MENU
TH EN

ออสเตรีย และ ดอกเอลเดอไวซ์

First revision: Sep.08, 2016
Last revision: Jan.05, 2017
เที่ยวออสเตรียไปกับอภิรักษ์โซคูลส์
(Austria: Travel and Leisure by Apirak So Cools)

เมื่อเดือนมิถุนายน 59 มีผู้ใหญ่ที่เคารพ ชวนผมไปเที่ยวพักผ่อนที่ออสเตรียกัน ช่วง 25-30 กันยายน 59 ผมตัดสินใจร่วมไปด้วย เพราะพอมีสตุ้งสตังค์ พอจัดเวลาได้ และหากไม่รีบเที่ยวตอนที่มีโอกาส แล้วจะหาโอกาสเช่นนี้ข้างหน้าอีกได้อย่างไร
ทริปที่ไปคราวนี้มีรวม  25 ท่าน เป็นกลุ่มย่อย ๆ ที่ผู้ใหญ่ที่เคารพของผมแนะนำชวนกันไปรวม 11 ท่าน ประกอบด้วย อ.ญัค ป้าคลอง ลุงวิชัย ฟาง มิวสิค อ.ตู่ อ.ผึ้ง อ.ใหม่ พี่เปรม ดร.เป็ด และผม
ค่าใช้จ่ายรวมค่าวีซ่าเข้าประเทศออสเตรีย รวม ๆ แล้วประมาณสี่หมื่นบาทต้น ๆ และต้องจ่ายค่าทิปแก่ไกด์อีก 30 ยูโร ก็ประมาณพันสองร้อยบาท
 
ผมได้ศึกษาทริปการเดินทางนี้ เป็นแบบบุฟเฟต์ ออสเตรีย 6 วัน 3 คืน

จุดเด่นของทริปนี้คือ:
  • จัตุรัสกลางเมืองเพื่อถ่ายรูปคู่กับคีตกวีสำคัญของโลก วูฟกังค์ อมาเดอุส โมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart)

Posthumous painting by Barbara Krafft in 181902
  • ชมมหาวิหารกลางเมือง
  • สวนมิราเบล (Mirabell Garden) ที่งดงาม เป็นหนึ่งในฉากของเดอะซาวน์ ออฟ มิวสิค (The Sound of Music - มนต์รักเพลงสวรรค์) อันลือชื่อ
  • ชมหลังคาทองคำ (Golden Roof - Goldenes Dachl) สถานที่ที่ใครไปใครมาเมืองอินส์บรูค (Innsbruck)
  • เมืองเซ็นต์วูล์ฟกัง (St.Wolfgang) พร้อมชมทัศนียภาพระหว่างทางและเดินชม
  • แวะช้อปปิ้งที่ พาร์นดอร์ฟ เอาท์เลท (Parndorf Outlet) ซึ่งเป็นแหล่งสินค้าแบรนด์เนม
  • พระราชวังฮอฟเบิร์ก (Hofburg Palace)
  • พระราชวัง เบลวีเดียร์ (Belvedere Palace)
  • พระราชวังเชินบรุนน์ (Schönbrunn Palalce) เข้าชมความสวยงามภายใน พระราชวังฤดูร้อน
วันแรก :  อาทิตย์ 25 กันยายน 59 สมุทรปราการ (ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) - โดฮา
17:30 น. คณะพร้อมกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 ประตูทางเข้า 9 เคาน์เตอร์ Q สายการบิน Qatar Airways โดยมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ ให้การต้อนรับ
20:40 น. ออกเดินทางสู่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย โดยเที่ยวบินที่ QR835 (BKK-DOH)
23:05 น. ถึงกรุงโดฮา ประเทศการ์ต้า เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่อง
  • ทริปที่ไปคราวนี้ จัดโดย Smiling Holidays Group หัวหน้าคณะทัวร์คือคุณ "อะเล็กซ์" หรือ เล็ก ชื่อจริงว่าคุณบรรพต
  • คณะเรานัดเจอกันตอนห้าโมงครึ่งที่เคาว์นเตอร์ ของสายการบิน Qatar Airways ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิประมาณสองทุ่มสิบนาที มาถึงสนามบินโดฮา ประเทศกาต้าร์ตอนห้าทุ่มกว่า เกือบเที่ยงคืนในเวลาท้องถิ่น เวลาที่กรุงเทพฯ ราวตีสาม
  • มีคนบนเครื่องเยอะ เต็มลำ คณะของเรานั่งชั้นประหยัดกัน แคบ พนักเก้าอี้ ปรับองศาได้น้อย หลับไม่ค่อยสนิท เมื่อมาถึงสนามบินโดฮา และหลังจากตม.ได้ตรวจค้นสัมภาระและของใช้ส่วนตัวเสร็จแล้ว คณะก็มาเดินแกร่วกันในสนามบินโดฮา ได้ลองชิมอาหารว่างของหวานของบ้านเขาดู จำพวกอินทผาลัม ของแห้งเชื่อมต่าง ๆ ดู ก็อร่อยและแปลกไปอีกแบบ

