MENU
TH EN
Title Thumbnail: เศียรพระพุทธรูปที่พบ ณ วัดธรรมิกราช ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา, ที่มา: thailandtourismdirectory.go.th, วันที่เข้าถึง 11 มกราคม 2563
008. วัดธรรมิกราช01,02.
First revision: Jan.10, 2020
Last change: Jul.07, 2021
สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง และปริวรรตโดย
อภิรักษ์ กาญจนคงคา

 
 
          วัดธรรมิกราช เป็นวัดที่สำคัญวัดหนึ่งของพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของพระบรมมหาราชวัง ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเป็นวัดที่ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ โดยประกาศในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2478.

          จากพระราชพงศาวดารเหนือ ในหนังสือประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1 ได้กล่าวถึงวัดนี้ว่าเป็นวัดที่สร้างขึ้นก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา โดยพระยาธรรมิกราช พระราชบุตรแห่งพระเจ้าสายน้ำผึ้ง ในรัชกาลของพระองค์ได้ช้างเผือก 2 เชือก เมื่อแรกสถาปนานั้นขนานนามว่า วัดมุขราช ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดธรรมิกราช แต่ไม่ปรากฏหลักฐานปีการก่อสร้าง.


         วัดธรรมิกราชปรากฎชื่อในสมัยอยุธยาครั้งแรกในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ (พ.ศ.2091-2111) โดยพระองค์ให้จองจำพระศรีศิลป์ซึ่งก่อการกบฎไว้ ณ วัดธรรมิกราช จากนั้นได้ปรากฎชื่อวัดธรรมิกราชอีกครั้ง ในคราวที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต (พ.ศ.2301) เจ้าฟ้าอุทุมพรซึ่งดำรงพระยศเป็นกรมพระราชวังบวรฯ ในขณะนั้น ได้ทรงนิมนต์ "พระธรรมโคดม" พระเถระผู้ใหญ่จากพระอารามแห่งนี้ไปเทศนาโปรดเจ้าสามกรม ให้สมัครสมานสามัคคีกันตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ.

         ในสมัยอยุธยา วัดธรรมิกราชเป็นวัดที่มีความสำคัญมาก วัดแห่งนี้ได้รับความเสียหายไม่น้อยในคราวสงครามเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 ต่อมาได้มีการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

         โบราณสถานของวัดธรรมิกราชที่เป็นหลักสำคัญมี 4 แห่ง คือ
               1. เจดีย์ทรงระฆังมีสิงห์ล้อม รวม 52 ตัวที่แตกต่างจากเจดีย์ทั่วไป
               2. วิหารหลวง
               3. อุโบสถ
               4. วิหารพระพุทธไสยาสน์ ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนั้น พระราชธิดาของพระมเหสีประชวร ได้อธิษฐานไว้ ณ วิหารพระพุทธไสยาสน์นี้ เมื่อหายประชวรแล้ว จึงสร้างวิหารหลวงถวาน

          วัดธรรมิกราชจะได้รับการขุดแต่งอย่างเป็นทางการเมื่อใดไม่ปรากฏจดหมายเหตุที่เเน่นอน แต่ที่แน่ชัดก็คือเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษามาโดยตลอด ภายหลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ.2310 แล้ว จึงได้ปรากฏร่องรอยของการซ่อมแปลงแก้ไข และสร้างเสริมมากมายทั้งที่ตัวโบราณสถาน ทั้ง  แห่งดังกล่าวข้างต้น ตลอดจนได้สร้างกุฏิ และเสนาสนะอื่น ๆ อีกหลายแห่งภายในวัด.

          เมื่อราวต้นปีงบประมาณ 2530 รัฐบาลโดยพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติงบเร่งรัดฟื้นฟูการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ปี 2530 ให้พัฒนาโครงการอุทยานประวัติศาสตร์ของกรมศิลปากร จำนวน 4 แห่ง ซึ่ง 1 ใน 4 แห่งนี้คือการปรับปรุงและพัฒนาวัดธรรมิกราชของโครงการอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เพื่อเอื้ออำนวยและสามารถให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้โดยสะดวก ในวงเงิน 965,140.- บาท โดยตามเป้าหมายของโครงการคือการขุดแต่งและบูรณะเจดีย์ทรงระฆังมีสิงห์ล้อมที่ฐาน และบูรณะพระพุทธไสยาสน์ โดยเหตุผลที่โบราณสถานทั้ง 2 แห่ง มีความสำคัญและชำรุดทรุดโทรมมากจนน่าวิดก และเกรงว่าหลักฐานต่าง ๆ ที่ยังปรากฏอยู่จะสูญเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา.

