เซเปียนส์: ประวัติย่อของมนุษยชาติ ตอนที่ 1
Sapiens: A Brief History of Humankind Part 1
First revision: Dec.30, 2018
Last change Jun.13, 2021
ผมใคร่ขอเขียนสรุป ค้นคว้าเพิ่มเติม แทรกรายละเอียดและภาพต่าง ๆ ด้วยเห็นว่าหนังสือเล่มนี้ดีมาก ๆ อยากจะศึกษาให้ลึก ๆ ต่อยอด สิ่งที่ได้ค้นคว้าเสริมเพิ่มเติมนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
อภิรักษ์ กาญจนคงคา
ผู้เขียนหนังสือนี้ชื่อ ยูวัล โนอาห์ แฮรารี (Yuval Noah Harari) เกิดเมื่อ 24 ก.พ. ค.ศ.1976 ปัจจุบันพำนักอยู่ในอิสราเอล ผู้เขียนจบดุษฎีบัณฑิตด้านประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร ปัจจุบันเป็นผู้บรรยายที่มหาวิทยาลัยฮิบรูแห่งเยรูซาเลม, มีความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์โลก เขียนหนังสือที่เป็นปรากฎการณ์ในระดับนานาชาติ คือ เซเปียนส์ (Sapiens) และ โฮโม เดียส (Homo Deus) (บ้างก็ออกเรียก "ดีอุส" แต่คำว่า "อุส" ต้องออกเสียงเบาและต่ำ) ผู้เขียนมีเว็บไซต์ของตนเองชื่อ https://www.ynharari.com
ยูวัล โนอาห์ แฮรารี (Yuval Noah Harari), ที่มา: https://medium.com/@rasmuspalludan/, วันที่สืบค้น 31 ธันวาคม 2561
|
ไฟให้อำนาจแก่เรา |
Fire gave us power. |
|
การนินทา ช่วยให้เราร่วมมือกันได้ |
Gossip helped us cooperate. |
|
เกษตรกรรม ทำให้เรายิ่งหิวโหยมากขึ้น |
Agriculture made us hungry more. |
|
ตำนานเรื่องเล่า ช่วยผดุงกฎหมายและระเบียบแบบแผน |
Mythology maintained law and order. |
|
เงินตรา คือสิ่งที่เราเชื่อถือได้อย่างแท้จริง |
Money gave us something we can really trust. |
|
ความขัดแย้ง ทำให้เกิดวัฒนธรรม |
Contradictions created culture. |
|
วิทยาศาสตร์ ทำให้พวกเราช่างน่าสะพรึง |
Science made us deadly. |
|
เงินตรา ทำให้เรามีเป้าประสงค์ |
Money gave us purpose. |
ส่วนที่หนึ่ง
การปฏิวัติการรับรู้ (The Cognitive Revolution)
ภาพพิมพ์รูปมือมนุษย์ เมื่อราว 30,000 ปีที่แล้ว บนผนังถ้ำโชเวต์ ปงต์ ดาร์ก (Chauvet-Pont-d'Arc Cave)
ตอนใต้ของฝรั่งเศส บางคนคงอยากจะบอกว่า "ฉันเคยอยู่ที่นี่!"
ที่มา: https://en.cavernedupontdarc.fr/, วันที่สืบค้น 19 มกราคม 2561
ลำดับเวลาทางประวัติศาสตร์
|
ปีก่อนปัจจุบัน |
|
|
13,500 ล้านปี |
สสารและพลังงานปรากฎขึ้น ฟิสิกส์เริ่มต้นขึ้น (01)
อะตอมและโมเลกุลปรากฎขึ้น เคมีเริ่มต้นขึ้น |
|
4,500 ล้านปี |
การก่อตัวของดาวเคราะห์โลก |
|
3,800 ล้านปี |
การเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิต ชีววิทยาเริ่มต้นขึ้น |
|
6 ล้านปี |
บรรพบุรุษร่วมสุดท้ายของมนุษย์และชิมแปนซีเกิดขึ้น |
|
2.5 ล้านปี |
วิวัฒนาการของสกุลโฮโมในแอฟริกาและเครื่องมือหินชิ้นแรก |
|
2 ล้านปี |
มนุษย์แพร่กระจายจากแอฟริกาสู่ยูเรเซีย
วิวัฒนาการของมนุษย์สปีชีต่าง ๆ |
|
500,000 ปี |
นีแอนเดอร์ธัลล์ (Neanderthals) วิวัฒนาการขึ้นในยุโรปและตะวันออกกลาง |
|
300,000 ปี |
การรู้จักไฟในชีวิตประจำวัน |
|
200,000 ปี |
โฮโมเซเปียนส์ (Homo sapiens) (02) วิวัฒนาการขึ้นในแอฟริกา |
|
70,000 ปี |
การปฏิวัติการรับรู้ การเกิดขึ้นของภาษา
เริ่มต้นประวัติศาสตร์ เซเปียนส์ขยายถิ่นฐานออกจากแอฟริกา |
|
45,000 ปี |
เซเปียนส์ตั้งถิ่นฐานในออสเตรเลีย การสูญพันธ์ของสัตว์ขนาดใหญ่ในออสเตรเลีย |
|
30,000 ปี |
นีแอนเดอร์ธัลส์สูญพันธุ์ |
|
16,000 ปี |
เซเปียนส์ตั้งถิ่นฐานในอเมริกา
การสูญพันธ์ของสัตว์ขนาดใหญ่ในอเมริกา |
|
13,000 ปี |
การสูญพันธุ์ของโฮโมฟลอเรไซเอนซิส (Homo floresiensis)
โฮโมเซเปียนส์เป็นเพียงมนุษย์สปีชีส์เดียวที่รอดมาได้ |
|
12,000 ปี |
การปฏิวัติเกษตรกรรม รู้จักการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ มีการตั้งถิ่นฐานถาวร |
|
5,000 ปี |
อาณาจักรแรก จารึก และเงินตรา ศาสนาที่นับถือเทพเจ้าหลายองค์ |
|
4,250 ปี |
จักรวรรดิแรกคือ จักรวรรดิอัคคาเดียนของพระเจ้าซาร์กอน |
|
2,500 ปี |
การประดิษฐ์เหรียญ - ระบบเงินตราสากล
จักรวรรดิเปอร์เซีย - ระเบียบแบบแผนการเมืองสากล 'เพื่อประโยชน์สุขแห่งมวลมนุษยชาติ'
พุทธศาสนาในอินเดีย - ความจริงสากล 'เพื่อปลดปล่อยสิ่งมีชีวิตจากความทุกข์' |
|
2,000 ปี |
จักรวรรดิฮั่นในประเทศจีน จักรวรรดิโรมันในเมดิเตอร์เรเนียน, ศาสนาคริสต์ |
|
1,400 ปี |
ศาสนาอิสลาม |
|
500 ปี |
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ มนุษยชาติยอมรับในความไม่รู้และเริ่มได้อำนาจที่ไม่คาดคิดมาก่อน
ชาวยุโรปพิชิตอเมริกาและห้วงมหาสมุทร
โลกทั้งหมดกลายเป็นผืนประวัติศาสตร์เดียว การเกิดขึ้นของระบบทุนนิยม |
|
200 ปี |
การปฏิวัติอุตสาหกรรม ครอบครัวและชุมชนถูกแทนที่ด้วยรัฐชาติและตลาด
การสูญพันธุ์ขนานใหญ่ของพืชและสัตว์ต่าง ๆ |
|
ปัจจุบัน |
มนุษย์ไปได้ไกลเกินกว่าเขตแดนของดาวเคราะห์โลก
อาวุธนิวเคลียร์คุกคามการอยู่รอดของมนุษยชาติ
สิ่งมีชีวิตมีรูปแบบที่เพิ่มขึ้นด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาด แทนที่จะเป็นจากการคัดสรรโดยธรรมชาติ |
|
อนาคต |
การออกแบบที่ชาญฉลาดกลายเป็นหลักการขั้นพื้นฐานของชีวิต?