 
วันที่สอง : จันทร์ 26 กันยายน 59 เวียนนา - ซาลส์บวร์ก - จัตุรัสโมซาร์ต - อินส์บรุค
02:40 น. ออกเดินทางจากกรุงโดฮา สู่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย โดยเที่ยวบินที่ QR189 (DOH-VIE)
07:15 น.
  • ถึงท่าอากาศยานเวียนนา ประเทศออสเตรีย ผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง นำเราเดินทางโดยรถโค้ชสู่เมือง "ซาลส์บวก (Salzburg)" เมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมบาโรก (Baroque Architecture) จนได้ชื่อว่าเป็นนครหลวงแห่งศิลปะบาโรก???03 เป็นบ้านเกิดของคีตกวีเอกของโลก วูฟกังค์ อมาเดอุส โมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart)04 เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์อมตะเรื่อง "มนต์รักเพลงสวรรค์" (The Sound of Music)05 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก้ เมื่อปี ค.ศ.1997 
12:00-13:00 น. ทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร...
13:00-18:00 น.
  • จัตุรัสกลางเมือง ถ่ายรูปคู่กับอนุสาวรีย์โมสาร์ท ชมมหาวิหารใหญ่กลางเมือง และเดินเข้าชมบริเวณของสวนมิราเบล (Mirabell Garden) ที่งดงาม ซึ่งเป็นฉากหนึ่งของภาพยนต์เรื่องเดอะซาวน์ ออฟ มิวสิค เดินเล่นบนถนนเกไตร ย่านช้อปปิ้งที่มีบ้านเกิดของโมสาร์ท ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนเส้นนี้ด้วย
  • เดินทางมายังเมืองอินส์บรูค (Innsbruck) เป็นเมืองเอกด้านการท่องเที่ยวของออสเตรีย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอิน (Inn river & valley) มีลักษณะแคบ ๆ แทรกตัวอยู่ระหว่างเทือกเขาแอลป์ ครั้งอดีตอินส์บรูคเป็นเมืองที่รุ่งเรืองที่สุดในยุคจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนที่ 1 อัศวินคนสุดท้ายในยุคที่อัศวินเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง จึงถือได้ว่าพระองค์เป็นกษัตริย์องค์แรกในยุคสากล หลังสิ้นยุคอัศวิน และยังเป็นเมืองตากอากาศของผู้ที่เข้ามาปกครองจักรวรรดิออสเตรีย นอกจากนี้อินส์บรูคยังเป็นเมืองต้นกำเนิดของเครื่องแก้วคริสตัลชื่อดังที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลกอย่าง "สวารอฟสกี้ (Swarovski)"
ค่ำ ทานอาหารมื้อค่ำที่ภัตตาคาร.....
ที่พัก RAMADA INNSBRUCK TIVOLI - Olympiastrasse 41 - 6020 Innsbruck, Tirol - Österreich เมือง Innsbruck
  • ราว ๆ ตีสองสี่สิบนาที (หรือหกโมงเช้าสี่สิบนาที ตามเวลาในประเทศไทย) เวลาท้องถิ่นของโดฮา คณะก็นั่งเครื่องบินต่อเข้ากรุงเวียนนา (Vienna หรือ Wien)
  • เมื่อดูจากมอนิเตอร์บนเครื่องบินแล้ว ก็ทราบเส้นทางการบิน เครื่องบินจะตัดขึ้นไปทางเหนือ เลาะไปตามพรมแดนอิรัก-อิหร่าน บินตัดเข้าตะวันออกของตุรกี

 
  • ซึ่งหากเยื้องมาบริเวณที่เป็นแถบเขาชายแดนอิรัก ตุรกีแล้ว ก็จะพบว่าบริเวณดังกล่าวมีชาวเคิร์ด (Kurds) อันเป็นอีกเชื้อชาติหนึ่งอาศัยอยู่ (ดยแท้จริงแล้ว สามารถตั้งเป็นอีกประเทศก็ว่าได้ แต่มันเป็นเรื่องการเมืองในช่วงที่จักรวรรดิอังกฤษมาป้วนเปี้ยนในย่านนี้ เจ้ากี้เจ้าการ แบ่งประเทศโน้นนี่นั่น โดยผนวกชาวเคิร์ด กระจายอยู่สองประเทศ คือ อิรัก และตุรกี ซึ่งมีปัญหาเรื้อรังจนปัจจุบัน)
  • เครื่องบินเฉียงไปทางตะวันตก ผ่านทะเลดำ (Black sea) เข้ายุโรปมาทางโรมาเนีย ฟ้าสางแถบ ๆ ฮังการี เมื่อดูจากช่องหน้าต่างเครื่องบิน ฟ้าดูโปร่งมาก
  • ช่วงต่อเครื่องจากกาต้าร์มานี้ ผมนอนไม่ค่อยหลับเหมือนเคย นั่งตาแข็งดูหนังเรื่อง "The Man Who Knew Infinity" (เป็นเรื่องราวของนักคณิตศาสตร์ที่ปราดเปรื่องชื่อ รามนูจันทร์ (Srinivasa Ramanujan) ผู้ยากไร้จากมัทราส ประเทศอินเดีย ได้รับทุนมาเรียนที่วิทยาลัยทรินิตี้ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร เขาได้บุกเบิกทฤษฎีใหม่ทางคณิตศาสตร์) จากมอนิเตอร์บนพนักเก้าอี้ไปพลาง ๆ เท่าที่สังเกตจากเมนูอาหารที่เสิร์ฟบนเครื่อง อาหารก็รสชาติพอไปได้ และมีเมนูสำหรับผู้ที่ทานมังสะวิรัติ (Vegetarian) มากถึงครึ่งต่อครึ่ง 
  • เครื่องบินลงจอดที่สนามบินกรุงเวียนนาราว ๆ แปดโมงเช้า (ในเวลาท้องถิ่น หรือ บ่ายโมงตามเวลาในประเทศไทย) ท้องฟ้าดูมัว ๆ อุณหภูมิประมาณ 14-16 องศาเซลเซียส
       
