MENU
TH EN
Title Thumbnail: จาก mgronline.com, และ Hero Image จาก: matichon.co.th, วันที่เข้าถึง: 1 สิงหาคม 2564
001. จ้วง01,02,03.
First revision: Aug.01, 2021
Last change: Aug.02, 2021
สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง และปริวรรตโดย: 
Apirak Kanchanakongkha.

       จ้วง (Zhuang) เป็นชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน มีประชากรราว 18 ล้านคน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในดินแดนปกครองตนเองมณฑลกวางสี (กว่างซี) จ้วง และบางส่วนในยูนนาน กวางตุ้ง (กว่างตง) กุ้ยโจว หูหนาน เสฉวน และเวียดนามเหนือ เรียกตนเองว่า "ปู้จ้วง" ชาวจ้วงเชื่อว่าสีบเชื้อสายมาจากชาว ไป่เยว่ หรือชาวเยว่ร้อยเผ่าในอดีต ภาษาจ้วงจัดอยู่ในกลุ่มภาษาไท-กะได จ้วงเป็นชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้าร่วมกับคนไทย-ลาว เรื่องราวของชนชาติจ้วงทุกด้านจึงน่าค้นคว้า ศึกษาเปรียบเทียบกับเรื่องของไท-ลาว.

       กลุ่มชาติพันธุ์: ขร้า-ไท

       ตระกูลภาษา: จ้วง-ต้ง แขวงภาษา จ้วง-ไต [197/205]

       ประวัติ:
          ชาวจ้วงมีความเป็นมาค่อนข้างชัดเจน นับย้อนไปได้ไม่ต่ำ 5,000 ปี นอกจากในถิ่นที่อยู่จะพบหลักฐานทางโบราณคดีมากมาย เช่น ภาพเขียนโบราณที่ผาลาย กลองสัมฤทธิ์ที่เรียกว่า กลองมโหระทึก ในปี พ.ศ. 2536 ยังขุดพบซากมนุษย์ยุคหินเก่าด้วยที่มีอายุประมาณ 50,000 ปี มีโครงกระดูกคล้ายกับชาวจ้วงในปัจจุบันด้วย ทั้งในบันทึกประวัติศาสตร์จีน ก็มีคนชื่อ ซีโอว และหลั้วเยว่ ถวายเครื่องบรรณาการให้ราชวงศ์โจว (เจา) ตั้งแต่ราว 3,000 ปีก่อน แสดงว่า จ้วงเป็นกลุ่มชนที่มีรัฐ และกษัตริย์แล้ว ก่อนยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ ชื่อคนซีโอว และหลั้วเยว่ ค่อย ๆ หายไปจากประวัติศาสตร์จีน เพราะจีนเปลี่ยนชื่อเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อถึงสมัยอู่หู บรรพบุรุษของชาวจ้วงถูกเรียกว่า "หลี่" สมัยสามก๊กก็ถูกเรียกว่า "เหลียว" สมัยราชวงศ์จิ้น ก็เรียกทั้งหลี่ และเหลียว

       
ตำนานการสร้างโลกกำเนิดคนของชนชาติจ้วง
      มีร่องรอยบางอย่างที่น่าสืบค้นว่า จ้วง-ไท-ลาว มีจุดร่วมจุดต่างอย่างไรบ้าง มีรายละเอียดดังนี้:

       แต่เดิมโพ้นฟ้ากับดินบ่ได้แยกกัน ในจักรวาลมีแต่ก้อนหมอกไอหมุนควงอยู่ และหมุนเร็วขึ้น ๆ หมอกไอก็จับตัวเป็นฟองไข่ ในไข่ฟองนั้นมีไข่แดงสามก้อน ต่อมามีแมงบึ้งขี้ควายมากลิ้งฟองไข่นี้ให้หมุนอยู่ตลอดเวลา และยังมีเพลี้ยจั๊กจั่นตัวหนึ่งปีนขึ้นไปเจาะรูบนฟองไข่นั้นทุกวัน เจาะไปเรื่อยทุกวัน ในที่สุดฟองไข่ก็แตกออก ไข่แดงแยกเป็นสามแผ่น แผ่นหนึ่งลอยขึ้นไปเป็นฟ้า แผ่นหนึ่งตกไปเป็นน้ำ แผ่นหนึ่งอยู่ตรงกลางกลายเป็นพื้นดิน.