โฮโมเซเปียนส์ถูกแทนที่ด้วยอภิมนุษย์? |
หมายเหตุ
(01) เกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า "บิ๊กแบง" (Big Bang) เป็นปรากฎการณ์จากการรวมตัวกันของ สสาร พลังงาน เวลา และพื้นที่.
ที่มา: www.bbc.co.uk, วันที่สืบค้น 31 ธันวาคม 2561.
(02) โฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens): โฮโม (Homo) แปลว่า มนุษย์ (man) เซเปียนส์ (sapiens) แปลว่า มีสติปัญญาหรือเฉลียวฉลาด (wise)
I
สัตว์ที่ไม่สลักสำคัญ (An Animal of No Significance)
- มนุษย์เรา อยู่ในวงศ์โฮมินิดี (Hominidae) ซึ่งเรารวมอยู่ในสมาชิกของวงศ์ที่ใหญ่และสมาชิกที่ชอบเอ็ดอึงเป็นพิเศษ เรียกว่า "วารนรยักษ์ (great apes) เรามีญาติที่ใกล้ชิดที่มีชีวิตอยู่คือ ชิมแปนซี กอริลลา และอุรังอุตัง รวมทั้งโบโนโบ (bonobo) และสมาชิกที่สูญพันธุ์ไปแล้ว คือ นีแอนเดอร์ธัลส์.
โครงกระดูกในตู้ (Skeletons in the Closet)
(สามารถดูผัง The Evolution of Homo Genus) ได้ใน หมายเหตุและคำอธิบายเพิ่มเติม ข้อ 03. ด้านล่าง
ช่วง 2.5 ล้านปีมาแล้ว |
วานรสกุลแรก ๆ ชื่อ ออสตราโลพิเธคัส (Australopithecus) แปลว่า "วานรแดนใต้ Southern Ape" ถือกำเนิดที่แอฟริกาตะวันออก
ตัวอย่าง หลักฐานที่ค้นพบที่สำคัญคือ กระดูกฟอสซิลของ "ลูซี่ - Lucy" พบในเอธิโอเปีย |
ที่มา: www.britannica.com,
วันที่สืบค้น 31 ธันวาคม 2561
|
2 ล้านปีมาแล้ว |
มนุษย์โบราณละทิ้งบ้านเกิด เดินทาง ตั้งฐานใหม่ในแอฟริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย ด้วยภูมิประเทศ ภูมิอากาศแตกต่างกัน มนุษย์โบราณพัฒนาการแตกต่างกันออกไปโดยมีเป็นภาษาละติน ดังนี้
มนุษย์ในยุโรปและเอเชียตะวันตกวิวัฒน์เป็น โฮโมนีแอนเดอร์ธัลเลนซิส (Homo neanderthalensis: มนุษย์จากหุบเขานีแอนเดอร์ - Man from the Neander Valley(01)) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนาม "นีแอนดอร์ธัลส์-Neanderthals"
จมูกของมนุษย์โบราณนี้จะมีขนาดใหญ่ โพรงจมูกกว้าง เป็นวิวัฒนาการเพื่อรองรับอากาศที่แห้งและเย็นในเขตหนาวของยุโรปได้ดี |
มนุษย์โบราณ "นีแอนเดอร์ธัลส์"
ที่มา: humanorigins.so.edu,
วันที่สืบค้น 31 ธันวาคม 2561
|
|
ทางตะวันออกถัดมาของทวีปเอเชียถูกครอบครองโดย โฮโม อีเร็คตัส (Homo erectus) แปลว่า มนุษย์ยืนตัวตรง (Upright man) ซึ่งมีชีวิตรอดยาวนานถึงเกือบ 2 ล้านปี ถือเป็นสปีชีส์มนุษย์ที่อยู่ยั้งยืนยงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งแม้แต่เซเปียนส์ที่เป็นสปีชีส์ของเราเองก็ไม่น่าจะทำลายสถิตินี้ลงได้ |
มนุษย์โบราณ "โฮโม อีเร็คตัส-Homo erectus" ที่มา: humanorigins.si.edu, วันที่สืบค้น 2 มกราคม 2562 |
|
มนุษย์โบราณ โฮโม โซโลเอนซิส (Homo soloensis) "มนุษย์จากหุบเขาโซโล" ในเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย เป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์โบราณนี้ เป็นมนุษย์ที่จะดำรงชีพอยู่ในเขตเส้นศูนย์สูตร |
Homo Erectus Soloensis, ที่มา: id.wikipedia.org, วันที่สืบค้น 5 มกราคม 2562
|
|
มนุษย์ โฮโม ฟลอเรไซเอนซิส (Homo floresiensis) - ชื่อเล่นคือ "ฮอบบิท - Hobbit" มนุษย์โบราณนี้ พบกระดูกอยู่บนเกาะฟลอเรส (Flores island) เป็นมนุษย์ที่มีขนาดเล็ก มีการวิวัฒนาการจนกลายเป็นคนแคระ โดยคนที่สูงมากที่สุดเพียง 1 เมตร มีน้ำหนักไม่เกิน 25 กิโลกรัม เนื่องด้วยเกาะมีพื้นที่และอาหารจำกัด วิวัฒนาการของมนุษย์โบราณจึงจำต้องปรับตัวให้อยู่รอดได้ |
Homo floresiensis, ที่มา: humanorigins.si.edu, วันที่สืบค้น 6 มกราคม 2562
|
|
มนุษย์ โฮโม เดนิสโซวา (Homo denisova) เดือนมีนาคม ค.ศ.2010 นักวิทยาศาสตร์พบชิ้นส่วนกระดูกนิ้วของหญิงสาวที่พบในถ้ำเดนิโซวา ในเทือกเขาอัลไต ไซบีเรีย สหพันธรัฐรัสเซีย ใกล้พรมแดนจีนและมองโกเลีย |
Homo denisova, ที่มา: flickr.com, วันที่สืบค้น 7 มกราคม 2562 |
|
มนุษย์ โฮโม รูดอล์ฟเฟนซิส (Homo rudolfensis) พบโดยทีมนักมานุษยวิทยา, สัตววิทยาเมื่อปี ค.ศ.1972 ที่ Koobi Fora ด้านตะวันออกของทะเลสาบ Turkana ในประเทศเคนยา |
Homo rudolfensis, ที่มา: humanorigin.si.edu, วันที่สืบค้น 7 มกราคม 2562 |