 
  • สนามบินดูสะอาดสะอ้าน ผู้คนขวักไขว้ เนื่องจากเป็นวันจันทร์ ส่วนใหญ่เป็นคนทำงานนักธุรกิจชาวเยอรมันเดินทางมากรุงเวียนนา เพราะเห็นป้ายจากจุดรับกระเป๋าว่าดุสเซลดอร์ฟ (Düsseldorf) ในสนามบินแสดงภาพพระราชวังเบลวีแดร์ (Belvedere Palace) ภาพของแวนโก๊ะ (Van gogh) และคลิมท์ (Klimt)  
  • คณะของเราพักรอเพื่อน ๆ ที่จุดรับกระเป๋าพร้อม ๆ กับทำธุระส่วนตัว จากนั้นก็ขึ้นชาร์เตอร์บัส ตรงไปเมืองซาลส์บวร์ก (Salzburg)10 ซึ่งอยู่ตอนกลางของประเทศและทางตะวันตกของกรุงเวียนนากัน ซาลส์บวกตั้งอยู่ในแคว้นซาลซ์เบอร์เกอร์ลันด์ (Salzburger Land) คุณอะเล็กซ์ แนะนำคนขับรถชื่อ "โรเบิร์ต" เป็นโปล (ชาวโปแลนด์) รถบัสวิ่งบนออโต้บาห์น (Autobahn ภาษาเยอรมัน, Auto route ภาษาฝรั่งเศส, และ Auto Strada ภาษาอิตาลี) รถวิ่งด้วยความเร็วคงที่ ด้วยการตั้งออโต้ไว้ที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 
  • ทั้งนี้คนขับรถในออสเตรียต้องขับไม่เกินวันละ 12 ชั่วโมง หากรวมเวลาพักด้วย หรือเวลาขับสุทธิต่อวันก็ราว ๆ 9 ชั่วโมง ต้องเคร่งครัด มีระบบคอยตรวจควมคุมคนขับอยู่ จากคำแนะนำกึ่งขอร้องของคุณอะเล็กซ์... หากคณะทัวร์ไม่ทำกิจกรรมตามกำหนดการ ชิลด์ ๆ จนจบวัน จะทำให้เวลาขับของโรเบิร์ตขยายออกไป ก็ยุ่งยาก รวมทั้งการนัดทานอาหารแต่ละจุดที่แวะเที่ยว ก็จะคลาดเคลื่อน สะเทือนไปทั้งโปรแกรม ส่งผลให้คณะทัวร์ของเรา ดูชมอิ่มเอิบกับสถานที่ต่าง ๆ บางจุดที่ควรใช้เวลาให้มาก ๆ เก็บภาพสวย ๆ ก็ถูกลดทอนลง เพื่อให้ทันกำหนดการ ดังนั้นจึงควร follow หัวหน้าคณะทัวร์อย่างเคร่งครัด สรุปเอาตามนั้น คร้าาาบ
  • สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้า สลับการปลูกข้าวโพด อยู่ในช่วงต้น ๆ ฤดูใบไม้ร่วง (Authumn) ซึ่งเป็นช่วงที่เกษตรกรกำลังตัดหญ้าเก็บเก็บไว้ เพื่อเตรียมผสมเป็นอาหารให้กับวัวในฤดูหนาว
  • ระยะทางจากเวียนนาไปซาลซ์บวร์ก ราว ๆ 300 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางร่วมสามชั่วโมง คณะมาถึงตัวเมืองก็เกือบบ่ายโมง บ้านเมืองและถนนดูสะอาดสะอ้าน แต่ถนนแคบ ซึ่งอาจเป็นเพราะผังเมืองเก่า คณะเข้ารับประทานอาหารกลางวันกันในภัตตาคารจีนชื่อ "แมนดาริน (Mandarin)" คณะได้ทานกันอย่างเอร็ดอร่อย เพราะรสชาติดี ผนวกกับความหิว ต่อจากนั้นคณะ ก็มากันที่ตัวเมืองเก่าของซาลซ์บวร์ก เดินข้ามแม่น้ำ "ซาลซา (Salzach)" บน "สะพานเมกะซตีจช์ (Makartsteg)

 
  • คณะได้เดินทางมาชมบ้านพักของ "โมสาร์ท (Mazart Geburtshaus)" และ "อนุสาวรีย์โมสาร์ท (Mozartplatz)" กัน