       จักรวาลแยกเป็นสามชั้น คือ ฟ้า ดิน น้ำ แต่ก็ยังว่างเปล่าไม่มีอะไร แล้วจู่ ๆ ก็มีดอกไม้ผุดขึ้นกลางผืนดิน เมื่อดอกไม้บาน มีผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากดอกไม้นั้น นางเปลือยกาย ผมยาวสยาย มีขนทั่วตัว และเฉลียวฉลาดมาก นางถูกเรียกว่าแม่นกจอก.

      เมื่อฟ้าดินแยกจากกันนั้น เพลี้ยจั๊กจั่นบินขึ้นไปอยู่ที่ฟ้าสร้างแต่งฟ้า แมงบึ้งขี้ควายอยู่บนดินสร้างแต่งดิน ต่างคนต่างทำไปตามใจตน ฟ้าดินจึงไม่เป็นระเบียบ แม่นกจอกจึงจับดินบีบจนโป่งพองขึ้น ดินกับฟ้าจึงเป็นระเบียบสมส่วนกัน ดินส่วนที่ถูกบีบพองขึ้นกลายเป็นภูดอย ดินส่วนที่เว้าลงก็กลายเป็นแม่น้ำลำคลองและทะเล.

       แม่นกจอกเห็นว่าแผ่นดินว่างเปล่า จึงคิดสร้างคนขึ้นมา นางจึงแยกขายืนบนภูเขาสองลูก แล้วเยี่ยวรดลงบนพื้นดินจนเป็นโคลน นางจึงควักโคลนนั้นมาปั้นตามรูปร่างของนางขึ้นเป็นจำนวนมาก แล้วเอาหญ้าคลุมไว้ ผ่านไป 49 วัน โคลนนั้นก็มีชีวิตขึ้นมา สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเรียกว่าโคลน ซึ่งต่อมาได้เพี้ยนเป็น "คน".

       คนเหล่านั้นไม่ได้ทำอะไร พากันวิ่งพล่านกระโดดโลดเต้นไปเรื่อย ๆ แม่นกจอกจึงเก็บท้อและพริกจากป่ามาโปรยไป พวกคนพากันมาแย่งเก็บ คนที่ได้พริกกลายเป็นผู้ชาย คนที่ได้ท้อไปกลายเป็นผู้หญิง คนเหล่านั้นก็เริ่มมีกิจกรรมให้ทำกัน.

       ต่อมามีเด็กคนหนึ่งเกียจคร้านมาก ไม่ยอมทำงานเหมือนคนอื่น คนอื่นเห็นเขาขี้เกียจก็ไม่แบ่งของกินให้ เด็กนั้นจึงเก็บใบไม้กิน วันหนึ่งไปขโมยผ้าฝ้ายของผู้หญิงคนหนึ่งเขา เขาถูกจับได้ แต่เขาปฏเสธ เอาผ้าฝ้ายซุกเข้าไปในก้น เลยกลายเป็นหาง เด็กนั้นก็กลายเป็นลิง เป็นต้นกำเนิดของลิง ลิงทั้งหลายก็สืบสันดานจากเด็กคนนี้ ไม่ทำงาน ชอบลักขโมย ซุกซนเหมือนเด็ก.

       แม่นกจอกอยากให้โลกมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น จึงปั้นดินเป็นรูปต่าง ๆ อีกมากมาย จึงกลายเป็นสัตว์ขึ้นมาบนโลก เมื่อฝนตก คนและสัตว์ทั้งหลายไม่มีที่หลบฝน แม่นกจอกจึงนั่งลงถ่างขาออก เกิดเป็นถ้ำ ตัวนางก็กลายเป็นภูเขา แต่นั้นมาคนและสัตว์จึงเข้าไปหลบลมหลบฝนในถ้ำ (ตำนานว้าเล่าว่า คนทั้งหลายเกิดมาจากถ้ำ คงจะเป็นถ้ำของนางนกจอกนี้มัง).

