MENU
TH EN

ปักกิ่ง: เมืองหลวงทางเหนือของจักรวรรดิกลาง (จงกั๋ว)

First revision: Dec.26, 2017
Last change: Sep.08, 2020
ปักกิ่ง: เมืองหลวงทางเหนือของจักรวรรดิกลาง (จงกั๋ว)
        ผมตัดสินใจไปเที่ยวปักกิ่ง (เป่ยจิง) ชม: จัตุรัสเทียนอันเหมิน พระราชวังต้องห้ามกู้กง ศูนย์ชา กายกรรมปักกิ่ง พระราชวังฤดูร้อนอวี้เหอหยวน โรงงานไข่มุกน้ำจืด ศูนย์วิจัยทางการแพทย์แผนโบราณ กำแพงเมืองจีน (ด่านจียงกวน) ร้านหยก ตลาดรัสเซีย กับบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง รวม 4 วัน 3 คืน อาหาร: บุฟเฟ่ต์ Chekiskan มี Seafood BBQ สุกียากี้ ปูขน พร้อมเครื่องดื่ม เป็ดปักกิ่ง ไวน์แดง สุกี้มองโกล อาหารแต้จิ๋ว ระหว่างวันที่ 4-7 มกราคม 2561 ซึ่งสนนราคาก็ไม่แพงนัก ที่ไปเที่ยวก็เพราะยังไม่เคยไปเลย สามารถจัดเวลาได้ มีกำลังจะไปก็ต้องไปเลย ไม่ต้องรอ ผมคิดอย่างนั้น

        กำหนดการตามโปรแกรมทั้งหมดมีดังนี้:
วันแรก:วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม 61 สนามบินดอนเมือง - เมืองเทียนสิน
10:00 น.
  • คณะเดินทาง พร้อมกันที่ชั้น 3 ผู้โดยสารขาออก สนามบินนานาชาติดอนเมือง หน้าเคาน์เตอร์เช็คอินหมายเลข 7 สายการบิน NOKSCOOT (XW)
  • (รับเอกสารต่าง ๆ พร้อมข้อเสนอแนะขั้นตอนจากเจ้าหน้าที่) กระเป๋าทุกใบจะต้องฝากให้กับทางเจ้าหน้าที่สายการบินด้วยตัวเอง ตามนโยบายรักษาความปลอดภัยของสายการบิน 
13:20 น.
  • เดินทางสู่เมืองเทียนสิน โดยสารการบิน Nokscoot เที่ยวบินที่ XW880
  • (ค่าทัวร์นี้ ไม่รวมค่าอาหารบนเครื่อง สายการบินมีบริการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง)
18:50 น.
  • เดินทางถึงเมืองเทียนสิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าสัมภาระ
  • พบไกด์ท้องถิ่น แล้วขึ้นรถไฟใต้ดิน เดินทางสู่สถานีรถไฟเทียนสิน
  • นั่งรถไฟความเร็วสูงหัวจรวด Bullet Train เดินทางสู่ปักกิ่ง (*ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ด้วยความเร็วสูงสุด 295 กิโลเมตรต่อชั่วโมง*)
  • เดินทางถึงสถานีรถไฟปักกิ่ง: 
  • เดินทางขึ้นรถโค้ชปรับอากาศเข้าสู่ที่พัก  
20:00 น.
  • เข้าที่พัก Holiday Inn Express (4 ดาว) หรือระดับใกล้เคียง หาอาหารรับประทานกันเองตามอัธยาศัย
 
ผมจัดแพ็คกระเป๋าแต่งตัวครบเครื่องบริบูรณ์ แล้วนั่งแท็กซี่จากบ้านมาสนามบินดอนเมือง ถึงเช้าหน่อยก่อนเวลานัดหมายราวสองชั่วโมง กดเอทีเอ็มแลกสตังค์บาทไทยเป็นเงินหยวนจีนเรียบร้อย
นั่งรอและหลับไปงีบหนึ่ง ได้เวลาตามนัดของกรุ๊ปทัวร์ I Love China ผมมายังจุดนัดที่เคาน์เตอร์เบอร์ 5 ชั้น 3 อาคาร 1 ผมมาคนที่ 5 ก็เข้าคิวเลย สักครู่ก็มีผู้โดยสารมาต่อคิวกันเนื่องแน่น

ขณะที่ Check-in ขอ Boarding Pass ของสายการบิน NOKAIR Nokscoot ก็มันส์ส์ส์ส์แล้วพะยะคะ ด้วยมีผู้โดยสารราวห้าร้อยกว่าท่าน เป็นคนในทริปนี้ 25 ท่าน เสียงเจ๊าะแจ๊ะตลอดระหว่างที่รอ Check-in มีอีกแถวหนึ่งสำหรับวีไอพีไม่กี่ท่าน พอเพื่อน ๆ คนจีนที่เหลือเห็นหางแถววีไอพีสั้น ก็ออกรูกันเข้ามาต่อแถว อลหม่านกันราวครึ่งชั่วโมงกว่าจะเข้าระบบเช็ค-อินได้ปกติ

ผมผ่านตม. มาหาอะไรทานข้างในเป็นพวกไก่ย่างพร้อมข้าวสวย น้ำเปล่ารองท้องช่วงสิบเอ็ดโมงเศษ พร้อมซื้อข้าวกล่องข้าวผัดหมูใส่ไข่และน้ำเปล่าเป็นเสบียงไว้ เพราะไกด์ไทย (คุณตั้ม) แนะนำไว้ เพราะช่วงต่อจากรถไฟใต้ดินเทียนสิน (Tianjin) ไปปักกิ่งตอนนั้นจะรอนานและค่ำ ควรซื้ออะไรสำรองไว้ทานด้วย
 