 
  • โมสาร์ทได้พักที่นี่ร่วม 14 ปี โมสาร์ทต้องเร่ร่อนไปกับคุณพ่อเพื่อแสดงดนตรีไปทั่วยุโรปตั้งแต่เล็ก ๆ ขณะนี้ชั้นล่างของตึกเป็นร้านค้าไปแล้ว ส่วนอนุสาวรีย์โมสาร์ท วันที่ไปนั้น บริเวณรอบ ๆ ดูรกรุงรัง เพราะเพื่อจัดงานแฟร์ไปเมื่อวาน กำลังเก็บกวาดกันอยู่ มีนักท่องเที่ยวในตัวเมื่อซาลซ์บวร์ก เยอะเอาการอยู่ เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนเกินครึ่ง ผมเดินไปทั่ว ๆ ตัวเมืองมากเท่าที่เวลาจะมีพอ ที่ โบสถ์ Blasiuskirche, จุดท่องเที่ยว Festspielhauser, Dom แล้วมารวมตัวกับคณะเดินย้อนกลับมาที่สวนมิราเบล (Mirabell Gardens) 

 
  •  ในสวนมิราเบล สวยงามพอประมาณ ที่สำคัญคือเป็นฉากหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "มนต์รักเพลงสวรรค์" ขณะที่พี่เลี้ยงมาเรีย กำลังพาเด็ก ๆ ทั้งเจ็ดคนเที่ยว และร้องเพลงในตัวเมื่อซาลซ์บวร์ก 

 
 
  • พอเย็นได้เวลา คณะก็เดินทางต่อไปยังเมือง "อินส์บรูค (Innsbruck)" ซึ่งเดินทางไปทางตะวันตกต่อไปอีกราว ๆ 186 กิโลเมตร ใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ตัวเมืองอินส์บรูค อยู่ในแคว้น "ไทรอลและวอรัลเบิร์ก (Tyrol and Vorarlberg)" ซึ่งทอดตัวถัดไปทางตะวันตกของเมืองซาลซ์บวร์ก จุดเด่นของเมืองนี้คือทัศนียภาพของเทือกเขาแอลป์ และเมืองนี้เคยเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว เมื่อปี พ.ศ.2507 และปี พ.ศ.2519
  • รถบัสต้องตัดเข้าสหพันธรัฐเยอรมนี (มีเจ้าหน้าที่เยอรมัน ซักถามตรวจตราเล็กน้อย) เพราะเส้นทางดีและเร็วกว่า หากมาเส้นทางปกติในออสเตรีย จะแคบ และใช้เวลานาน (แต่ทิวทัศน์สองข้างทางสวยงามกว่า) ระหว่างทางทิวทัศน์ด้านซ้ายของรถบัส งดงามมาก ผ่าน "ทะเลสาบคิมซี่ (Chiemsee)"เป็นทิวแถวเทือกเขาแอลป์ คณะถ่ายรูปกันไปเรื่อย ๆ ทิวเขาด้านซ้ายเริ่มสูงชัน มีบ้านเรือนปลูกบนเนินเขากระจาย ดูแล้วสวยงาม (ตัวเมือง อินส์บรูค อยู่ห่างจากเมืองมิวนิค (Munich หรือ München) ของสหพันธรัฐเยอรมนี เพียง 166.5 กิโลเมตร หรือเดินทางด้วยรถยนต์เพียง 1 ชั่วโมง 50 นาที)
  • รถมาจอดตรงเมืองเก่า แล้วคณะก็เดินผ่านสวน ตัดมาหน้า "พระราชวังฮอฟบวร์ก (Hofburg Palace)" วกมาในซอยมาทานอาหารเย็นที่ภัตตาคารจีน (เจ้าของร้านเป็นคนจีนจากไต้หวัน มาอยู่ที่นี่ร่วม 20 ปี)อีกครั้ง รสชาติใช้ได้ แต่คณะบ่นว่าเค็มไปหน่อย จากนั้นก็ออกมานอกเมืองเล็กน้อย เข้าพักที่โรงแรมรามาด้า เป็นโรงแรมที่ดี ทันสมัย ทุกท่านเข้าที่พักพักผ่อนด้วยความอ่อนเพลีย
 