|
มนุษย์ โฮโม เออร์แกสเตอร์ (Homo ergaster) ภาษาละติน ergaster แปลว่า มนุษย์งาน (Workman) มนุษย์โบราณนี้มีอายุระหว่าง 1.9-1.4 ล้านปีมาแล้ว พบในทางตะวันออกและใต้ของแอฟริกา |
Homo ergaster, ที่มา: course.lumenlearning.com, วันที่สืบค้น 7 มกราคม 2562
|
|
โฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens) เป็นมนุษย์ปัจจุบัน ในภาษาละติน คำว่า Sapiens แปลว่า ฉลาด (wise) แปลรวมเป็นการขนานนามตัวเองอย่างหยิ่งผยองที่แปลว่า "มนุษย์ผู้มีสติปัญญา" |
มนุษย์ปัจจุบัน (Homo sapiens), ที่มา: www.printerest.com, วันที่สืบค้น 10 มกราคม 2562
|
หมายเหตุ
(01) หุบเขานีแอนเดอร์ (the Neander Valley) อยู่ในสหพันธรัฐเยอรมนี ใกล้แม่น้ำดุสเซล ( Düssel) ทางตะวันออกของเมืองดุสเซลดอร์ฟ (Düsseldorf) 12 กิโลเมตร
- สมาชิกของสกุลนี้ ดังแสดงไว้ข้างต้น บ้างก็เป็นคนแคระ บ้างก็เป็นนักล่าที่น่ากลัว บ้างก็เป็นนักเก็บของป่าผู้อ่อนโยน บ้างก็อาศัยอยู่บนเกาะอันโดดเดี่ยว ขณะที่บางกลุ่มก็ท่องเที่ยวไปทั่วทวีป
- การวิวัฒน์ของมนุษย์ไม่ได้ดำเนินไปเป็นเส้นตรง คือสืบสายจากเผ่าพันธุ์เดียว เช่นจาก Homo erectus เป็น Neanderthals แล้วเป็น Homo sapiens นั้นไม่ถูกต้อง จริง ๆ แล้วระหว่าง 2 ล้านปีที่แล้วถึง 10,000 ปีที่ผ่านมา มีมนุษย์อย่างน้อย 6 สปีชีส์ที่แตกต่างกันท่องโลกอยู่
ราคาของความคิด (The Cost of Thinking)
- มนุษย์ทุก ๆ สปีชี่ส์ (Species) หรือวงศ์ มีขนาดของสมองใหญ่เป็นพิเศษเมื่อเทียบสัตว์อื่นๆ ประมาณว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม น้ำหนัก 60 กิโลกรัม มีขนาดสมองเฉลี่ย 200 ลูกบาศก์เซนติเมตร มนุษย์รุ่นแรก 2.5 ล้านปีมีสมองประมาณ 600 ลูกบาศก์เซนติเมตร ขณะที่เซเปียนส์ยุคใหม่มีขนาดสมอง 1,200-1,400 ลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลมีขนาดสมองใหญ่กว่านี้อีก
- เราไม่ควรลุ่มหลงว่า มีขนาดสมองใหญ่ก็จะมีสติปัญญามาก ซึ่งนั่นไม่จริง ข้อเท็จจริงคือ เมื่อมีสมองขนาดใหญ่ ก็ทำให้ร่างกายสูญเสียพลังงานมาก และการรับน้ำหนักสมองของกะโหลกศีรษะขนาดใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ยากยิ่งกว่าคือ การสะสมพลังงานเพื่อเลี้ยงสมอง
- น้ำหนักสมองของโฮโม เซเปียนส์ คิดเป็นร้อยละ 2-3 ของน้ำหนักร่างกาย แต่มันกลับต้องการพลังงานขณะพักถึงร้อยละ 25 ของพลังงานทั้งหมด เมื่อเปรียบเทียบกับเหล่าวานรอื่น ๆ พบว่าพวกมันใช้พลังงานเพียงร้อยละ 8 ของพลังงานทั้งหมด
- มนุษย์โบราณต้องจ่ายค่าตอบแทนการมีสมองขนาดใหญ่ขึ้น 2 แบบ
- แบบแรก พวกเขาต้องใช้เวลาในการหาอาหารมากขึ้น
- แบบที่สอง กล้ามเนื้อฝ่อลีบลง มนุษย์เปลี่ยนพลังงานที่ส่งไปกล้ามเนื้อหน้าแขนท่อนบน (biceps) ส่งไปให้เซลล์ประสาทแทน.
- เราคิดค้นใช้สมอง ระบบเครือข่ายประสาทเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ กว่า 2 ล้านปีมาแล้ว (ยังไม่มีอะไรยืนยันถึงคุณค่าว่ามีอะไรบ้างที่เป็นผลจากพัฒนาการนี้) นอกจาก มีด หินเหล็กไฟ (flint).
- เรายืนตัวตรงขึ้น บนขาทั้งสองข้าง ทำให้เราตรวจตราดูศัตรูในทุ่งหญ้าสะวันนาห์ได้ง่ายขึ้น มือสามารถหยิบจับไม้ หิน โบกมือให้สัญญาณ มีการเพิ่มกระแสประสาทและมีกล้ามเนื้อที่นิ้วและฝ่ามือ ทำให้งานถูกปรับให้มีความละเอียดมากยิ่งขึ้น
ที่มา: www.pagalguy.com, วันที่สืบค้น 20 มกราคม 2562
- การยืนตัวตรงได้ของมนุษย์ เป็นเรื่องท้าทายเป็นการแลกกันระหว่างการมีภาพการมองมุมสูง การใช้มืออย่างคล่องแคล่ว กับอาการปวดหลังและเมื่อยคอ ด้วยต้องรองรับกะโหลกศีรษะอันมหึมา
- ผู้หญิงยิ่งหนักกว่า เพราะการเดินสองขา ทำให้กระดูกสะโพกและช่องคลอดที่แคบกว่าเดิม แต่ศีรษะทารกนั้นใหญ่ขึ้น ศีรษะเด็กทารก จะอ่อนนุ่มในระยะแรก เพื่อให้คลอดออกมาได้ การคัดสรรของธรรมชาติทำให้ทารกคลอดออกมาก่อนกำหนด เมื่อเทียบกับสัตว์อื่น และต้องดูแลประคบประหงม ก่อนที่อวัยวะสำคัญจะทำงานได้สมบูรณ์
- มันจะสะท้อนถึงการเข้าสังคมอันพิเศษของมนุษย์ ปัญหาสังคมอันเป็นเอกลักษณ์ การเลี้ยงดูทารก ต้องการอาศัยความช่วยเหลือของสมาชิกในครอบครัว การสนับสนุนของเผ่าตน เกิดความผูกพันทางสังคมอันแน่นแฟ้น.