          ภายหลังจากการดำเนินการขุดแต่งเจดีย์องค์ประธานที่กล่าวมาข้างต้นเสร็จสิ้นแล้ว หลักฐานที่ได้จากการขุดแต่งภมารถนำมาวิเคราะห์ร่วมกับเหดุการณ์ทางประวัติศาสตร์เพื่อสอบยืนยันถึงอายุของวัดนี้ได้เป็นอย่างดี กล่าวคือ

          หลักฐานเก่าแก่ที่สุดของวัดธรรมิกราช คือเศียรพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ ซึ่งนำไปเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาดิ เจ้าสามพระยา พุทธลักษณะของปฏิมากรรมสำริดองค์นี้เป็นศิลปะแบบอู่ทอง ราวพุทธศตวรรษที่ 19 คล้ายคลึงกับพระพุทธไตรรัดนนายก วัดพนัญเชิง ซึ่งปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ว่า สร้างขึ้นก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปีหลักฐานชั้นนี้ได้ยืนยันถึงอายุพระพุทธรูปองค์นั้นว่าควรสร้างขึ้นก่อนกรุงศรีอยุธยา ในอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับวัดพนัญเชิง โบราณวัตถุอื่น ๆ อาทิเช่น พระพุทธรูปปางนาคปรก ศิลปะแบบลพบุรี แม้จะพบหลายองค์ในวัดนี้ ก็ไม่อาจใช้กำหนดอายุได้เพราะมีเหตุผลของการเคลื่อนย้ายมาจากที่แห่งอื่น ๆ ได้ เช่นเดียวกัน.

          จากการขุดแต่งเจดีย์สิงห์ล้อมองค์นี้ พบว่าเจดีย์องค์ที่เห็นสภาพอยู่ในปัจจุบันได้สร้างครอบทับเจดีย์ทรงระฆังแบบเก่าไว้ภายใน ลักษณะของเจดีย์องค์ในดังกล่าวเป็นเจดีย์ทรงระฆังแบบฐานเตี้ย องค์ระฆังไม่ผ่านเป็นแบบโอคว่ำและไม่มีเสาหาน เมื่อนำเอาลักษณะของเจดีย์องค์ในไปเปรียบเทียบกับเจดีย์ที่มีลักษณะเช่นเดียวกันเเล้ว ส่วนใหญ่มีหลักฐานที่อ้างถึงว่ามีอายุเก่าขึ้นไปถึงสมัยอยุธยาตอนต้น เช่นเจดีย์ที่วัดมเหยงคณ์ เจดีย์วัดพลับพลาไชย เป็นต้นแม้จะยังไม่สามารถยืนยันให้เก่าขึ้นไปถึงสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาได้ก็ตาม.

           “ศักราช 906 ปีมะโรง ฉศก (พ.ศ.2087) ฝ่ายพระศรีศิลป์ผู้น้องพระยอดฟ้า พระองค์เอามาเลี้ยงไว้จนอายุได้สิบสามสิบสี่ปี จึงให้ออกบวชเป็นสามเณรอยู่ ณ วัดราชประดิษฐาน พระศรีศิลป์มิได้อยู่ในกตัญญู ซ่องสุมพวกพลคิดการกบฏ ครั้นทราบจึงดำรัสสั่งเจ้าพระยามหาเสนาให้จับเอาตัวพระศรีศิลป์มาพิจารณา ได้ความเป็นสัตย์หาให้ประหารชีวิตเสียไม่ ให้แต่คุณเอาตัวไว้ ณ วัดธรรมิกราชาหมื่นจ่ายวดเป็นผู้คุม.. 

          จากเหตุการณ์ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา และรูปลักษณ์ของสถาปัตยกรรมที่นิยมสร้างในช่วงระยะเวลาเดียวกันจึงอาจกล่าวได้โดยยุติในชั้นนี้ก่อนได้ว่า เจดีย์องค์ที่สร้างคร่อมทับนั้นคงสร้างขึ้นก่อนพุทธศตวรรษที่ 21.