 
วันที่สาม : อังคาร 27 กันยายน 59 อินส์บรูค - ฮัลล์สตัท - หมู่บ้านนักบุญวูล์ฟกัง
เช้า ทานอาหารเช้าในโรงแรม RAMADA INNSBRUCK TIVOLI
ช่วงเช้า
  • ชมเมืองอินส์บรูค ที่มีความสวยงาม นำเราชมหลังคาทองคำ (Golden Roof - Goldenes Dachl) สถานที่ที่ใครไปใครมาเมือง Innsbruck เป็นต้องแวะมาแหงนคอ มองอาคารสุดคลาสสิก และเก่าแก่ที่สุดประจำเมืองนี้ ในอดีตเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ทิโรล (Tirol หรือ Tyrol) ที่นี่กษัตริย์แมกซิมิเลี่ยนที่ 1 พระนางมาเรียเทเรซ่า เคยใช้เป็นที่ประทับชมการแสดง
  • เดินทางสู่เมือง ฮัลล์สตัท (Hallstatt) เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองริมทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก เป็นเมืองมรดกโลกที่เก่าแก่ย้อนหลังกลับไปกว่า 4,000 ปี ช่วงที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในอดีตประมาณ 800-400 ปีก่อนคริสตกาล และยังมีทิวทัศน์ที่สวยงามเป็นที่หลงใหลของนักเดินทางมากมาย เดินเที่ยวชมเมือง 
เที่ยง ทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร.....
ช่วงบ่าย
  • เดินทางสู่เมือง เซ็นต์วูล์ฟกัง (St.Wolfgang) พร้อมชมทัศนียภาพระหว่างทางและเดินชมอาคารบ้านเรือน ที่สวยงามของเมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบชื่อเดียวกับเมือง ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ในประเทศออสเตรีย ที่เคยใช้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์ และเคยใช้เป็นที่พักของบรรดานักเขียนต่าง ๆ ตั้งอยู่ในเขตซาลซกัมเมอร์กุท (Salzkammergut) รัฐโอเบอเริสเทอร์ไรค์ ที่ห้อมล้อมไปด้วยทะเลสาบวูล์ฟกัง  
  • หมู่บ้านนี้ตั้งชื่อตามนักบุญวูล์ฟกัง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีความงดงาม มีนักท่องเที่ยวมากมายมาเยือนทุก ๆ ปี
ค่ำ ทานอาหารค่ำในภัตตาคาร...
ที่พัก HOTEL PRIELMAYERHOF - Weißenwolffstraße 33 A - 4020 เมือง Linz
 
  • พอราว ๆ 06:45 น.ตามเวลาท้องถิ่น อุณหภูมิตอนเช้าราว ๆ 12-14 องศาเซลเซียส คณะทัวร์มารวมตัวกันทานอาหารเช้าของโรงแรมรามาด้าที่ชั้น 11 กัน อาหารอยู่ในเกณฑ์ดี เป็นพวกขนมปัง ออมเล็ต ไส้กรอก แฮม ซีเรียลพร้อมนม ชีส แยม กาแฟ ชา และน้ำส้ม เป็นต้น 
  • หลังอาหารเช้า ผมออกมายืดเส้นยืดสายหน้าโรงแรม ช่วยถ่ายรูปให้น้อง ๆ เพื่อน ๆ ในคณะ พอ 8 โมงเช้า ทุกคนเช็คเอ้าท์เสร็จก็ออกเดินทางมาลานจอดรถจุดเดิมเหมือนเมื่อวานเย็น แถบเมืองเก่าอินส์บรูค คณะพากันเดินผ่านสวน อากาศเย็น สดชื่น บรรยากาศดีมาก เดินผ่านด้านหน้า "พระราชวังฮอฟบวร์ก (Hofburg)" มี "ตราพระลัญจกร (Coat of Arms)" ขนาดใหญ่บนตึก เป็นรูปนกเหยี่ยวมีสองหัว หมายถึง ครอบคลุมสองแว่นแคว้นใหญ่คือ ออสเตรีย และ ฮังการี เป็นจักรวรรดิออสโตร-ฮังกาเรียน ซึ่งมีขนาดใหญ่และทรงอำนาจในยุโรป.
  • คณะเดินมาชมจัตุรัสเก่ากลางเมือง เป็นตึกหลังคาทองคำ (Goldeness Dachl - Golden Roof)11  บางตึกด้านนอกมีปูนปั้นเป็นลวดลายสามมิติ สวยงาม บางตึก ผนังด้านนอกเป็นปูนผิวเรียบ แล้ววาดภาพกรอบประตู หน้าต่าง เมื่อมองไกล ๆ หรือถ่ายด้วยกล้องถ่ายรูป จะดูเหมือนเป็นปูนปั้น กรอบหน้าต่างนูนขึ้นมาเป็นสามมิติ
 