- ในช่วง 2 ล้านปีก่อน มนุษย์ทรงพลังและมีขนาดสมองที่ใหญ่ การใช้เครื่องมือและความสามารถในการเรียนรู้มากกว่าสัตว์อื่น ๆ มนุษย์ช่วงนี้มีความสุขมาก แม้ว่าต้องเกรงกลัวสัตว์นักล่าที่ทรวพลังบ้าง แต่มนุษย์แทบจะไม่ล่าสัตว์ใหญ่ ๆ พวกเขาจะยังชีพด้วยการเก็บของป่า จับแมลง ล่าสัตว์เล็กกิน กินซากสัตว์ที่เหลือจากนักล่าทรงพลัง.
- มนุษย์โบราณอยู่ตรงกลางของห่วงโซ่อาหาร ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมานับล้าน ๆ ปี จนกระทั่ง 400,000 ปีมานี้ มีมนุษย์หลายสปีชีส์ (วงศ์) ได้เกิดขึ้น และ 100,000 ปีมานี้ โฮโม เซเปียนส์ ได้กำเนิดขึ้น และกระโดดสู่ยอดของห่วงโซ่อาหาร.
- เราอยู่บนยอดห่วงโซ่อาหารเร็วมาก จนธรรมชาติปรับตัวไม่ทัน นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สัตว์หลายประเภทได้สูญพันธ์ได้ด้วยฝีมือ โฮโม เซเปียนส์ เช่นพวกเรา.
เผ่าพันธุ์นักปรุงอาหาร (A Race of Cooks)
โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง ดั้นด้นหาไฟ (Quest for fire) กำกับการแสดงโดย Jean-Jacques Annaud เมื่อปี ค.ศ.1981, ที่มา: makeminecriterion.wordpress.com, วันที่สืบค้น 28 มกราคม 2562
- มนุษย์บางสปีชีส์อาจรู้จักการใช้ไฟเป็นครั้งคราวตั้งแต่ 800,000 ปีก่อน ขณะที่ โฮโม อีเร็กตัส นีแอนเดอทัลส์ และโฮโม เซเปียนส์ ใช้ไฟเป็นกิจวัตรมาราว 300,000 ปีมาแล้ว.
- ทำให้มนุษย์มีคบเพลิงให้แสงสว่าง ความอบอุ่น ต่อสู้กับสิงสาราสัตว์ เริ่มใช้ไฟอย่างระมัดระวัง เผาพุ่มไม้เพื่อสร้างทางเดิน ใช้ไฟในเกมไล่ล่าในทุ่งกว้าง ไฟมอดลง ก็เก็บเกี่ยวสัตว์ที่ถูกย่างตาย ผลไม้ พืชมีหัว ลูกนัต หน่อไม้ย่างสด กินกัน
- มนุษย์เริ่มประกอบอาหารสดที่มนุษย์ย่อยไม่ได้ เช่น ข้าวสาลี ข้าว มันฝรั่ง กลายมาเป็นอาหารหลักของมนุษย์ ไฟมิใช่แค่เพียงเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีของอาหาร ยังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางชีววิทยาของมนุษย์โบราณอีกด้วย
- มนุษย์เรามีเวลาเหลือเฟือจากการเคี้ยงและย่อยอาหารโปรด ทั้งผลไม้ ลูกนัต แมลง และซากสัตว์ได้ง่ายหลังปรุงให้สุก ชิมแปนซีใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมงต่อวันในการเคี้ยวอาหารดิบ แต่มนุษย์ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงในการกินอาหารที่ปรุงสุกแล้ว
- ทำให้มนุษย์ทานอาหารหลากหลายชนิด เวลาในการกินน้อยลง ทำให้ฟันมนุษย์ซี่เล็กลง ลำไส้ที่สั้นลง มีการเพิ่มขนาดของสมองขึ้น
- การควบคุมไฟได้ของมนุษย์ได้เป็นสัญญาณบอกเหตุให้สิ่งต่าง ๆ ตามมา
1. ผู้พิทักษ์เหล่าภราดรมนุษย์ (Our Brothers' Keepers)
- ก่อนการรู้จักไฟเมื่อประมาณ 150,000 ปีที่แล้ว มนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่มิได้สลักสำคัญอะไรเลย (Still marginal creatures) บางทีอาจมีมนุษย์มากกว่า 1 ล้านคนที่อาศัยอยู่ระหว่างหมู่เกาะอินโดนีเซียกับคาบสมุทรไอบีเรีย.
- นักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องกันว่าเมื่อประมาณ 70,000 ปีที่แล้ว เซเปียนส์ ย้ายจากแอฟริกาตะวันออกไปคาบสมุทรอาหรับ แล้วย้ายถิ่นฐานครอบคลุมผืนแผ่นดินยูเรเซียทั้งหมดอย่างรวดเร็ว.
การกระจายไปทั่วโลกของ โฮโม เซเปียนส์ ที่มา: Bentley textbook หน้า 8-9,
สืบค้นจาก sdaworldhistory.edublogs.org/u/1/, วันที่เข้าถึง 3 กุมภาพันธ์ 2562
- เมื่อ โฮโม เซเปียนส์ ย้ายเข้าไปตั้งถิ่นฐานในแถบอารเบีย พื้นที่ส่วนใหญ่ในยูเรเซียก็ถูกมนุษย์วงศ์อื่นจับจองอยู่แล้ว อะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น มีทฤษฎีที่ขัดแย้งกันอยู่ 2 ทฤษฎี คือ
- ทฤษฎีการผสมข้ามสายพันธุ์ (Interbreeding Theory) และ
- ทฤษฎีการแทนที่ (Replacement Theory)
- ทฤษฎีการผสมข้ามสายพันธุ์ (Interbreeding Theory) พวกเขาผสมผสานกับเจ้าถิ่นเดิม และมนุษย์ปัจจุบันก็เป็นผลผลิตมาจากการผสมข้ามสายพันธุ์นี้ เช่น เมื่อ เซเปียนส์ ไปถึงตะวันออกกลางและยุโรป ได้เผชิญหน้ากับนีแอนเดอร์ธัลส์ ซึ่งร่างกายล่ำสันกว่า สมองใหญ่กว่า ปรับตัวเข้ากับอากาศหนาวได้ดีกว่า พวกเขารู้จักใช้เครื่องมือและไฟ เป็นนักล่าสัตว์ที่ชำนาญ และมีหลักฐานว่าพวกเขาดูแลคนป่วยและคนที่อ่อนแอ นีแอนเดอร์ธัลส์ มักถูกล้อเลียนในรูปลักษณะดั้งเดิมที่แลดูป่าเถื่อนและโง่เขลาว่าเป็น "มนุษย์ถ้ำ (Cave people)" แต่หลักฐานเมื่อไม่นานมานี้ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์พวกเขาไป มีการผสมกลมกลืนกันสองวงศ์ ชาวยูเรเชียนไม่ใช่ เซเปียนส์บริสุทธิ์ แต่เป็นการผสมผสานกัน เซเปียนส์ เดินทางไปยังตะวันออกได้ผสมกับ อีเร็กตัส ในพื้นที่ ดังนั้นชาวจีน และชาวเกาหลี ก็เป็นผลจากการผสมผสานระหว่าง เซเปียนส์ และ อีเร็กตัส.