       ต่อมาเกิดมีสิ่งมีชีวิต 4 อย่าง เป็นพี่น้องกันคนโตชื่อตัวฟ้า (ตูเปียะ) คนรองชื่อตัวเงือก (ตูเหนียะ) น้องสามชื่อตัวเสือ (ตูกุ๊ก) น้องเล็กเป็นคนที่มีภูมิปัญญาฉลาดเฉลียวมาก จึงเรียกกันว่า ปู่หลวกทั่ว (ผู้รู้ทั่ว).

       สมัยนั้นคนกับสัตว์อาศัยอยู่ด้วยกัน พูดจากันเข้าใจ วันหนึ่งพวกสัตว์บกสัตว์ปีกพากันมาฟ้องผู้หลวกทั่วว่า ลูก ๆ ของคนเกเรมาก พากันทำลายไข่สัตว์ปีก ฆ่าลูกของสัตว์บก ถ้าปล่อยต่อไปพวกตนคงจะตายกันหมด ไม่มีลูกหลานสืบเผ่าพันธุ์ ปู่หลวกทั่วบอกให้พวกสัตว์กลับไปก่อน แล้วปู่หลวกทั่วจึงแยกให้คนอยู่บนที่ราบและเชิงเขา ให้นกขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ ให้สัตว์บกไปอยู่ในป่า.

       พวกสัตว์รู้จักแต่กิน ไม่ทำงาน ก็กินหมากไม้ในป่าหมด แล้วก็พากันมากินพืชผลที่คนเพาะปลูกไว้ คนกับสัตว์ก็วิวาทกันอีก ปู่หลวกทั่วจึงตั้งกฏว่าต่อแต่นี้ไป พวกที่ไม่ทำงานจะไม่ให้กิน ใครปลูกพืชคนนั้นได้เก็บเกี่ยว ปู่หลวกทั่วเกรงว่าสัตว์กับคนจะวิวาทยื้อแย่งกันอีก จึงสั่งให้ คนมีภาษาของคน นกมีภาษาของนก สัตว์ต่าง ๆ มีภาษาของตน แต่นั้นมาก็ไม่มีการวิวาทกันอีก พวกสัตว์ถูกตัดสินให้แพ้ก็หนีเข้าป่าไป และเมื่อเห็นคนจะรีบหลบหลีกไปด้วยความละอาย แต่บางครั้งก็ดักทำร้ายด้วยความอาฆาตแค้น.

       ในยุคนั้นนกมีรังนก ผึ้งมีรวงผึ้ง ส่วนคนยังพักอยู่ในถ้ำ คนอยากมีบ้านไว้อาศัย เก็บผลผลิตบ้าง จึงพากันไปปรึกษาปู่หลวกทั่ว ปู่หลวกทั่วจึงสอนให้คนตัดต้นไม้มาทำเสา เอามีดถากทำขื่อแป ผ่าไม้ไผ่ขัดฟาก ปลูกเป็นเรือน เอาใบไม้และหญ้ามุงหลังคา ปูกระดานหรือขัดไม้ไผ่เป็นพื้นเรือน คนอยู่ข้างบน สัตว์เลี้ยงอยู่ข้างล่าง ทำบันได้ขึ้นลง เด็ก ๆ สามารถปีนขึ้นง่าย แต่สัตว์ขึ้นยาก ทำประตูปิดเรือน ผู้คนจึงได้อาศัยในเรือนหลบลมหลบฝนและมีความปลอดภัย ตั้งแต่นั้นมาคนก็มีรังเป็นของตัวเองเหมือนนกและผึ้ง.

       ในยุคนั้น ต้นไม้ต้นหญ้าก็พูดจาได้ เดินไปไหนมาไหนได้ น้ำก็ฟังคำสั่งคน ร้องเรียกน้ำมา น้ำก็เดินมาลงตุ่มเอง เมื่อคนอยากได้ไม้ฟืนได้หญ้าก็ร้องเรียก ไม้ฟืนและหญ้าก็เดินมาเข้าเรือนคนเอง แต่สำหรับไฟนั้น คนยังต้องพึ่งไฟฟ้า คือไฟที่ตกลงจากฟ้า.