  • คณะของเราเดินชมเมือง สะพาน เมืองเก่า อากาศดีมาก ๆ อุณหภูมิราว 16-18 องศาเซลเซียส คณะเราแวะร้านอัญมณีและงานแก้ว เครื่องประดับ "สวารอฟสกี้ (Swarovsky)" กัน มีนักท่องเที่ยวมาช้อปกับเยอะมาก โดยเฉพาะชาวจีน ผมตัดสินใจซื้อแหวนให้ตัวเองวงหนึ่ง ฝากน้อง คุณแม่และหลาน ๆ อีกสอง-สามวง คณะเราออกจากร้านช้านิดหนึ่ง เพราะต้องชำระเงินและผ่านกระบวนการ Tax Refund 
  • คณะของเรากลับมาขึ้นรถช้าไปกว่ากำหนดการเดิมสัก 50 นาที จากนั้นรถบัสนำโดย มร.โรเบิร์ต (ผู้เคร่งครัดต่อเวลา) ก็นำเราไปสู่เมือง "ฮัลล์สตัท (Hallstatt)"
  • เหมือนขามาเมืองอินส์บรูค ก็คือ ต้องเข้าไปในเขตสหพันธรัฐเยอรมนี เพื่อจะทำเวลาได้ตามกำหนดในการไปตัวเมือง ฮัลล์สตัท รถติดเล็กน้อยเพราะมีอุบัติเหตุข้างหน้า รถบัสผ่านอ้อมเมืองซาลส์บวร์ก เข้าถนนโลคัลโร้ดตรงสู่เป้าหมาย (โดยปกติแล้วด้วยระยะทางรวมราว 247 กิโลเมตร คณะควรใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง 50 นาที แต่ก็ช้าไปเป็นรวม 3 ชั่วโมงเศษ ๆ ) คณะเราเข้าสู่เขต Upper Austria ทัศนียภาพสองข้างทางนั้นงามมาก ถึงงามมากที่สุด เป็นเทือกเขาสูง มีทุ่งหญ้าและบ้านคนออสเตรียในชนบท สลับกับต้นสนไม้ใหญ่เมืองหนาว พร้อมลำธาร หาขยะหรือสิ่งรกตาแทบไม่เจอเลย เพื่อน ๆ ในคณะทัวร์ต่างถ่ายรูปวิวไปตลอดทาง โลคัลโร้ดคดเคี้ยวไปตามร่องเขา ขึ้นสูงต่ำสลับกันไป
 
  • คณะมาถึงเมืองฮัลล์สตัท บ่ายโมงกว่า ๆ แทบทุกคน (รวมทั้งผม) ต่างรีบเดินไปภัตตาคารอาหารเที่ยง ตามที่หัวหน้าทัวร์นำไป เพื่อเข้าห้องน้ำกันก่อน อาหารเที่ยงมื้อนี้ เป็นอาหารพื้นเมืองของที่นี่ เมนูหลักเป็นสเต็คปลาเทร้าท์ (Trout) พร้อมมันฝรั่งต้ม นำด้วยสลัดผัก ตบท้ายด้วย เครฟมีครีมเปรี้ยว ๆ เป็นของหวาน ...อร่อยดี..รูปร่างปลาเทร้าท์ดูคล้าย ๆ ปลากุเลาบ้านเรา รสชาติดีไม่คาว แต่อร่อยสู้ปลาอินทรีย์บ้านเราไม่ได้
 




 
  • หลังทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็ชมเมืองฮัลล์สตัท ซึ่งเป็นเมืองในหุบเขา อากาศเย็น และชื้นกว่าจุดอื่น อยู่ริมทะเลสาบ มีวิวสวย ๆ ให้เลือกถ่ายกัน ถัดจากทะเลสาบจะเป็นเทือกเขาสูง บางช่วงก็สามารถเก็บภาพถ่ายที่มีรถไฟหัวรถจักรสีแดง ๆ วิ่งผ่านไปตามไหล่เขา ที่นี่ถือได้ว่าเป็น "ซิกเนเจอร์" ของทริปนี้เลยก็ว่าได้ คณะของเราอยู่ที่นี่ถ่ายภาพและซื้อของที่ระลึกจนอิ่มแล้ว ก็เดินทางต่อไปยังเมือง เซ็นต์วูล์ฟกัง ต่อ

 
  • เมืองเซ็นต์วูล์ฟกัง อยู่ห่างออกไปราว 38 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 40 นาที คณะเราไปถึงก็เย็นแล้ว ชมอาคารบ้านเรือนและทะเลสาบ ถ่ายภาพกันได้สักครู่ก็กลับ ตรงเข้าเมืองลินซ์ (Linz) (ใช้เวลาเดินทางราวชั่วโมงครึ่ง ระยะะทาง 123 กิโลเมตร)  เมืองลินซ์ยังอยู่ในเขต Upper Austria ซึ่งอยู่ทางตะวันตกใกล้กรุงเวียนนา อากาศเริ่มเย็น คณะเราแวะทานอาหารเย็นเป็นภัตตาคารจีนกัน ก่อนที่จะเข้าที่พัก รสชาติดี ไม่มีใครบ่นว่าเค็มเหมือนมื้อเมื่อคืน จากนั้น คณะก็เข้าที่พักกันที่ HOTEL PRIELMAYERHOF กลางเมืองลินซ์ พอเช็คอินเข้าที่พัก หลายคนและรวมทั้งผม แปลกใจว่าทำไมห้องพัก ไม่มีแอร์ปรับอากาศ ...ไม่มีจริง ๆ เปิดหน้าแง้ม ๆ ไว้ สักครู่อากาศก็เย็นแล้ว หลับสบายไปจนรุ่งเช้า.
วันที่ 4: พุธ 28 กันยายน 59 ช้อปปิ้งที่ พาร์นดอร์ฟ เอาท์เลท - เวียนนา - พระราชวังฮอฟเบิร์ก - พระราชวังเบลวีเดียร์
เช้า ทานอาหารเช้าของ HOTEL PRIELMAYERHOF
ช่วงเช้า
  • เดินทางออกจากเมืองเซ็นต์ วูล์ฟกัง ไปยังกรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย เมืองแห่งเสียงดนตรี โดยเฉพาะเวียนนาวอลทซ์ที่โด่งดัง
  • แวะช้อปปิ้งที่พาร์นดอร์ฟ เอาท์เลท (Parndorf Outlet)
เที่ยง ทานอาหารกลางวันตามอัธยาศัย
ช่วงบ่าย
  • เดินทางมา Parndorf Outlet สถานที่ช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนม
  • เดินทางไป "พระราชวังฮอฟเบิร์ก (Hofburg Palace)" ผ่านชมกลุ่มอาคารที่เคยเป็นที่ประทับของราชสำนักฮัปสบูร์ก มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 - ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 
  • ตึกรัฐสภาซึ่งสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1873-1883 เคยถูกใช้เป็นที่ทำการของสภาจักรวรรดิออสโตร-ฮังกาเรียนมาก่อน จนถึงคราวจักรวรรดิล่มสลายลงในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ.1918
  • ถ่ายรูปกับ "พระราชวังเบลวีเดียร์ (Belvedere Palace)" พระราชวังแห่งนี้ได้รับการออกแบบและสร้างขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 18 ตัวพระราชวังประกอบด้วยพระตำหนัก 2 ส่วนในรูปแบบสถาปัตยกรรมโรโคโค หันหน้าเข้าหากันโดยคั่นกลางด้วยสวนสวยที่ตกแต่งอย่างงดงาม พระราชวังสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของเจ้าชายยูจีนแห่งซาวอย (Prince Eugene of Savoy) ผู้นำกองทัพในการต่อสู้จนได้รับชัยชนะจากการคุมคามของจักรวรรดิออตโตมาน ("ยุทธการเวียนนา" ค.ศ.1683 และช่วง "สงครามออสเตรีย-ตุรกี" ค.ศ.1716-1718)