- ทฤษฎีการแทนที่ (Replacement Theory) เป็นมุมมองตรงข้ามกับทฤษฎีแรก การแตกต่างกันมาก ความเข้ากันไม่ได้ ความรังเกียจ (revulsion) และอาจถึงรวมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide) ความมีกายวิภาคที่ต่างกัน (different anatomies) เป็นไปได้ว่านิสัยการจับคู่ (mating habits) หรือแม้แต่กลิ่นตัวที่แตกต่างกัน (Body odours) อาจมีการตกหลุมรักกันข้ามสายพันธุ์บ้าง แต่ก็ไม่สามารถกำเนิดบุตรที่แข็งแรงสมบูรณ์ได้ เพราะชุดพันธุกรรม (Genetic gulf) ของทั้งสองสายพันธุ์ไม่อาจเชื่อมต่อกันได้ (Unbridgeable) ประชากรมนุษย์ทั้งสองพวกจึงต่างคนต่างอยู่ และเมื่อ นีแอนเดอร์ธัลส์ สูญพันธุ์หรือถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จนสิ้น ยีนของพวกเขาก็ตายตามไปด้วย (ผมได้เคยศึกษาทราบมาว่าพบหลุมขนาดใหญ่ในฝรั่งเศส พบกระดูกมากมายของนีแอนเดอร์ธัลส์ สันนิษฐานว่าตายหมู่จากถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์) และ (จากการศึกษาหลายปีมาแล้วพบว่าระบบการสื่อสารและภาษาของ นีแอนเดอร์ธัลส์ ไม่แสดงรายละเอียดพอ กล่องเสียงไม่อยู่ในตำแหน่งที่เปล่งเสียงทุ้มต่ำ เสียงแหลม กลางต่ำ เอกโทตรีจัตวา เสียงดนตรีได้เทียบเท่า โฮโม เซเปียนส์ . ทำให้การสื่อสารร่วมกันขณะล่าสัตว์ไม่มีประสิทธิภาพ การจับสัตว์หรือหาของกินได้น้อยกว่า เซเปียนส์ ดังเช่นตัวอย่าง นีแอนเดอร์ธัลส์ สื่อสารกันอย่างนี้ไม่ได้ว่า "เฮ้ย กระจง มันวิ่งลงรูด้านขวาของพุ่มไม้ เอ็งลองเดินย่อง ๆ เบา ๆ ดูจังหวะ เตรียมเอาหอกไม้แทงนะโว้ย ข้าจะอ้อมไปด้านซ้าย แล้วส่งเสียงให้มันตกใจ เมื่อมันวิ่งออกมา แล้วเอ็งแทงเลยนะเพื่อนนะ" เป็นต้น) ในทฤษฎีนี้เซเปียนส์ได้แทนที่ประชากรมนุษย์ก่อนหน้าทั้งหมด โดยไม่มีการผนวกรวมกันเลย.
- ทั้งนี้ในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้ ทฤษฎีการแทนที่เป็นยอมรับกันมาก, แต่เมื่อปลายปี ค.ศ.2010 มีการตีพิมพ์ถึงผลการค้นพบด้วยความพยายามถึงสี่ปีในการสำรวจแผนที่สารพันธุกรรม (genome) ของ มนุษย์โบราณนีแอนเดอร์ธัลส์ พบว่า ประมาณ 1-4 เปอร์เซ็นต์ของมนุษย์ปัจจุบันในแถบตะวันออกกลางและยุโรป มี ดีเอ็นเอของ นีแอนเดอร์ธัลส์. ซึ่งอาจจะมีจำนวนไม่มาก แต่มีนัยสำคัญ.
- ความตื่นตะลึงครั้งที่สองก็ตามมา เมื่อมีการสกัดดีเอ็นเอจากฟอสซิสนิ้วมือของมนุษย์เดนิสโซวา ผลลัพธ์ที่ได้คือ ในมนุษย์เมลานีเซียนปัจจุบันและอะบอริจินในออสเตรเลียมีดีเอ็นเอสูงถึง 6 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นของมนุษย์เดนิสโซวา.
มนุษย์เมลานีเซียนในปัจจุบัน (Melanesian)-อยู่ในหมู่เกาะที่ขยายออกมาจากหมู่เกาะนิวกีนี ทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก,
ผิวคล้ำมีผมสีทอง, ที่มา: www.thecoconet.tv, วันที่เข้าถึง 21 กุมภาพันธ์ 2562
- หากผลลัพธ์นี้ถูกต้อง ก็มิได้หมายความว่าทฤษฎีการแทนที่นั้น จะผิดเสียทั้งหมด มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการผสมข้ามสายพันธุ์กันบ้าง ในบางพื้นที่ของโลก เสมือนการแบ่งพันธุ์มนุษย์ในสกุลโฮโมนั้นเป็นพื้นที่สีเทา.
- ราว ๆ 50,000 ปีมาแล้ว เซเปียนส์ แตกต่างจาก นีแอนเดอร์ธัลส์ และ เดนิสโซวา มาก ไม่เฉพาะรหัสพันธุกรรม (genetic code) และลักษณะทางกายภาพ (Physical traits) แต่ยังรวมไปถึง การรับรู้ (cognitive) และความสามารถทางสังคม (Social abilities) มีโอกาสน้อยนิดมากที่เซเปียนส์จะผสมกับนีแอนเดอร์ธัลส์ แต่ก็ยังมีอยู่บ้าง (ซึ่งข้อสรุปนี้ยังไม่ชัดเจนแน่นอน)
- ท้ายที่สุด นีแอนเดอธัลส์ อยู่รอดมาได้จนกระทั่งราว 30,000 ปีก่อน มนุษย์แคระคนสุดท้ายหายไปจากเกาะฟลอเรสเมื่อประมาณ 12,000 ปีก่อน พวกเขาทิ้งไว้เพียงกระดูก เครื่องมือหิน ยีนไม่กี่ยีนในดีเอ็นเอของเรา พวกเขาทิ้งมนุษย์สปีชีส์สุดท้ายคือ โฮโม เซเปียนส์ ไว้เบื้องหลัง
- มีผู้คนถกเถียงกันมากว่า ทำไมเหลือแต่เพียง โฮโม เซเปียนส์ ทั้ง ๆ ที่ นีแอนเดอธัลส์ เป็นผู้ที่แข็งแกร่ง มีมันสมอง ทนทานต่อความหนาว ไม่รอดพ้นจากการโจมตีของเรา คำตอบนั้นน่าจะคือ เพราะภาษาอันเป็นเอกลักษณ์ของเรา (unique language) โฮโม เซเปียนส์ นั่นเอง.