ด้วยสายการบิน Nok Scoot เที่ยวบินที่ XW 880 จากท่าอากาศยานดอนเมืองไปสนามบินเทียนสินนั้น เครื่องบินออกช้าไปหน่อย ทยานออกจากสนามบินราว 13:13 น. ผมมานั่งแถวด้านหน้าอยู่หลังชั้นบิสซิเนสคลาส มีเก้าอี้ว่างนั่งสบาย ผมหลับไปงีบหนึ่ง แล้วชะโงกมองไปทางหน้าต่าง ๆ เครื่องบินเลยมาถึงเหนือมณฑลยูนนาน บินเหนือเมฆขาวโพลนไปหมด สังเกตดูมีเครื่องบินเป็นจุดดำ ๆ ห่างออกไปบินสวนมาเป็นระยะ เหมือนกันน่านฟ้าแถวนี้ เป็นเส้นทางการบินไปประเทศจีน
      

ท้องฟ้าดูกว้างไกล เมฆเต็มไปทั่ว ดูเวิ้งว้าง พอจะจับจินตนาการสอดคล้องกับผู้ประพันธ์อิงประวัติศาสตร์ศาสนาได้บ้าง ช่วงที่เห้งเจีย (หนึ่งในศิษยานุศิษย์ของพระถังซำจั๋งที่กำลังเดินทางผจญภัยไปอาราธนาพระไตรปิฎกที่ชมพูทวีป) เหาะเหินเดินอากาศ พิศดารต่อสู้กับเหล่ามารที่คอยดักกินเนื้อพระถังซำจั๋ง ได้ตามสมควร
 
สักครู่หนึ่งก็มีผู้โดยสาร (เข้าใจว่าอึดอัดจากการนั่งแถวด้านหลังของลำเรือ) มานั่งและนอนในแถวที่ผมนั่งอยู่กันหลายท่าน เพลินเลย สักพักโฮสเตสก็สะกิดแล้วเชิญให้กลับไปนั่งที่เดิม ก็ชมโฮสเตสอยู่ในใจที่เข้มแข็ง ใจเย็นรับมือกับผู้โดยสารชาวจีนได้เป็นอย่างดี
 
ราว ๆ สี่โมงเย็นเศษตามเวลาในประเทศไทย สังเกตเห็นผู้โดยสารเริ่มขยับใส่เส้นหนาวกันแล้ว เครื่องบินใช้เวลาเดินทางราวสี่ชั่วโมง และเวลาที่เทียนสิน ปักกิ่งจะเร็วกว่าบ้านเราหนึ่งชั่วโมง
 

เครื่องบินมาถึงสนามบินเทียนสินตอน 18:21 นาที ตามเวลาท้องถิ่น ผมชะโงกดูผ่านทางหน้าต่าง เห็นเมืองเทียนสินใหญ่กว้างขวางมาก (ภาพดูเบลอ ดูสมรรถนะของกล้องที่ต้องเร่งปรับแฟลต เมื่อถ่ายยังภาพมืด รวมทั้งเครื่องบินกำลังแล่นลง) สมแล้วกับที่เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นหนึ่งในสี่ของประเทศจีน เป็นหน้าด่านก่อนเข้าสู่เมืองหลวงทางเหนือของจักรวรรดิจีนโบราณ
 
พอออกจากเครื่องเดินผ่านงวงช้างทางเข้าสู่สนามบินเทียนสิน ก็สัมผัสอากาศเย็นทันที อุณหภูมิ -3 C ทีมทัวร์ก็มารวมตัวกัน มีสี่ครอบครัว ผมมาเดี่ยว รวมทั้งสิ้น ยี่สิบสี่ท่าน มีทุกวัยทั้งชายหญิง ไกด์ไทยคุณตั้ม ก็แนะนำคณะทัวร์ถึงขั้นตอนการผ่าน ตม.จีน การรับกระเป๋าที่สายพาน ทุกอย่างดำเนินไปเรียบร้อย ระหว่างทางมีการเอ็กซ์เรย์สแกนกระเป๋าเป็นระยะ เพื่อความปลอดภัย จากเดินยาว บางช่วงก็มีฮีทเตอร์ บางช่วงก็สัมผัสอากาศจริง ทุกคนใส่เสื้อหนาวกันจัดเต็ม ไกด์ตั้ม แนะนำให้ใส่เยอะ ๆ ถุงมือผ้าพันคอ แจ็คเก็ตมีเท่าไหรใส่ให้อุ่นไว้ก่อน
 
คณะทัวร์เรามาพบไกด์ท้องถิ่นชาวจีนจากมณฑลยูนนาน (สิบสองปันนา) ชื่อ “อาเฟิง” ถือธงไทยมารับเรา พร้อมถ่ายรูปหมู่กันไว้ก่อนเป็นที่ระลึก
     