          หลักฐานที่ได้จากการขุดแต่งพบว่า ฐานทักษิณสี่เหลี่ยม ขนาด 25*25 เมตร มีบันไดทางขึ้นลงทั้งสี่ด้าน ประกอบด้วยสิงห์ล้อม จำนวน 52 ตัวนี้ สร้างพอกทับประกบเข้าไปกับฐานเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมองค์ในที่หนึ่ง มิได้สร้างขึ้นมาในสมัยเดียวกัน ปัญหาที่ตามมาก็คือ ฐานทักษิณที่ประกอบด้วยบันไดนาคและสิงห์ทั้ง 52 ตัวนี้ สร้างขึ้นเมื่อใด.

          ย่อมเป็นที่ทราบกันอยู่ในหมู่ของนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีว่าสมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดสถาปัตยกรรมของกัมพูชาโบราณเป็นอย่างมาก ลักษณะและนามของสภาพลักษณะและนามของสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงสถาปนาขึ้น ซึ่งมักเกี่ยวเนื่องไปทางกัมพูชาประเทศเป็นอย่างมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงอาจจะเป็นไปได้ว่า การสร้างฐานทักษิณที่บันไดนาคและสิงห์ล้อมทั้งสี่ด้าน ซึ่งเป็นแบบอย่างที่นิยมทำกันมากในศิลปะกัมพูชาโบราณได้ถูกนำมาสร้างขึ้นในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนี้.

          ภายหลังจากการต่อเติมลานประทักษิณ ประกอบด้วยสิงห์และบันไดนาคโดยรอบแล้ว มหาเจดีย์สถานแห่งนี้คงจะชำรุดทรุดโทรมลงอีก เพราะได้ปรากฏร่องรอยของการพอกปูนทับทั้งบนเจดีย์สิงห์และที่บันไดนาคทั้งสี่ด้าน สิงห์บางตัวอาจชำรุดเสียหายจนไม่สามารถจะบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ได้ จึงจำเป็นต้องทิ้งฉากของสิงห์ตัวเดิม โดยปั้นตัวใหม่ขึ้นมาแทน หรือบางตัวก็ปั้นปูนพอกทับปูนเก่าและใส่ลวดลายใหม่ทับบนลายเก่าลงไป ซึ่งลักษณะของการซ่อมปฏิสังขรณ์มหาเจดีย์ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายของแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ซื่งอาจจะกระทำขึ้นในราวแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งทิ้งช่วงระยะเวลาห่างจากการบูรณะครั้งสุดท้ายประมาณ 100 ปีเศษ.

          ในช่วงท้ายของแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา เหดุการณ์ในประวัติศาสตร์ได้บันทึกถึงตำแหน่งพระราชาคณะรูปหนึ่งที่วัดธรรมิกราชนี้ คือ พระธรรมโคดม ซึ่งเป็นพระสงฆ์รูปหนึ่งในจำนวนทั้งสิ้น 5 รูป ที่กรมขุนพรพินิต (เจ้าฟ้าอุทุมพร) อาราธนาให้เข้าไปว่ากล่าวเล้าโลมเจ้าสามกรมให้สมัครสมานสามัคคีด้วยกันตามพระราซโอวาทที่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศตรัสสั่งไว้ก่อนจะเสด็จสวรรคต.

          ศาสนสถานที่มีอายุยืนยาวและใช้งานมาโดยตลอดแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา 300-400 ปี ไม่อาจคงสภาพอยู่ได้อย่างปกติฉันใด เจดีย์องค์นี้ก็เป็นฉันนั้น ความชำรุดทรุดโทรมได้เข้ามาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่า ดังจะเห็นได้จากร่องรอยของการซ่อมปฏิสังขรณ์ถึงหลายครั้งหลายครา พระมหากษัดริย์ผู้ทรงอำนาจและเป็นองค์ศาสนูปถัมภก จะทรงทำนุบำรุงพระศาสนาให้รุ่งเรืองก็ด้วยการซ่อมแซมปฏิสังขรณ์สถูป เจดีย์และเสนาสนะต่าง ๆ ในพระศาสนาให้มั่นคงถาวรสืบไปดังจะเห็นได้จากการวินิจฉัยลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด เพียงแต่ยังไม่มีเครื่องกำหนดให้เด่นชัดลงไปได้ว่า ศาสนสถานต่าง ๆ เหล่านี้ ได้ถูกบูรณปฏิสังขรณ์ในรัชสมัยของพระมหากษัตริย์พระองค์ใดจริง ๆ เท่านั้น ข้อวินิจฉัยดังกล่าวมาแล้วข้างต้นจึงเป็นเพียงการคาดการณ์ที่ยืนอยู่บนหลักฐานทั้งทางด้านสถาปัตยกรรม โบราณวัตถุเเละเอกสารที่ค้นพบเท่านั้น.

