์แก่ตนก็เป็นเครื่องชี้นำชีวิต. และในช่วงเวลาแห่งการมุ่งพิชิตและการต่อสู้ เทพที่ทรงประโยชน์ดังเช่น พระอินทร์ ก็ถือกำเนิดขึ้น. ด้วยแรงกระตุ้นทางปรัชญาที่แท้จริง ความปรารถนาที่จะรู้และเข้าใจโลกเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ตนเอง แสดงให้เห็นเฉพาะเมื่อพายุสงบลงและปลอดจากความเครียดเท่านั้น. ในตอนนั้นเองเหล่าชนทั้งหลายได้นั่งลง เกิดคำถามในพระเจ้าที่พวกเขาบูชาอย่างโง่เขลา และตรึกตรองถึงความลึกลับของชีวิต. ในช่วงเวลานี้เองก็เกิดคำถามขึ้น ซึ่งจิตใจของมนุษย์ไม่สามารถให้คำคอบที่เพียงพอได้. มีผู้ประพันธ์ในพระเวทได้อุทานขึ้น "ฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นอะไรกันแน่ ดูลึกลับ ผูกมัด จิตใจฉันก็ลอยล่องไป." แม้ว่าจะมีเชื้อ (ร้าย หรือหน่อที่ไม่ดีนัก) ของปรัชญาที่แท้จริงได้ปรากฎขึ้นในระยะหลัง แต่มุมมองของชีวิตที่สะท้อนในบทกวี และการฝึกฝนบทสวดก็ยังคงให้องค์ความรู้อยู่. เนื่องจากประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตำนานนั้นนำหน้าโบราณคดี การเล่นแร่แปรธาตุทางเคมี โหราศาสตร์ที่เกี่ยวกับดวงดาว แม้แต่ปกรณัมและกวีนิพนธ์ก็มาก่อนปรัชญาและวิทยาศาสตร์. ในตำนานและศาสนานั้น เราได้พบแรงกระตุ้นทางปรัชญาขึ้น ในนั้นเราก็พบคำตอบสำหรับคำถามของการดำรงอยู่ขั้นสุดท้ายของผู้ศรัทธาทั่วไป. สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากจินตนาการ
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. พระดิออษ หรือ พระทโยษะ (द्यौष् - Dyáuṣ) หรือ เทยาสฺ หรือ อากาศ (आकाश - ākāśa) หรือ ทโยษปิตฤฺ (Dyauspitar or ตัวอักษรเทวนาครี  द्यौष्पितृ - Dyáuṣpitṛ́ - บรรพบุรุษสวรรค์) เทียบเท่ากับมหาเทพกรีกคือ ซุส (Zeus) หรือละติน มหาเทพโรมันคือ จูปิเตอร์ (Jupiter) ทรงเป็นเทพแห่งท้องฟ้าในฤคเวท พระชายาของพระองค์พระนางปฤถวี หรือ ปฐพี (पृथ्वी  - Pṛthvī) เป็นเทพีแห่งโลก เทพทั้งสองเป็นบิดามารดรต้นแบบในฤคเวท.

พระมิตระ (ด้านซ้าย) ในงานประติมากรรมสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 4 ที่ Taq-e Bostan ทางตะวันตกของอิหร่าน, ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง 16 พ.ค.2565.
1.
02. พระมิตระ (Mitra) เป็นเทพเก่ากาล โปรโต-อินโด-อิราเนียน-Proto-Indo-Iranian  ชื่อเทพองค์นี้มีการกล่าวไว้มากมาย ทั้งทางด้านพระพุทธศาสนา (เป็นพระโพธิสัตว์ - อารยะเมตตรัย - Maitreya) ทั้งทางด้านเอเชียไมเนอร์ ในยุคเฮเลนนิค ในกรีก บางส่วนของอนาโตเลีย ในตอนกลางของอิหร่าน ฯ ในภาษาสันสกฤตและในภาษาอินโด-อารยันยุคใหม่ มิตระ หมายถึง เพื่อน หนึ่งในแง่มุมของการผูกพัน และพันธมิตร.
1.
2.
72
ที่ซึ่งสาเหตุในตำนานนั้น ได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นโลกแห่งความจริง. เมื่อเหตุผลค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเหนือจินตนาการ ความพยายามที่จะจำแนกสิ่งถาวร (หรือความรู้สึกที่ติดตรึงอยู่) ที่ได้จับยัดใส่เข้ามา ออกจากสิ่งที่เป็นความจริงของโลกที่ได้สร้างขึ้น. การคาดเดาเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาได้เกิดขึ้นแทนที่การสันนิษฐานในปกรณัมตำนาน. องค์ประกอบถาวรของโลกถูกแปดเปื้อนเป็นมลทิน และด้วยเหตุนี้จักรวาลวิทยาจึงสับสนกับศาสนา. ในช่วงแรก ๆ ที่ได้พิจารณาไตร่ตรองนั้น อย่างที่เรามีในฤคเวท ตำนานปกรณัม จักรวาลวิทยา และศาสนานั้น เราจะพบว่ามันคละปะปนกัน. จะเป็นที่น่าสนใจยิ่งในการอธิบายความคิดเห็นสั้น ๆ ของบทสวดภายใต้หัวเรื่องของ เทววิทยา จักรวาลวิทยา จริยธรรม และสุนทรียศาสตร์.
1.
2.
3.



 
humanexcellence.thailand@gmail.com