เริ่มต้นจากนั่งรถไฟใต้ดินจากสนามบินเทียนสินมาสถานีรถไฟความเร็วสูง ราวยี่สิบกว่านาที รถไฟดูสะอาดสะอ้าน ปลอดภัย พอคณะมาถึงสถานีรถไฟความเร็วสูงจากเทียนสินไปปักกิ่ง ไกด์อาเฟิงก็ปล่อยคณะเราหาอะไรทานกันก่อน สักสี่สิบนาที ช่วงนี้ก็ราว ๆ ทุ่มหนึ่งแล้ว มีร้านรวงให้เลือกทานเยอะ อาหารจีน เคเอฟซี อาหารญี่ปุ่นจานเดียว ผมเข้ามาทานร้านอาหารญี่ปุ่น Yoshinoda เพราะคุ้นเคย (เป็นอาหารพวกหมูหรือเนื้อต้มซีอิ้วคลุกกับหัวหอมใหญ่ราดข้าว ทานกับมิซโซ และเครื่องเคียง) ผมเลือกเซ็ตเมนู (บริกรพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ต้องสื่อด้วยรูปภาพแล้วชี้ ๆ เอา) ผมทานอย่างเอร็ดอร่อย พอได้เวลาคณะก็รวมตัวกันเข้าเครื่องสแกนอีกครั้ง แล้วเดินทางไปยังสถานีรถไฟความเร็วสูงที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก อากาศเย็น(จากสภาพอากาศจริง สลับกับอากาศภายในสถานีที่มีฮีทเตอร์) เป็นสถานีรถไฟเซี่ยงไฮ้ขนาดใหญ่ ภายในอาคารอุ่นด้วยเครื่องฮีทเตอร์ที่วางกระจายตามเสาต่าง ๆ สักพักคณะของเราก็เข้าคิวแรกเพื่อขึ้นรถไฟความเร็วสูงตรงไปยังปักกิ่ง เจ้าหน้าที่สถานีรถไฟหญิงสองสาวดูน่ารักมาก เครื่องแบบของเธอเป็นเสื้อกันหนาวพร้อมหมวกบาเร็ทสีแดงสด
     
ภาพจากซ้ายไปขวา: ภายในสถานีรถไฟเซียงไฮ้ และรถไฟความเร็วสูง (Bullet Train)

     รถไฟออกตรงเวลา ค่อยเพิ่มสปีด เท่าที่สังเกตจากเกจ์ที่แสดงในโบกี้ เร่งสูงสุดได้ถึง 275 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ซึ่งกำลังการขับเคลื่อนสามารถวิ่งได้เร็วกว่านี้) รวมใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง เริ่มดึกขึ้นราวสี่ทุ่ม อากาศก็เย็น คณะของเราเมื่อถึงสถานีรถไฟความเร็วสูงปักกิ่งแล้ว ก็ต้องลากกระเป๋าร่วมเกือบกิโลฯ ผ่าลมหนาว อากาศเย็นมากราว ๆ -3 องศาเซลเซียส มายังจุดที่รถโค้ชจอด 
     จากนั้นรถโค้ชก็ใช้เวลาราวยี่สิบนาทีมายังโรงแรมที่พัก Holiday Inn Express คุณตั้มประสานกับอาเฟิงได้แจกกุญแจให้ที่พักทุกคน เมื่อทุกคนได้เข้าห้องพักเรียบร้อยแล้ว ก็จะโทรเช็คความเรียบร้อยของห้องพักแต่ละห้อง ตามมาตรฐานไกด์ที่ดี
          
ภาพจากซ้ายไปขวา: อาเฟิงไกด์ท้องถิ่น กำลังเตรียมแจกการ์ดเข้าห้องพัก,
ภาพที่สอง-สาม ภายในห้องพักของโรงแรม Holiday Inn Express

      ผมอาบน้ำอาบท่าพักผ่อน ในห้องพักมีฮีทเตอร์และแอร์ที่ปรับอุณหภูมิให้คุ้น ๆ กับบ้านเราคือ 25 องศาฯ ได้ ขณะที่ข้างนอกโรงแรมนั้นหนาวเย็นราว ๆ ลบ 4-5 องศาฯ จากนั้นก็ผล่อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน สำหรับคืนแรกที่กรุงปักกิ่ง
 
วันที่สอง: ศุกร์ที่ 5 มกราคม 61 จัตุรัสเทียนอันเหมิน-พระราชวังกู้กง-พระราชวังฤดูร้อน-กายกรรมปักกิ่ง
เช้า
  • รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
  • เดินทางสู่ศูนย์รวมชาวจีน จัตุรัสเทียนอันเหมิน จัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลก
  • อนุสาวรีย์วีรชน
  • ศาลาประชาคม
  • หอระลึกประธานเหมาเจ๋อตุง
  • นครโบราณ หรือ พระราชวังต้องห้ามกู้กง
  • ตำหนักชั้นในของจักรพรรดิ  (ผ่านชมจากด้านนอกของโรงละครแห่งชาติปักกิ่งหรือตึกไข่)
เที่ยง
  • รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร เมนูพิเศษเป็ดปักกิ่ง
บ่าย
  • ชมพระราชวังฤดูร้อนอวี้เหอหยวน อุทยานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน
  • โรงงานไข่มุกน้ำจืด
  • ศูนย์วิจัยทางการแพทย์แผนโบราณ
ค่ำ
  • รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคาร เมนูพิเศษเป็ดปักกิ่ง ไวน์แดง
 
  • ชมกายกรรมปักกิ่ง
 
  • เข้าสู่ที่พัก Holiday Inn Express Hotel (4ดาว) หรือระดับใกล้เคียง
 
     ผมตื่นแต่เช้ามืด ตามปกติ ทำธุระส่วนตัว เสิร์ชอินเทอร์เน็ต ดูทีวี ทานกาแฟในห้อง พอราว ๆ 6 โมงเช้าก็แต่งกายลำลองมายังชั้นสอง เพื่อรับประทานอาหารเช้า ผมลงมาทานคนแรก ๆ เมนูอาหารใช้ได้สะอาด สด ร้อน มีสลัดผัก น้ำเต้าหู้ร้อน ผัดผักต่าง ๆ ไส้กรอกเนื้อ ไก่ ไข่ต้ม ออมเล็ท ข้าวสวย โจ้ก หมั่นโถว น้ำฟักทอง ชา-กาแฟ ฯ ผมเอาน้ำพริกเผา น้ำพริกนรกทั้งแม่ประนอม และพันท้ายนรสิงห์มาด้วย กล้อมแกล้มไป อร่อยรอดตายไปอีกมื้อ.
 