          ผลจากสงครามเมื่อปี พ.ศ.2310 กรุงศรีอยุธยาถูกไฟเผาผลาญวอดวายเป็นเถ้าถ่าน ปราสาทราชวัง วัดวาอาราม อาคารบ้านช่องต้องพินาศเสียหายยับเยินไป เพราะฝีมือข้าศึกและประชาชนที่ถูกบีบคั้นจากภาวะของสงคราม วัดธรรมิกราชก็มิได้พ้นจากภัยสงครามครั้งนี้ด้วย อาจเป็นเพราะอยู่ใกล้กับพระบรมมหาราชวัง หรือเพราะเป็นวัดที่โอ่อ่าใหญ่โตมโหฬารก็ตาม วัดนี้แหลกลาญลงในพริบตาเดียวเช่นกัน.

          กรุงศรีอยุธยาถูกทอดทิ้งให้เป็นเมืองร้างมาเป็นระยะเวลายาวนาน สภาพราชธานีอันรุ่งเรืองกลายเป็นป่าดงพงเสือ เป็นแหล่งของนักขุดหาของเก่า ดังที่บาทหลวงปาลเลอกัวซ์ สังฆราชประจำประเทศไทยในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้บรรยายไว้ในบันทึกของท่านว่า “ที่อยุธยายังมีการขุดหาทองสมบัติอยู่เนือง ๆ”.

          วัดธรรมิกราชไม่ปรากฏหลักฐานการปฏิสังขรณ์เลย ตั้งแต่อธุธยามีสภาพเป็นเมืองร้าง จากคำให้การของขุนหลวงหาวัดกล่าวว่า เมื่อพระเจ้าอุทุมพรราชาทรงสละราชสมบัติให้แก่ เจ้าฟ้าเอกทัศผู้เป็นพระเชษฐาธิราชแล้ว ก็ทรงผนวชอยู่ที่วัดธรรมิกราชนี้ โดยมีมหาดเล็กหุ้มแพรคู่พระทัย ชื่อ “นายหงส์” ติดตามออกบวชด้วย ในแผ่นดินของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศนั้นต้องทำศึกสงครามกับพม่าอยู่เนือง ๆ ก่อนเสียกรุงเพียงเล็กน้อย “นายหงส์” ได้ลอบหนีไปกับพระยาตากเพื่อเตรียมการกอบกู้กรุงศรีอยุธยาในดำราแบบธรรมเนียมในราชสำนักครั้งกรุงศรีอยุธยาว่าด้วย ตำรากระบวนเสด็จพระราชดำเนินครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่งครั้งกรุงธนบุรีซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีรับสั่งให้เจ้าพระยาจักรีรวบรวมผู้มีชื่อต่าง ๆ ที่คุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมในพระราชวังมาร่วมกันชำระ ในจำนวนผู้มีชื่อเหล่านั้นมีชื่อ “นายหงส์ เสมียนนครบาล” ร่วมอยู่ด้วย ต่อมานายหงส์ผู้นี้ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาเพชรพิชัย (หงส์)” และมีบุตรชายได้ตำแหน่งเป็นพระยาเพชรพิชัย (เกตุ)  เป็นต้นสกุล “หงสกุล”  พระยาเพชรพิชัย (เกตุ) มีบุตรชายได้ตำแหน่งเป็นพระยาเพชรพิชัย (หนู) เป็นต้นสกุล “เกดุทัต” ในราวสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะเหตุที่ตระกูลนี้มีความสัมพันธ์กับวัดธรรมิกราชนี้อยู่บ้าง “คุณหญิงแจ่ม” ภริยาของพระยาเพชรพิชัย (หนู) ได้มาบูรณะปฏิสังขรณ์ซากปรักหักพังของวัดธรรมิกราช โดยก่อเป็นแบบก่ออิฐถือปูนเพื่อให้มีความมั่นคงถาวรสืบไป ไม่ว่าจะเป็นกุฏิสงฆ์หรือเสนาสนะต่าง ๆ ดังนั้น วัดธรรมิกราชจึงเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่สืบมาจนทุกวันนี้.