2. ต้นไม้แห่งความรู้ (The Tree of Knowledge)
- แม้ว่าเซเปียนส์ได้ครอบครองแอฟริกาตะวันออก เมื่อประมาณ 15,000 ปีมาแล้ว และผลักดันให้มนุษย์สปีชีส์อื่น ๆ สูญพันธุ์ไปเมื่อเพียง 70,000 ปีก่อน มีการเผชิญหน้าระหว่าง เซเปียนส์ กับ นีแอนเดอธัลส์ ซึ่ง นีแอนเดอธัลส์ เป็นฝ่ายชนะ เมื่อราว 100,000 ปีก่อน มีเซเปียนส์บางกลุ่มได้อพยพขึ้นไปทางเหนือสู่เลแวนต์ (Levant) ซึ่งเป็นถิ่นฐานของ นีแอนเดอธัลส์ .
เลแวนต์ (Levant) หมายถึง บริเวณฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน หรือ เอเซียทางทิศตะวันตก ซึ่งเทียบเท่ากับภูมิภาคประวัติศาสตร์ของซีเรีย (Historical region of Syria), ที่มาของภาพ: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง 31 มีนาคม 2562.
- แต่ เซเปียนส์ ก็อยู่ได้ไม่นาน ก็ล่าถอยไป ปล่อยให้ นีแอนเดอร์ธัลส์ เป็นเจ้าแห่งตะวันออกกลาง ซึ่งขณะนั้นโครงสร้างสมองของ เซเปียนส์ แตกต่างจากพวกเรา ขีดความสามารถในการรับรู้ การเรียนรู้ การจดจำ การติดต่อสื่อสารยังมีขีดจำกัด แต่จากนั้นเมื่อราว 70,000 ปีมาแล้ว เซเปียนส์ กลุ่มหนึ่งก็ออกจากแอฟริกาเป็นครั้งที่สอง รุกไล่ นีแอนเดอร์ธัลส์ และมนุษย์สปีชี่ส์อื่น ๆ ออกไป.
- ไม่เพียงแต่ตะวันออกกลาง แต่จากพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ภายในระยะเวลาอันสั้นมาก เซเปียนส์ ก็เดินทางไปถึงยุโรปและเอเซียตะวันออก จนราว 45,000 ปีก่อน พวกเข้าก็เดินทางข้ามทะเลเปิดด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง และไปตั้งถิ่นฐานที่ออสเตรเลีย ตราบกระทั้งถึงตอนนั้นยังเป็นทวีปที่ไม่ถูกรบกวนจากมนุษย์เลย.
- ระยะเวลาจากช่วง 70,000-30,000 ปีมาแล้วมีหลักฐานแสดงถึงการประดิษฐ์เรือ ตะเกียงน้ำมัน คันธนูและลูกศร และเข็ม (เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเย็บเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นร่างกาย) มีงานศิลปะ มีหลักฐานชิ้นแรก (มนุษย์สิงโตสตาเดล) แสดงถึงการมีศาสนา การค้า และชนชั้นทางสังคมอย่างชัดเจน
ตุ๊กตามนุษย์สิงโตทำจากงาช้าง พบในถ้ำสตาเดล เยอรมนี (An ivory figurine of a "lion-man' (or 'lioness-woman') from the Stadel Cave in Germany) ประมาณ 32,000 ปีมาแล้ว มีร่างเป็นมนุษย์แต่ศีรษะเป็นสิงโต หนึ่งในหลักฐานชิ้นแรกที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเป็นงานศิลปะ และอาจแสดงถึงการนับถือศาสนาและความสามารถของมนุษย์ในการจินตนาการถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง. ที่มา: damienmarieathope.com, วันที่เข้าถึง 2 เมษายน 2562.
- หากเราได้พบศิลปิน เซเปียนส์ ท่านนี้หรือหลายคนก็ตามที่สร้างตุ๊กตาสตาเดลได้จริง ๆ แล้ว เราอาจได้ทราบถึงความเฉลียวฉลาด สร้างสรรค์ ความอ่อนไหวเช่นเดียวกับเรา อาจจะมีการเรียนรู้ภาษาของกันและกัน เราอาจจะอธิบายสิ่งที่เรารู้ให้พวกเขาฟัง และพวกเขาก็อาจจะสอนเราเกี่ยวกับวิธีการมองโลกของพวกเขา.
- ลักษณะวิธีการสื่อสารใหม่ ๆ ระหว่างช่วง 70,000-30,000 ปีมาแล้ว เกิดจากปฏิวัติการรับรู้ (The Cognitive Revolution) ทฤษฎีที่หนึ่ง: มีทฤษฎีที่เชื่อกันมากว่า เกิดจากการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม โดยบังเอิญ ส่งผลต่อการจัดเรียงตัวระบบประสาทภายในสมองของ เซเปียนส์ ทำให้พวกเขาสามารถคิดและสื่อสารกันได้แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป็น 'การกลายพันธุ์จนเกิดเป็นต้นไม้แห่งความรู้ (Tree of Knowledge mutation)' ขึ้น.
- ภาษาของเราสามารถยืดหยุ่นได้อย่างน่าอัศจรรย์ เราสามารถเชื่อมโยงเสียงและสัญลักษณ์ที่มีอยู่อย่างจำกัดจนได้ประโยคนับไม่ถ้วน โดยแต่ละประโยคก็มีความหมายแตกต่างชัดเจน ด้วยวิธีการแบบนี้เราสามารถนำมาใช้สื่อสารข้อมูลปริมาณมหาศาลเกี่ยวกับโลกรอบตัวได้.
- ทฤษฎีที่สอง: เห็นพ้องกันว่าภาษาที่มีลักษณะเฉพาะของเรานั้น ค่อย ๆ วิวัฒน์ขึ้นเพื่อใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโลก ภาษาของเราวิวัฒน์ขึ้นเพื่อใช้ในการซุบซิบนินทา (a way of gossiping) ตามทฤษฎีนี้ โฮโม เซเปียนส์ จึงมีลักษณะพื้นฐานเป็นสัตว์สังคม (Social animal) การร่วมมือกันทางสังคมเป็นกุญแจสำคัญของการอยู่รอดและการดำรงเผ่าพันธุ์ของพวกเรา.