          

          
     จากนั้นก็แต่งตัว เตรียมเที่ยววันที่สอง ใส่เสื้อผ้าหลายชั้นกันหนาวเต็มที่ เดินมาด้านล่างโรงแรมรอเพื่อน ๆ คณะทัวร์ รถโค้ชออกตรงเวลาเข้าไปใจกลางกรุงปักกิ่ง พร้อม ๆ กันนั้นก็ได้เก็บภาพถ่ายไปในตัว รถติดเล็กน้อย ผมเก็บภาพข้างทาง เป็นอาคารเก่าโบราณที่อนุรักษ์ไว้อย่างดี ผนังเป็นอิฐ มีช่องหน้าต่างน้อยและเล็ก กระเบื้องดินเผา สอดคล้องกับภูมิอากาศที่แห้ง ๆ เย็น ๆ 
 
          
ภาพจากซ้ายไปขวา: ผมกับตึกทิศใต้ของจตุรัสเทียนอันเหมิน เป็นตึกอนุสรณ์สถานประธานเหมา (เหมาจู่สีจี้เนียนเปย)-ทิศเหนือ,
เสาธงชาติและเทียนอันเหมิน, และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติจีน-ทิศตะวันออก

      รถโค้ชจอดตรงมุมถนน ให้คณะเราเดินตามไกด์เข้าสู่จัตุรัสเทียนอันเหมิน (ประตูสันติภาพแห่งสวรรค์)01 อากาศเย็นจริง ๆ เหมือนอยู่ในช่องฟรีซตู้เย็นยังไงยังงั้น มาถ่ายภาพที่จัตุรัส เสาธงชาติจีนขนาดใหญ่ (ธงดาวแดงห้าดวง) มหาศาลาประชาคม มีนักท่องเที่ยวเดินไปมาถ่ายภาพประปราย ถือว่านักท่องเที่ยวไม่มากนัก (ได้คุยกับไกด์เฟิง ก็ทราบว่า เพราะนี่พึงจะพ้นปีใหม่มา นักท่องเที่ยวได้มาเที่ยวกันเยอะแล้ว และมีคนจีนจำนวนหนึ่งกลับภูมิลำเนา ด้วยเพราะใกล้จะตรุษจีน
 
          
ภาพจากซ้ายไปขวา: ตึกรัฐสภาประชาชน (เหรินเหมินต้าฮุ่ยถาง)-ทิศตะวันตก ละเสาหินโอบีลิสก์สูง 38 เมตร
ทำขึ้นจากหินแกรนิตนำมาตั้งขึ้นในปี 1958 รอบ ๆ อนุสาวรีย์หรือเสาหินมีภาพสลักเรื่องราวการปฏิวัติจีน
และมีลายมือประธานเหมาสลักเอาไว้ด้วย, อนุสาวรีย์วีรชน (พิพิธภัณฑ์การปฏิวัติแห่งชาติอยู่ด้านหลัง)
และเทียนอันเหมิน (ประตูอันเหมิน)
 
   ผมเดินถ่ายรูปบ้าง ช่วยเพื่อน ๆ ถ่ายบ้าง ถ่ายรูปหมู่บ้าง เซลฟี่บ้างไปรอบ ๆ บริเวณจตุรัสเทียนอันเหมิน สังเกตเห็นมีทหารยืนตรงนิ่งใกล้ ๆ เสาธง ซึ่งจะต้องมีการเปลี่ยนกะกันทุก ๆ ชั่วโมง มิฉะนั้นหนาวตายแน่ ๆ จากนั้นคณะก็เดินลอดอุโมงค์ใต้ถนนฉางอานเพื่อมาชมพระราชวังต้องห้าม ในอุโมงค์ก็มีสถานีรถไฟใต้ดินหมายเลขหนึ่งของกรุงปักกิ่งดังภาพข้างล่าง(ภาพกลาง) 
          
ภาพจากซ้ายไปขวา: เสาธงชาตีจีน (สีแดงพร้อมดาวห้าดวง) สถานที่รถไฟใต้ดินหมายเลข 1 และ
เสาหิน“หัวเปี่ยว” (Huabiao) หน้าประตูทางเข้าพระราชวังต้องห้าม

      จากนั้นคณะของเราก็เดินเข้าชมพระราชวังต้องห้าม02 (จื่อจิ้นเฉิง/พระราชวังหลวง หรือ Forbidden City) มีทหารยืนเฝ้าอยู่สองสามนาย ทราบจากไกด์เฟิงว่า ทหารจีนนั้น คัดมาจากชายหนุ่ม ทั่วประเทศ สูงใหญ่ บุคลิกดี ประวัติดี และการศึกษาต้องดีด้วย ประตูแรกที่เข้าไปชื่อ ประตูเทียนอันเหมิน เดินเข้าไป ก็จะเป็นแนวยาวมีต้นสนกระจายอยู่ ราว ๆ ร้อยกว่าเมตรก็มาถึงประตูอู่เหมิน (Meridian Gate) มีห้องขายตั๋วอยู่ ไกด์ก็ได้จัดซื้อแล้วแจกให้แก่คณะของเรา แล้วเดินตรงผ่านประตูเข้าไปยังประตูไท่เหอเหมิน (Gate of Supreme Harmony) ตรงหน้าประตูนี้ จะมีสะพานหินข้ามลำน้ำ เป็นตามคติจีน โดยทางเข้าวังจะต้องมีน้ำ เมื่อมองลงไปจะเห็นผิวน้ำบางส่วนจับตัวเป็นน้ำแข็งแล้ว

      
ภาพจากซ้ายไปขวา: หน้าประตูอู่เหมิน, ผ่านประตูไปจะมีสะพานข้ามลำน้ำ

     
ภาพจากซ้ายไปขวา: ด้านหลังประตูอู่เหมิน, ลำน้ำจะเห็นว่าบางส่วนจับตัวเป็นน้ำแข็งแล้ว


ที่มา: Facebook: ห้องประวัติศาสตร์จีน, วันที่เข้าถึง 13 พฤษภาคม 2562

     รายละเอียดการเที่ยวชมพระราชวังโบราณกู้กง ภายในหนึ่งวัน ดูได้ใน 03.