เจ้าชายยูจีนแห่งซาวอย (Prince Eugene of Savoy) และแผนที่ซาวอย ช่วง ค.ศ.1494


กองทัพจักรวรรดิเติร์ก ออตโตมาน (The Ottoman army)
  • ปัจจุบัน พระราชวังเป็นสถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานศิลปะที่ดีที่สุดของกรุงเวียนนา โดยจัดแสดงผลงานชิ้นเอกของศิลปินออสเตรียตั้งแต่ยุคกลางจนถึงยุคปัจจุบัน เช่น ผลงานภาพวาดของกุสตาฟ คลิมท์ (Klimt) และผลงานที่มีชื่อเสียงของโลก เช่น Monet, Kokoschka, Renoir และ Schiele.  
ค่ำ ทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร....
ที่พัก AM SACHSENGANG Schloßhofer Str.60, 2301 GroßEnzersdorf, Österreich เมือง Gross Enzersdorf
 
  • อากาศยามเช้าที่เมืองลินซ์ (Linz) หนาวที่สุดในทริปนี้ คือ 10 องศาเซลเซียสในช่วงเจ็ดโมงเช้า คณะของเราทะยอยเช็คเอาท์ และมาทานอาหารเช้าในโรงแรม คุณภาพอาหารอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะพวกซีเรียล เมล็ดพืชมีหลากหลายในการทานกับนมสด พร้อมขนมปัง เนย แยม ชีส ออมเล็ต น้ำผลไม้และแฮมประเภทต่าง ๆ รวมทั้งมีกาแฟสดให้เลือกทาน
  • รถบัสนำโดยสารถี มร.โรเบิร์ต ก็นำคณะออกจากเมืองลินซ์ราว 8 โมงเช้า มุ่งตรงเข้าเมืองพาร์นดอร์ฟ (Parndorf) ใกล้กรุงเวียนนา (Vienna) โดยไปทางตะวันออก ใช้เวลาเดินทางราว ๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง ระยะทางราว 240 กิโลเมตร ซึ่งเมืองพาร์นดอร์ฟ และกรุงเวียนนานั้น อยู่ในเขต Lower Austria and Burgenland 
  • คณะเรารู้สึกได้เลยว่า สองข้างเริ่มไม่มีภูเขา เป็นที่ราบต่ำ เป็นพื้นที่เพาะปลูก และมีกังหันเพื่อปั่นผลิตกระแสไฟฟ้าพลังลมกระจายอยู่ทั่วไป
  • คณะเรามาถึงจุดช้อปปิ้งใหญ่คือ Parndorf Outlet คณะเราใช้เวลากับที่นี่รวมทั้งทานอาหารกันเองราว ๆ 3 ชั่วโมง (รวมทั้งใช้เวลาในการทำ Tax Refund ด้วย) สินค้าที่นี่เป็นของ Brand Name อาจจะมีตำหนิเล็กน้อย เช่น สีไม่ครบตาม Standard Spec. เล็กน้อย ตกเกรด โดยรวมยังดูดีและใหม่ ไม่ตกรุ่น แต่ราคาถูกลงมาก. 
  • คณะของเรา ชายหญิงก็แยกกันไปดู ช้อปปิ้งกันคนละแนว เลดี้ก็จะมุ่งไปที่ร้าน PRADA ก่อนเลย ส่วนเจ้นเทิลเมน ก็จะดูพวกชุดกีฬา สปอร์ตแวร์อื่น ๆ ไปตามสไตล์ ตอนท้าย ต่างก็นำใบเสร็จมาทำ Tax Refund และทานอาหารเที่ยงง่าย ๆ กันที่ร้าน Burger King จนอิ่ม ซื้อของได้สมประสงค์และทำธุระส่วนตัวแล้ว ก็มุ่งตรงเข้ากรุงเวียนนาต่อไป.