- ข้อมูลทั้งหมดที่แต่ละคนต้องรู้และจดจำเพื่อติดตามความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาของสมาชิกแม้จะเพียงไม่กี่สิบคนนั้นก็ยังถือว่ามากมายมหาศาล (ในกลุ่มจำนวน 50 คน แต่ละคนสามารถมีความสัมพันธ์กับคนอื่นแบบตัวต่อตัวได้ถึง 1,225 แบบ และมีความสัมพันธ์เชิงสังคมที่ซับซ้อนขึ้นไปอีกได้อย่างมากมายนับไม่ถ้วน)
- ทฤษฎีการซุบซิบนินทาอาจฟังเหมือนเรื่องตลก แต่การศึกษาวิจัยจำนวนมากสนับสนุนทฤษฎีนี้ อาจมีเรื่องเล่าเป็นนิทาน
- แต่นิทานก็ไม่ได้แค่เพียงทำให้เราสามารถจินตนาการถึงสิ่งต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังช่วยสั่งสมเรื่องราวที่จินตนาการนั้นเอาไว้ด้วย เราสามารถทักทอเรื่องราวของเทพนิยาย อย่างเรื่องราวการสร้างโลกของพระเจ้า นิทานก่อนนอนของชาวอะบอริจินส์ในออสเตรเลีย และตำนานวีรบุรุษชาตินิยมของรัฐสมัยใหม่ เรื่องราวเหล่านี้ได้มอบความสามารถด้านความร่วมมือที่ยึดหยุ่นในกลุ่มใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อนแก่พวกเซเปียนส์.
- มดและผึ้งจำนวนมาก สามารถทำงานร่วมกันได้ แต่พวกมันทำไปตามหน้าที่แบบทื่อ ๆ ร่วมกันกับเหล่าญาติในฝูงเท่านั้น หมาป่าและชิมแปนซีร่วมมือกันอย่างยืดหยุ่นกว่ามาก แต่พวกมันร่วมมือกันในกลุ่มเล็กที่รู้จักใกล้ชิดกันเป็นอย่างดี.
- แต่เซเปียนส์ สามารถร่วมมือกันด้วยวิถีที่ยืดหยุ่นมากที่สุดกับสมาชิกแปลกหน้าจำนวนนับไม่ถ้วน นี่เองอะิบายว่าทำไมเซเปียนส์ ถึงครองโลกได้ ขณะที่มดกินซากสิ่งที่เหลือจากเรา ชิมแปนซีถูกขังในกรงของสวนสัตว์และห้องทดลอง.
ตำนานแห่งเปอโยต์ (The Legend of Peugeot)
- ฝูงลิงก็คล้าย ๆ กับมนุษย์ มีการจัดโครงสร้างทางสังคม เช่น การยอมรับจ่าฝูง จ่าฝูงต้องให้สมาชิกกลุ่มสามัคคีกันไว้ สมาชิกต้องก้มหัวให้แสดงการยอมรับจ่าฝูง หากจ่าฝูงทำเสียงฮึดฮัด ไม่ต่างอะไรกับที่มนุษย์ต้องน้อมก้มให้พระราชา หากชิมแปนซีสองตัวต่อสู้กัน จ่าฝูงต้องเขาไปขวางและหยุดความรุนแรงนั้น หากจ่าฝูงไร้ความเมตตามันจะครอบครองอาหารไว้ตัวเดียว และห้ามตัวผู้อื่น ๆ ผสมพันธุ์ตัวเมียในฝูง
- หากมีการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งจ่าฝูง ต่างฝ่ายต่างจะรวบรวมพรรคพวกทั้งตัวผู้และตัวเมีย สร้างความผูกพันภายในฝูงด้วยการโอบกอด จูบกัน สัมผัส ลูบไล้ ไม่ต่างอะไรกับนักการเมืองในช่วงหาเสียง
- จ่าฝูงที่ได้ตำแหน่งไม่เพราะความแข็งแกร่งของร่างกาย แต่เพราะสามารถนำกลุ่มใหญ่ให้สมานสามัคคี โดยทั่วไปฝูงลิงชิมแปนซีจะมีสมาชิกในฝูงราว 20-50 ตัว นักสัตววิทยาเคยพบว่ามีฝูงลิงมากกว่า 100 ต้ว และมักจะไม่ให้ความร่วมมือ และมีแนวโน้มว่าจะแข่งขันกันเรื่องเขตแดนและอาหาร เคยถึงกับมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเอง.
- จากการศึกษา มนุษย์ช่วงเริ่มการปฏิวัติการรับรู้ การซุบซิบนินทาช่วยให้ โฮโม เซเปียนส์ สร้างกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นและมั่นคง การซุบซิบมีขีดจำกัด "ตามธรรมชาติ" สูงสุดประมาณ 150 คน หากมากกว่านี้ การซุบซิบนินทาจะไม่เมามันได้อีกต่อไป.
- เปอโยต์เอสเอ (Peugeot SA: ชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการ) มีสัญรูป (icon) ที่ดูคล้ายมนุษย์สิงโตสตาเดล (Stadel lion-man) มีการผลิตจำหน่ายรถยนต์ รถบรรทุก มอเตอร์ไซต์ จากปารีสถึงซีดนีย์ เริ่มจากครอบครัวเล็ก ๆ ปัจจุบันมีพนักงานร่วม 200,000 คนทั่วโลก พนักงานซึ่งล้วนแปลกหน้าต่อกันทั้งสิ้น แต่ก็ร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง สิ่งที่ทำให้เปอร์โยต์อยู่ยงคงกระพัน (ยอดขายอาจตกต่ำ มีการเลย์ออฟ โละสินค้าเดิม เพิ่มทุนใหม่ เปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นการลงทุน) แต่เปอร์โยต์ได้สร้างสรรค์ขึ้นจากจินตนาการร่วมกัน "เรื่องเล่าที่ถูกต้องตามกฎหมาย" มันอยู่ในฐานะนิติบุคคล เปอร์โยต์ถูกยึดโยงด้วยกฎหมายของประเทศต่าง ๆ
- แนวคิดเบื้องหลังของการเกิดบริษัททำนองนี้คือ "การเชื่อในเรื่องเล่าของมนุษย์" ทำให้อยู่ร่วมกัน นี่คือสิ่งประดิษฐ์อันแยบยลของมนุษยชาติ
- การมีบริษัทจำกัด เป็นเล่าถึงการมีตัวตนที่เป็นอิสระจากเจ้าของ ผู้ที่ลงทุน หรือผู้ที่ดูแล ไม่กี่ร้อยปีบริษัทจำกัด หรือนิติบุคคลนี้ กลายเป็นผู้เล่นหลักในสนามเศรษฐกิจ และเราคุ้นเคยกับมันเสียจนกระทั่งเราสืมไปว่าบริษัทพวกนี้มีอยู่ก้แต่เพียงในจินตนาการของเราเท่านั้น
- บริษัทจำกัดหรือบรรษัท (Corporate) มาจากคำว่า "คอร์ปัส" (Corpus) ที่แปลว่า "ร่างกาย - Body" ในภาษาละติน
ทางเบี่ยงจีโนม (Bypassing the Genome)
- โฮโมเซเปียนส์ สามารถทบทวนแก้ไขพฤติกรรมอย่างรวดเร็ว เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป เรื่องนี้ช่วยเปิดทางให้เกิดวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม (cultural evolution) อย่างรวดเร็ว ผ่านทางเบี่ยงวิวัฒนาการพันธุกรรม (genetic evolution) ไม่นานนับจากนั้น โฮโมเซเปียนส์ จึงมีความสามารถในการร่วมมือกันเหนือกว่ามนุษย์สปีชีส์อื่นหรือสัตว์อื่น ๆ.
- การเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างสำคัญ การประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการตั้งถิ่นฐานของสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นล้วนเป็นผลมาจากมาจากการผ่าเหล่าทางพันธุกรรมและความกดดันทางสภาพแวดล้อมมากกว่าที่จะเป็นผลมาจากความคิดริเริ่มทางวัฒนธรรม
- นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องใช้เวลากว่าสองหมื่นปีจึงผ่านขั้นตอนนี้ได้
- การวิวาทกันตัวต่อตัว นีแอนเอร์ธัลส์ อาจจะเอาชนะเซเปียนส์ได้ แต่หากมีความขัดแย้งกับคนเป็นร้อย ๆ คน นีแอนเดอร์ธัลส์ก็ไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย นีแอนเดอร์ธัลส์ไม่สามารถแต่งเรื่องราว แก้ไขเรื่องราววิญญาณศักดิ์สิทธิประจำเผ่า ขาดการร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพในสมาชิกหมู่มาก ขาดการปรับพฤติกรรมทางสังคมให้เข้ากับความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้
ประวัติศาสตร์และชีววิทยา (History and Biology)
- ความหลากหลายอันมหาศาลของความจริงตามจินตนาการที่เซเปียนส์ประดิษฐ์ขึ้น และผลอันเนื่องมาจากความหลากหลายของแบบแผนทางพฤติกรรม คือองค์ประกอบหลักของสิ่งที่เรียกว่า “วัฒนธรรม”.
- เมื่อวัฒนธรรมปรากฏขึ้นก็ไม่เคยหยุดเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเลย การเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้นี้เองคือสิ่งที่เราเรียกว่า “ประวัติศาสตร์”.
- การอาศัยความเข้าใจการทำงานของยีน ฮอร์โมน และสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องเข้าใจการทำงานของความคิด จินตภาพ และความเพ้อฝัน ด้วยเช่นกัน.
- การรวมกลุ่มมากมายมหาศาลเข้าด้วยกัน ทำให้เราเป็นจ้าวแห่งการสร้างสรรค์.
หมายเหตุและคำอธิบายเพิ่มเติม
01. นักมานุษยวิทยาจัดให้มนุษย์อยู่ในหมวดหมู่ ดังนี้
|
สปีชีส์ (Species) |
Homo Sapiens |
|
สกุล (Genus) |
Homo |
|
วงศ์ (Family) |
Hominids |
|
ลำดับ (Order) |
Primates |
|
ชั้น (Class) |
Mammalia |
|
ไฟลัม (Phylum) |
Chordata |
|
อาณาจักร (Kingdom) |
Animalia |
02. มนุษย์โบราณโครมันยอง (Cro-magnon Man) เป็นมนุษย์โบราณสปีชีส์ย่อยของ โฮโม เซเปียนส์ หรือเป็น โฮโม เซเปียนส์ รุ่นแรก ๆ ตั้งชื่อตามการพบฟอสซิสกระโหลกศีรษะครั้งแรกในแถบผาหินทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส คือ Cro-Magnon rock shelter และพบในอิตาลี และสหราชอาณาจักร คาดว่ามนุษย์โบราณนี้มีอายุมาไม่น้อยกว่า 40,000 ปีมาแล้ว ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ใช้ชื่อเรียกมนุษย์โบราณนี้ใหม่ว่า "European early modern humans" แทน
ภาพมนุษย์โคร-มันยอง ที่คอมพิวเตอร์จำลองขึ้น โดยใช้กะโหลกที่นักโบราณคดีค้นพบมาคำนวณ,
ที่มา: simple.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง 9 กุมภาพันธ์ 2562.
03. จาก. ข้อมูลที่พบใน Facebook, ห้อง Histofun: ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องสนุก "วิวัฒนาการมนุษย์สกุลโฮโม"
Infographic ข้างต้น แสดงถึงวิวัฒนาการของมนุษย์ในสกุลโฮโม (Homo) ซึ่งเป็นสกุลของมนุษย์ในสายพันธุ์ปัจจุบัน โดยสกุลโฮโมจะประกอบไปด้วยสปีชีส์ (Species) ที่สำคัญหลากหลายสปีชีส์ โดยสปีชีส์ที่สำคัญที่สุดก็คือ โฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens) อันเป็นสปีชีส์ของมนุษย์ที่ครอบครองโลกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในราว 3 แสนปีก่อน
มนุษย์สกุลโฮโมได้รับการวิวัฒนาการจากมนุษย์ในสกุลออสตราโลพิเธคคัส (Australopithecus) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในราว 5 ล้านปีก่อน โดยมนุษย์ในสกุลออสตราโลพิเธคคัสที่มีความใกล้ชิดกับสกุลโฮโมมากที่สุดก็คือ ออสตราโลพิเธคคัส แอฟริกานัส (Australopithecus africanus)
มนุษย์สกุลโฮโมในกลุ่มแรก ๆ คือ โฮโม แฮบิลิส (Homo habilis) ซึ่งวิวัฒนาการต่อมาเป็น โฮโม เออร์แกสเตอร์ (Homo ergaster) หลังจากนั้นโฮโม เออร์แกสเตอร์ ได้วิวัฒนาการแยกออกมาเป็น โฮโม อิเร็กตัส (Homo erectus) และโฮโม ไฮเดลแบร์กเอนซิส (Homo Heidelbergensis) โดยกลุ่มแรกได้สูญพันธุ์ในราว 1 แสนปีก่อน ส่วนกลุ่มที่สองได้วิวัฒนาการต่อไป
โฮโม ไฮเดลแบร์กเอนซิส ได้วิวัฒนาการแยกออกมาเป็น 2 สปีชีส์สำคัญคือ โฮโม นีแอนเดอธัล (Homo neanderthalensis) และโฮโม ซาเปียนส์ ซึ่งท้ายที่สุด มนุษย์ในสกุลโฮโมก็หลงเหลืออยู่เพียงสปีชีส์เดียวคือ โฮโม ซาเปียนส์
แหล่งข้อมูล
1. https://www.nhm.ac.uk/discover/the-origin-of-our-species.html
2. https://medium.com/@Yisela/human-evolution-infographic-72be012d13a8
3. http://humanorigins.si.edu/evidence/human-fossils/species/
4. https://coolinfographics.com/blog/2014/6/12/the-evolution-of-life-poster.html