     

     
     ในทริปนี้ ผมเริ่มมีเพื่อนซี้ ชื่อ นพรุธ เขาเป็นทหารเรืออยู่แถว ๆ กองทัพเรือ พระราชวังเดิม ฝั่งธนบุรี มาเที่ยวกันกับแฟน คุยกันถูกอัธยาศัยดี 
     ในพระราชวังโบราณใหญ่โตกว้างขวางมาก แต่ผมไม่ค่อยสนุกเท่าที่ควร เพราะอากาศเย็นเหลือเกิน บั่นทอนความสนใจในรายละเอียดต่าง ๆ ไปเยอะ แต่ก็โชคดีอย่างหนึ่งเพราะนักท่องเที่ยวไม่ค่อยมากนัก เท่าที่ผมสังเกต ภายในพระราชวังมีแต่ตัวอาคาร ลวดลาย อ่างโลหะ สิงห์ มังกรโลหะที่ติดยึดกับปูนและพื้น ไม่ค่อยมีเฟอร์นิเจอร์โบราณนัก เข้าใจว่าคงนำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ตรงจุดอื่น และอีกประการหนึ่งคือ เจียงไคเช็คและทหารจีนคณะชาติ ขนไปเก็บไว้ที่ไต้หวันก็ไม่น้อย รวมทั้งวัตถุโบราณบางอย่างชาติตะวันตก ก็รุมขนปล้นไปเยอะ นำไปแสดงในพิพิธภัณฑ์และบ้านคฤหาสน์ศักดินาชั้นสูงในยุโรปอีกก็ไม่น้อย.
         
จากซ้ายไปขวา: ผมที่หน้าพระราชวัง (อากาศเย็นจับใจ), และนาฬิกาแดด
 
         
จากซ้ายไปขวา: อ่างบรรจุน้ำ ต้องสุมไฟไว้ไม่จับตัวเป็นน้ำแข็งในหน้าหนาว เตรียมไว้ยามฉุกเฉิน เพื่อดับอัคคีภัย, และหลังคาพระราชวังกู้กงศิลปะจีน
 
         
จากซ้ายไปขวา: ภายในห้องประทับฮ่องเต้ ที่ทรงสอบจอหงวนด้วยพระองค์เอง อันเป็นขั้นตอนสุดท้าย ในการสอบคัดเลือกการเป็นขุนนางจีน (บ้างก็ว่า ไม่ได้เป็นพระที่นั่งที่ให้ฮ่องเต้ทรงสอบจอหงวน แต่ให้จอหงวนคนใหม่เข้าเฝ้าพระจักรพรรดิ), และด้านหลังพระราชวังกู้กง ก่อนที่จะต่อไปยังอุทยานอวี้ฮัว (สวนหินประดับและสวนสน)
 
         
จากซ้ายไปขวา: บรรยายบริเวณภายในอุทยานอวี้ฮัว (สวนหินประดับและสวนสน), และโลหะหล่อเป็นรูปช้าง การจัดวางเท้าหน้าผิดไปจากช้างจริง
 
         
จากซ้ายไปขวา: ถ่ายภาพไปด้านหลังพระราชวังเป็นภูเขาสูง เป็นไปตามภูมิทัศน์แบบจีน, และประตูหลังของพระราชวัง (ประตูเสินอู่)
 
         
จากซ้ายไปขวา: ไกด์อาเฟิง กำลังถือธงชาติรอเพื่อนในทริปมารวมตัวกัน, คูน้ำด้านหลัง ซึ่งเป็นคูล้อมรอบพระราชวัง จับตัวเป็นน้ำแข็ง
 
         
มารับประทานอาหารเที่ยงกันที่ภัตตาคาร เป็นเมนูแบบจีน มีผัดผัก ไข่เจียว ข้าวสวย น้ำซุป ปลาทะเลนึ่งซีอิ้วและอื่น ๆ
 
         
จากซ้ายไปขวา: แวะร้านขายชาจีน มีการสาธิต จำแนกประเภทและคุณสมบัติของชาต่าง ๆ ผมซื้อชากลับมาด้วยเป็นเซ็ตกลาง ๆ , และแวะบริษัทขายเครื่องนอนที่ทำด้วยยางพารา (เรียนตรง ๆ ไม่เวิร์ค ยางพาราบ้านเรามีเยอะแยะ ไม่มีใครในทริปสนใจอุดหนุนเลย)
 
         
ตลาดรัสเซีย (ที่เรียกว่ารัสเซีย เพราะ ชาวต่างชาติโดยเฉพาะรัสเซีย ยุโรปตะวันออก มักจะมาแวะซื้อของกันที่นี่ เพราะราคาไม่แพงนัก คุณภาพใช้ได้) ข้าวของต่าง ๆ เหมือนห้างขนาดกลาง (แถวประตูน้ำ ใบหยก) ในเมืองไทยบ้านเรา ผมซื้อบ้างเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะเดินชมและแวะพักทานกาแฟ Starbuck และคุยกับเพื่อน ๆ ในทริป.
 