          พระครูพิทักษ์พรหมธรรม เจ้าอาวาสวัดธรรมิกราช (พ.ศ.2534) กล่าวว่าในช่วงระยะที่คุณหญิงแจ่มมาปฏิสังขรณ์วัดธรรมิกราชนั้น คงอยู่ในช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในขณะนั้นมีพระครูธรรมิกจารคุณ (ฟัก) เป็นเจ้าอาวาส เล่ากันว่า พระครูธรรมิกจารคุณรูปนี้ เป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดเสด็จมาเยือนทุกครั้งที่เสด็จอยุธยา แม้เมื่อครั้งจะเสด็จประพาสยุโรป ก็ยังเสด็จมาลาถึงวัด.

          ภายหลังจากการปฏิสังขรณ์ครั้งนั้นแล้ว ก็มิได้มีผู้ใดมาบูรณะปฏิสังขรณ์อีก วัดธรรมิกราชที่เคยเป็นวัดหลังอันโอ่อ่าสมัยกรุงศรีอยุธยา ก็เปลี่ยนสภาพมาเป็นวัดราษฎร์ที่ขาดการดูแลเอาใจใส่ สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่คุณหญิงแจ่มได้บูรณะไว้นั้น ชำรุดทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ เจ้าอาวาสองค์ต่อ ๆ มาจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นเสียใหม่ โดยใช้ไม้ปลูกสร้างแทนของเดิม และในปลายปี พ.ศ.2490 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีได้มาบูรณะวังโบราณและบริเวณเกาะเมืองอยุธยา ได้มีโครงการที่จะปฏิสังขรณ์เสนาสนะต่าง ๆ ภายในวัดให้ด้วย พอสร้างรั้วและกำแพงวัดเสร็จ ก็เกิดขึ้นความผันผวนทางการเมืองจอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเดินทางออกนอกประเทศ ทำให้โครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดธรรมิกราชด้องหยุดชะงักลงมาเป็นระยะเวลานานจนถึงปัจจุบันนี้ ทำให้วัดธรรมิกราชอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมมานับแต่นั้นมา แม้กระทั่งองค์เจดีย์ประธานของวัดก็หักพังทลายลงใน พ.ศ.252001.



ที่มา คำศัพท์ คำอธิบาย:
01. ปรับเสริมจาก. เว็บไซต์อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา www.qrcode.finearts.go.th, วันที่เข้าถึง 28 พฤษภาคม 2564.
02. บ้างส่วนจาก
Facebook เพจ "ประวัติศาสตร์ กรุงศรีอยุธยา," วันที่เข้าถึง 07 กรกฎาคม 2564.




PHOTO GALLERY
ภาพที่ 01: การจัดแสดงโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วังจันทรเกษม เมื่อครั้งอดีต ปัจจุบันโบราณวัตถุบางชิ้นได้นำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา, ที่มา : Facebook เพจ "เที่ยวเมืองกรุงเก่า," วันที่เข้าถึง 19 มกราคม 2563.
ภาพที่ 02-03: ที่มา : Facebook เพจ "มองหลายมุมเรื่องกรุงเก่า," วันที่เข้าถึง 30 มกราคม 2563.
ภาพที่ 04: วิหารหลวง, ที่มา : Facebook เพจ "เที่ยวเมืองกรุงเก่า," วันที่เข้าถึง 06 กุมภาพันธ์ 2563.
ภาพที่ 05-18: ที่มา : Facebook เพจ "Kittirat Kanjanaprakasit," วันที่เข้าถึง 11 กรกฎาคม 2563.
ภาพที่ 19-20: ที่มา : Facebook เพจ "ประวัติศาสตร์ กรุงศรีอยุธยา," จินตนาการอุโบสถวัดธรรมิกราช, วันที่เข้าถึง 07 กรกฎาคม 2564.

PHOTO
GALLERY
info@huexonline.com