       คราวหนึ่ง หญิงนางหนึ่งนึ่งข้าว นางวางหม้อเอียง หวดนึ่งข้าวก็เอียงตามไปด้วย นางเรียกให้น้ำมา น้ำก็มา นางเรียกฟืน ฟืนก็บินเข้ามาในเรือน แต่นางลืมบอกให้หยุด ฟืนจึงอัดเข้าไปแน่นครัว และยังอัดหน้าต่าง ประตู ฟืนเบียดเสียดกันจนชนหม้อนึ่งข้าวล้มลง หญิงคนนั้นจึงไปฟ้องปู่หลวกทั่ว ปู่หลวกทั่วจึงสั่งฟืนว่า ต่อไปนี้พวกเจ้าออกรากออกกิ่งได้ แต่ห้ามเดินไปไหนมาไหน พวกเจ้าไม่ต้องมีหูมีปากอีกต่อไป และให้เอาหัวลงดินเอาหางชี้ฟ้า คนต้องการฟืนต้องการหญ้า ก็ให้คนไปเก็บเอาเอง นับแต่นั้นมา ต้นไม้ต้นหญ้าจึงพูดจาไม่ได้ เดินไม่ได้อีกต่อไป.

       ผู้คนทั้งหลายต่างสรรเสริญสติปัญญาปู่หลวกทั่ว พากันกราบไหว้บูชา พี่ทั้งสามคนรู้ก็ริษยาอาฆาต หาทางทำลายปู่หลวกทั่ว วันหนึ่งคิดอุบายขึ้นแข่งขันกัน โดยผลัดกันเข้าไปอยู่ในกระท่อมสามคน ให้อีกคนที่อยู่ข้างนอกแสดงอิทธิฤทธิ์ หากใครทำให้คนที่อยู่ข้างในสามคนตกใจหนีออกจากกระท่อมได้จะเป็นผู้ชนะ ได้กินพี่น้องที่แพ้นั้นเสีย.

       ตัวฟ้าพี่ใหญ่แสดงฤทธิ์เดชก่อน พวกตัวเงือก ตัวเสือ กับปู่หลวกทั่วเข้าไปอยู่ในกระท่อม ตัวฟ้ามีกลองใบหนึ่ง เมื่อตีขึ้นจะเกิดฝนและฟ้าผ่าได้ ตัวฟ้าตีกลองขึ้นเกิดลมเกิดฝนห่าใหญ่ น้อง ๆ ที่อยู่ในกระท่อมก็ช่วยกันค้ำเสาไว้ ตัวไฟกระหน่ำตีกลองเกิดเป็นไฟฟ้าขึ้น หวังจะเผากระท่อมให้มอดไหม้ไป แต่กระท่อมนั้นเปียกฝนเสียแล้ว จึงไม่ไหม้ ตัวฟ้าตีกลองจนหมดแรงและขอยอมแพ้ไป.

       ถึงตาตัวเงือกน้องรองแสดงเดชบ้าง ตัวเงือกสั่งให้น้ำทะเล น้ำในแม่น้ำ เกิดคลื่นใหญ่ซัดขึ้นมาที่กระท่อม พี่น้องในกระท่อมช่วยกันค้ำยันกระท่อมไว้ ประกอบกับกระท่อมอย่บนเชิงเขา น้ำขึ้นมาท่วมไม่ถึง ตัวเงือกออกฤทธิ์สุดเดชจนเหนื่อยอ่อน แล้วก็ขอยอมแพ้.

       ต่อไปถึงตาตัวเสือแสดงฤทธิ์เดชบ้าง ตัวเสือเรียกลมพายุพัดใส่กระท่อม พี่น้องในกระท่อมช่วยกันค้ำยันกระท่อมไว้เต็มที่ ตัวเสือจึงกางเล็บแยกเขี้ยวคำรามใส่กระท่อมเสียงดัง แต่ในกระท่อมไม่กลัวตัวเสือ ตัวเสือจึงขอยอมแพ้.