         
ตอนค่ำก็มาแวะชมกายกรรมปักกิ่ง ใช้ได้ เพลินดี
 
         
กายกรรมปักกิ่งที่เป็นไฮไลต์คือ การขับมอเตอร์ไวต์สาม-สี่คัน ฉวัดเฉวียนภายในกรงเหล็กทรงกลมหวาดเสียวจริง ๆ
 
         
มื้อเย็นก็เข้าภัตตาคาร ทานสุกี้เนื้อแกะกัน รสชาติใช้ได้ ซึ่งน้ำจิ้มเครื่องปรุงยังไม่สุด ๆ เหมือนบ้านเรา ก่อนกลับโรงแรมที่พัก พักผ่อนเพื่อเอาแรงไว้ลุยต่อไปในวันพรุ่งนี้
 
 
วันที่สาม: เสาร์ที่ 6 มกราคม 61 กำแพงเมืองจีน (ด่านจียงกวน)-Snow World-ผ่านชมสนามกีฬาโอลิมปิก
เช้า
  • รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
  • เดินทางไป กำแพงเมืองจีน
  • ชมหยกจีน
เที่ยง
  • รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร เมนูสุกี้มองโกล
บ่าย
  • Beijing Snow World
ค่ำ
  • บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร เมนูพิเศษ บุฟเฟ่ต์ Chenkiskan BBQ ซีฟูดส์
 
  • เข้าสู่ที่พัก Holiday Inn Express Hotel (4ดาว) หรือระดับใกล้เคียง

     ผมตื่นแต่เช้ามืด ทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยก็อาบน้ำอาบท่าแต่งตัวใส่เสื้อหนาวหลายชั้น ตามคำแนะนำของไกด์ตั้ม แล้วลงมาทานอาหารเช้าที่ Coffee Shop ชั้น 2 เมนูอาหารเหมือนเมื่อวาน มีน้ำเต้าหู้ร้อน ๆ ให้ทานด้วย ผมทานเต็มที่แล้ว ก็ออกเดินรับลมเย็น ๆ หน้าโรงแรม
     สมาชิกของทริปพร้อม ล้อหมุนตอนแปดโมงเช้า เช้านี้รถบัสผ่านตัวเมืองสมัยใหม่ของปักกิ่ง ตึกรามใหญ่โต กว้างขวาง จัดระเบียบไว้ดี  ไกด์อาเฟิงบรรยายไปเรื่อย ๆ ระหว่างอยู่บนรถโค้ช
         
 
         

      และแล้วก็มาถึงพระราชวังฤดูร้อนอวี้เหอหยวน04. ซึ่งเป็นอุทยานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน

 
วันที่สี่: อาทิตย์ที่ 7 มกราคม 61 ตลาดรัสเซีย - สนามบินเทียนสิน - สนามบินดอนเมือง
เช้า
  • รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
  • เดินทางสู่ประตูชัย
  • ตลาดรัสเซีย
เที่ยง
  • บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร (อาหารจีน)
บ่าย
  • เดินทางสู่เมืองเทียนสิน
19:50-23:55 น.
  • เดินทางกลับจากสนามบินเทียนสิน สู่กรุงเทพฯ โดยสายการบิน Nok Scoot เที่ยวบินที่ XW879 โดยสวัสดิภาพ


หมายเหตุและคำอธิบาย
01.  จัตุรัสเทียนอันเหมิน (เทียนอันเหมินก๋วงฉ่าง) ตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่งประเทศจีน มีพื้นที่ทั้งหมด 440,000 ตารางเมตร ความหมายของเทียนอันเหมิน คำว่า ‘เทียน’ แปลว่า ฟ้า ‘อัน’ แปลว่า ผาสุก ‘เหมิน’ แปลว่า ประตู   จัตุรัสเทียนอันเหมินมีความสำคัญในวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่เป็นสัญลักษณ์เพราะว่าจัตุรัสเทียนอันเหมินคือที่ตั้งของเหตุการณ์สำคัญมากมายในประวัติศาสตร์จีน จัตุรัสเทียนอันเหมินเป็นจัตุรัสที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก 
       ประตูเทียนอัน หรือเทียนอันเหมิน (เพียงแต่ข้ามถนนฉางอานไป) ก็จะเห็นประตูเทียนอัน มีเสา “หัวเปี่ยว” (Huabiao) เสาหินอ่อนสลักลวดลายมังกรบนก้อนเมฆ ในสมัยก่อนใช้เป็นหลักเขตตั้งอยู่หน้าประตูทั้ง 2 ข้าง ประตูนี้เดิมทีเป็นประตูหน้าของพระราชวังสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1417 มีชื่อเดิมว่า "เฉิงเทียนเหมิน" หลังซ่อมแซมใหม่ในสมัยจักรพรรดิซุ่นจื้อแห่งราชวงศ์ชิง (Qing Dynasty) ในปี ค.ศ. 1651 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเทียนอานเหมิน จากประตูนี้ เราสามารถเดินทะลุเข้าวังโบราณได้ ลักษณะของประตูวังเก่าแห่งนี้ เป็นกำแพงใหญ่ ชั้นบนสร้างเป็นเก๋งหลังคาสีเหลือง มีเสากลมสีแดง 10 ต้น เพื่อให้เกิดเป็นช่วงระหว่างเสา 9 ช่อง ตามตัวเลขทรงโปรดของจักรพรรดิ ชั้นล่างเป็นช่องประตูทรงเกือกม้า 5 ช่อง มีภาพเหมือนสีน้ำมันขนาดใหญ่ของประธานเหมา เจ๋อ ตุง ติดตั้งเหนือประตูกลางสองข้างของภาพนี้ มีคำขวัญเขียนว่า "ประชาชนจีนจงเจริญ" และ "ประชากรโลกจงเจริญ" เป็นคำพูดของ ท่านเหมา เมื่อครั้งกล่าวคำปราศรัยบนพลับพลาเทียนอันเหมิน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ซึ่งเป็นวันสถาปนาประเทศจีนใหม่หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า "สาธารณรัฐประชาชนจีน" และได้ถือเอาวันที่ 1 ตุลาคม เป็นวันชาติตลอดมาจวบจนปัจจุบันบริเวณหน้าเทียนอันเหมิน มีสะพานหินที่แกะสลักลวดลายสวยงามเรียงขนานกัน 5 สะพานด้วยกัน มีสิงโตหินขนานใหญ่ ยืนเป็นยามรักษาประตูอีก 1 คู่ สำหรับสิงโตคู่ที่วางประดับหน้าตำหนักและอาคารบ้านเรือนทั่วไป จะมีตำแหน่งการจัดวางที่ตายตัว โดยตัวผู้จะถูกวางทางซ้าย ตัวเมียอยู่ทางด้านขวาเสมอ
         จัตุรัสเทียนอันเหมินล้อมรอบด้วยสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญ ได้แก่ หอประตูเทียนอันเหมินที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของจัตุรัส ธงแดงดาว 5 ดวงผืนใหญ่โบกสะบัดอยู่เหนือเสาธงกลางจัตุรัส อนุสาวรีย์วีรชนใจกลางจัตุรัส มหาศาลาประชาคมด้านทิศตะวันตกของจัตุรัส ตลอดจน พิพิธภัณฑ์การปฏิวัติแห่งชาติและพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชาติจีนทางฝั่งตะวันออก นอกจากนี้ทางด้านทิศใต้ยังมี หอรำลึกท่านประธานเหมาและหอประตูเจิ้งหยางเหมิน หรือเฉียนเหมิน
        ปัจจุบัน มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติมากกว่าพัน ๆ คนมาเยี่ยมชมจัตุรัสเทียนอันเหมินและอาคารสถาปัตยกรรมบริเวณจัตุรัสแห่งนี้ทุกวัน โดยเฉพาะการชมพิธีอัญเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาและลงจากยอดเสาของกองทหารในเวลาเช้าและเย็น, ที่มา: www.abroad-tour.com และ www.tripdeedee.com, วันที่สืบค้น 2 มีนาคม 2561.

02.  พระราชวังต้องห้าม (จื่อจิ้นเฉิง/พระราชวังหลวง) ซึ่งแปลตามตัวอักษรได้ว่า "เมืองต้องห้ามสีเลือดหมู" ด้วยเหตุที่ว่า ห้ามสามัญชนเข้าไปในบริเวณวังหลวงโดยเด็ดขาด และสีเลือดหมูนั้นเป็นสีอาคารและหลังคาโดยทั่วไป ตั้งอยู่ ณ ใจกลางกรุงปักกิ่งสร้างขึ้นตามบัญชาจักรพรรดิหย่งเล่อแล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1420 เคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิในราชวงศ์หมิง (ปี ค.ศ.1368-1644) และราชวงศ์ชิง (ปี ค.ศ.1644-1911) รวม 24 พระองค์ กำแพงวังสูง 9 เมตร โอบล้อมพื้นที่ 183 ไร่ เอาไว้ ภายในประกอบด้วยพระที่นั่ง ท้องพระโรง หมู่ตำหนัก ลานกว้าง อุทยานหลวง และห้องหับอีกเกือบ 10,000 ห้อง ชาวจีนเรียกพระราชวังต้องห้ามว่า พิพิธภัณฑ์พระราชวัง (กู้กงป้ออู้ก่วน) และภายในก็เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเอาสถาปัตยกรรม ศิลปวัตถุและของสะสมส่วนพระองค์ของจักรพรรดิจีนเอาไว้ 
     ประตูเข้าสู่เมืองต้องห้ามตั้งอยู่ทางทิศใต้ชื่อประตูเทียนอันเหมินซึ่งมีทางเดินถอดยาวไปสู่ประตูอู่เหมินจะมีห้องขายตั๋วอยู่ด้านข้างของประตู หลังประตูอู่เหมินเป็นเขตพระราชฐานชั้นนอก ประกอบด้วยพระที่นั่งสามองค์กับลานหินอีกหลายแห่ง จากประตูอู่เหมินจะมีทางเชื่อมถึงสะพานหินอ่อนสีขาวห้าสายทอดตรงไปสู่ประตูไท่เหอเหมิน อันเป็นทางเข้าสู่พระที่นั่งองค์แรกในเขตพระราชฐานชั้นนอกชื่อ พระที่นั่งไท่เหอเตี้ยน พระที่นั่งองค์นี้เป็นที่ประดิษฐานบัลลังก์มังกรของจักรพรรดิจีนด้วย พระที่นั่งองค์ที่สอง คือพระที่นั่งจงเหอเตี้ยน ภายในมีพระแท่นบัลลังก์เล็ก ๆ ตั้งอยู่องค์หนึ่งเป็นที่ซึ่งจักรพรรดิทรงเรียกตัวขุนนางให้เข้ามาเข้าเฝ้าถวายรายงานเรื่องต่าง ๆ พระที่นั่งองค์สุดท้ายคือพระที่นั่งเป่าเหอเตี้ยนเป็นที่สำหรับให้จอหงวนคนใหม่ที่ผ่านการสอบคัดเลือกประจำปีเข้าเฝ้าจักรพรรดิ พระที่นั่งทั้งสามนี้มีอายุนับย้อนไปถึง ค.ศ.1420 แต่ก็ผ่านการบูรณะปฏิสังขรณ์หรือแม้กระทั่งสร้างใหม่มาแล้วหลายครั้งในยุคราชวงศ์ชิง
     อาคารที่คั่นอยู่ระหว่างเขตพระราชฐานชั้นนอกกับชั้นในคือ หมู่ตำหนักตะวันออกที่ใช้จัดแสดงข้าวของต่าง ๆ มีหอนาฬิกาตั้งอยู่ในตำหนักเฟิ่งเซียนเตี้ยน (ตำหนักบูชาบรรพชน) มีนาฬิกาจัดแสดงอยู่มากมาย ส่วนใหญ่เป็นบรรณาการจากอังกฤษ อเมริกา และยุโรปในศตวรรษที่ 18
     ใกล้กันคือหออัญมณีที่ตั้งอยู่ในเขตตำหนักหนิงโซ่วกงภายในจัดแสดงสมบัติของพระราชวงศ์และฉลองพระองค์ชองฉื่อซีไท่โฮ่ว และยังมีอุทยานเขาจำลองของจักรพรรดิเฉียนหลงกับฉากเก้ามังกร (จิ๋วหลงปี้) สูง 30 เมตรที่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1773 ก็ตั้งอยู่ในบริเวณนี้ด้วย
     ส่วนเขตพระราชฐานชั้นในประกอบด้วยหมู่พระตำหนักส่วนพระองค์สามหลัง ตั้งอยู่แกนกลางของพระราชวังต้องห้ามตอนบน หมู่ตำหนักเหล่านี้เคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิและพระราชวงศ์ฝ่ายในทั้งหมดนอกจากนี้ ยังมีนางกำนัลและขันทีคอยรับใช้อยู่มากกว่า 1,000 คน พระตำหนักหลังแรกคือ พระตำหนักเฉียนชิงกง อันเป็นที่ประทับของจักรพรรดิในสมัยราชวงศ์หมิง หลังที่สองคือ พระตำหนักเจียวไท่เตี้ยน อันเป็นที่ประดิษฐานบัลลังก์ของจักรพรรดินีในยุคราชวงศ์ชิง หลังสุดท้ายคือ พระตำหนักคุนหนิงกง อันเป็นที่ประกอบพระราชพิธีอภิเษกให้กับจักรพรรดิผู่อี้เมื่อปี ค.ศ.1922 ขณะยังทรงพระเยาว์อยู่
     ใกล้ ๆ กับประตูวังด้านทิศเหนือ เป็นเขตอุทยานหลวงอวี้ฮัวหยวนอันดารดาษไปด้วยศาลาเก๋งจีน ต้นสนโบราณ และภูเขาจำลองที่สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคราชวงศ์หมิง ที่นี่เป็นที่ตั้งของตำหนักจินอันเตี้ยนอันเป็นศาลเจ้าในลัทธิเต๋า สร้างอุทิศแก่เทพเจ้าเสวียนอู่, ที่มา: www.tripdeedee.com และ th.wikipedia.org, วันที่สืบค้น 2 มีนาคม 2561.