       สุดท้ายถึงตาปู่หลวกทั่วแสดงความสามารถบ้าง พี่ทั้งสามพากันเข้าไปในกระท่อม ผู้หลวกทั่วปิดกระท่อมลั่นดานขังไว้ กระท่อมถูกลมพัดจากตัวเสือจนแห้ง ปู่หลวกทั่วจุดไฟขึ้นรอบกระท่อม ไฟก็ไหม้กระท่อมขึ้นเป็นควันมากมาย ทั้งสามสำลักควัน ไฟก็ลามเข้าใกล้ตัว ทั้งสามจะเปิดประตูออก กระท่อมก็ถูกลั่นดานปิดแน่น ทั้งสามได้แต่วิ่งวุ่นหาทางหนีออกจากกระท่อม.

       ตัวฟ้ากระโดดออกมาทางหลังคาได้เป็นคนแรก กระโดดลอยขึ้นไปบนฟ้า แต่นั้นก็ไม่กล้าลงมาอีกเลย ตัวเสือเรี่ยวแรงมาก ชนฝาด้านหนึ่งพังออก แล้วกระโจนหายเข้าไปในป่า ร่างกายถูกไฟเผาไหม้เป็นลายดำ ๆ พาดอยู่ตลอดร่าง นับแต่นั้นก็ไม่กล้าออกมาสู่ทุ่งราบอีก ส่วนตัวเงือก เมื่อตัวเสือพังฝาด้านหนึ่งออกมาแล้ว ตัวเงือกจึงตามออกทีหลัง ตัวเงือกถูกไฟไหม้มาก มีแผลมากที่สุด ก็โจนลงทะเลไปซ่อนตัว จนเมื่อแผลหายรอยแผลก็กลายเป็นเกล็ด นับแต่นั้นจึงไม่กล้าขึ้นมาบนบกอีก.

       ปู่หลวกทั่วเป็นผู้ชนะและช่วยรักษาชีวิตของมนุษยชาติไว้ด้วย นับแต่นั้นมามนุษยชาติก็ไม่ถูกกับตัวฟ้าและสัตว์ร้ายคุกคามอีก.

       จากนั้นปู่หลวกทั่วได้ช่วยคน สร้างดวงตะวันกับดวงจันทร์ขึ้น ดวงตะวันเป็นเพศผู้ ดวงจันทร์เป็นเพศเมีย ตะวันจันทราแต่งงานกัน เกิดลูกออกมาเป็นตะวัน ๑๐ ดวง ดวงตะวันมากไป ทำให้โลกร้อน ปู่หลวกทั่วก็ทำธนูขึ้น ยิงลูกของดวงตะวันทั้งสิบดวงให้ตกลงไป แล้วตัดอวัยวะเพศของดวงตะวันและดวงจันทร์ ไม่ให้สืบพันธุ์มีลูกอีกต่อไป.

       ต่อมาผู้หลวกทั่วได้ สอนคนให้รู้จักจับปลา นำเอาไฟมาให้มนุษย์ ทำให้คนมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นมาก คนก็มีสุขภาพแข็งแรงขึ้นมาก ขยายเผ่าพันธุ์มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ.

       ตำนานนิทานของชาวจ้วงยังมีอีกมาก เป็นเรื่องตำนานการกินคนของคนในยุคโบราณ กำเนิดกลองมโหระทึก และตำนานหมาเก้าหางผู้ที่นำพันธุ์ข้าวมาให้มนุษย์เพาะปลูกจนมาถึงปัจจุบันนี้ ยังเป็นเรื่องอีกยืดยาว


ที่มา คำศัพท์ และคำอธิบาย:
01. จาก. th.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง: 01 สิงหาคม 2564. 
02. จาก. Facebook, เพจ "กลุ่มศึกษาลาว-อีสานเพื่อเผ่าพันธุ์ลาว", โดยผู้ใช้นามว่า สรคม อึ๊งแสงภากรณ์, วันที่เข้าถึง: 01 สิงหาคม 2564.
03.  จาก. งานวิจัย: การจัดทำฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศลุ่มน้ำโขง: กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศจีนตอนใต้ (ยูนนาน และกวางสี) ต้นสายอารยธรรมลุ่มน้ำโขง, ผศ.ดร.เมชฌ สองส่องกฤษ, คณะศิลปศาสตร์ ม.อุบลราชธานี, โครงการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ม.อุบลราชธานี ปีงบประมาณ 2556.
info@huexonline.com