03. การเที่ยวชมพระราชวังโบราณกู้กง ภายในหนึ่งวัน
     คำแนะนำแผนการสำหรับการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ พระราชวังโบราณกู้กง แบบใช้เวลาเต็มวัน จุดแวะชมที่ควรไปสัมผัสมี 17 จุด ตามแผนผังท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์ คือเริ่มจากจุดที่.-
          1. ประตู"อู่เหมิน" 午门 The Meridian Gate(Wu men)
          2. หอศิลป์แสดงภาพเขียนและอักษรศิลป์ ตำหนักอู่อิง 武英殿 "Painting and Calligraphy Gallery" Hall of Martial Valor (Wuying dian)
          3. หอแสดงเซรามิค ตำหนักเหวินหัว文华殿 "Ceramics Gallery" Hall of Literary Brilliance (Wenhua dian)
          4. ประตูไท่เหอ Gate of Supreme Harmony (Taihe men)
          5. ตำหนักไท่เหอ Hall of Supreme Harmony (Taihe dian)
          6. ตำหนักจงเหอ Hall of Central Harmony (Zhonghe dian)
          7. ตำหนักเป่าเหอ Hall of Preserving Harmony (Baohe dian)
          8. ตำหน้กเฉียนชิง 乾清宫Palace of Heavenly Purity (Qianqing gong)
          9. ตำหนักเจียวไท่ 交泰殿 Hall of Union (Jiaotai dian)
         10. ตำหนักคุนหนิง 坤宁宫 Palace of Earthly Tranquility (Kunning gong)
         11. ตำหนักหยังซิน 养心殿 Hall of Mental Cultivation (Yangxin dian)
         12. พื้นที่บริเวณ 6 ตำหนักตะวันตก 西六宫 Area of Six Western Palaces
         13. อุทยานอวี้ฮัว 御花园 Imperial Garden (Yu huayuan)
         14. พื้นที่บริเวณ 6 ตำหนักตะวันออก Area of Six Eastern Palaces
         15. หอนาฬิกา ตำหนักเฟิงเสี้ยน "Hall of Clocks" Hall for Ancestral Worship (Fengxian dian)
         16. หอแสดงวัตถุโบราณล้ำค่าตำหนักหนิงโซว่ 宁寿宫"The Treasure Gallery, Gallery of Qing Imperial Opera" Area of Palace of Tranquil Longevity (Ningshou gong)
         17. ประตูเสินอู่ Gate of Divine Prowess (Shenwu men)
ข้อมูลจากเวปอย่างเป็นทางการของพิพิธภัณฑ์โบราณกู้กง http://en.dpm.org.cn/

04.  พระราชวังฤดูร้อนอวี้เหอหยวน
             
 
info@huexonline.com