  • รถบัสพาคณะของเราเข้ามาในส่วนเมืองเก่า ส่วนในของกรุงเวียนนา (Vienna's old town, the Innere Stadt or "Inner city") มีบริเวณกว้างขวาง สิ่งปลูกสร้างตึก สวน อนุสาวรีย์ดูวิจิตรงดงามมาก รถผ่านอาคารรัฐสภา แล้วมาจอดที่ด้านหน้าของพระราชวังเบลวีเดียร์ (Belvedere Palace) อากาศเริ่มร้อนเหมือนบ้านเรา คณะใช้เวลาประมาณ 40 นาที เพื่อชมบริเวณวัง ไม่ได้เข้าไปข้างใน สำหรับผมแค่ชมสวนก็โอเคแล้ว แต่ใบไม้เริ่มเหลืองเพราะกำลังจะเข้าฤดูใบไม้ร่วง เห็นรูปปั้นสฟิงซ์หญิง (Statues of Sphinxes) มีรอยคล้ำตรงถัน เข้าใจว่านักท่องเที่ยวชอบไปจับกัน
  • จากนั้น คณะของเราก็มาจอดให้ชมที่จัตุรัสมาเรียเทเรซ่า (Maria Theresia Platz) คณะของเราถ่ายภาพกันในบริเวณนั้น แต่เก็บภาพตรง ๆ ของพระนางมาเรียเทเรซ่า ไม่ค่อยได้ เพราะถ่ายย้อนแสง สักพักก็เดินเลาะกันมาบนถนน Burging และ Opernring คุณอะเล็กซ์ หัวหน้าคณะทัวร์ของเราบอกว่าให้ระวังกระเป๋าเต็มร้อย (ข่าวล่าสุดในบรรดานักท่องเที่ยวแจ้งว่า มิจฉาชีพมีความชุกชุมเหมือนที่โรม อิตาลี) เพราะเราจะเข้าไปในย่านช้อปปิ้งแล้ว 
  • สักพัก คณะของเราก็มาถึงจุดช้อปปิ้งบนถนนคาร์นท์เนอร์ (Karntner Strasse) ซึ่งมีความยาวร่วมกิโลฯ สองข้างทางร้านรวงสินค้าแบรนด์เนมต่าง ๆ ดูน่าซื้อน่าสนใจมาก ผู้คนขวักไขว้ ผมก็ระวังตัวเต็มร้อย เอากระเป๋าสะพาย กล้องไว้ด้านหน้า คณะของเราใช้เวลาที่นี้ร่วมสามชั่วโมง สนุกตื่นตา น่าสนใจมาก 
  • ด้านหน้าสุดทางของถนน ก็มีมหาวิหารสเตฟาน (Stephansdom) สวยงามใหญ่โต คณะเราได้ยินเสียงระฆัง เชิญคริสตศาสนิกเข้าไปทำพิธีมิสซา ผมซื้อข้าวของได้บ้าง ผมเน้นพวกเสื้อ เสื้อหนาว หมวก อะไรทำนองนั้น ส่วนใหญ่จะเก็บภาพมากกว่า เห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่ง กำลังสีไวโอลินข้างทาง น่าสนใจมาก ทะมัดทะแมง เล่นเพลงของโมสาร์ทอย่างคล่องแคล่ว มีลูกเล่นด้วย พอเล่นเพลงจบแทบทุกคนปรบมือให้ แล้วบริจาค ดูแล้วชื่มชมถึงคนรุ่นหลัง ๆ ของออสเตรียที่สืบทอดวัฒนธรรมของตนไว้อย่างดี
  • พอเย็น ๆ ได้ที่ คณะของเราก็มารวมตัวกันที่หน้าร้าน Swarovsky (เพราะเป็นร้านเดียวที่หาง่าย พร้อมทั้งมีห้องน้ำบริการนักท่องเที่ยวฟรี)  แล้วก็เดินตัดมาทางถนนเล็ก ๆ ชื่อ Johannesg มาทานอาหารเย็นแบบยุโรปกัน อยู่ชั้นใต้ดิน ดูเรียบเก่า เมนูที่ทานเป็นสลัดผัก ตามด้วยเนื้อหมูสไลด์ชุปแป้งทอดพร้อมมันฝรั่งต้ม ปิดท้ายด้วยไอศรีม  รสชาติโอเคอร่อยดี แต่คณะเราส่วนใหญ่ทานกันไม่ค่อยหมด อาจเป็นเพราะเป็นของทอดและเป็นหมู หลายคนระมัดระวังเรื่องน้ำหนักและหุ่นกัน ผมทานได้ครึ่งหนึ่ง อร่อยพอไปได้ก็เพราะมีน้ำพริกแจ่ว ที่คุณอะเล็กซ์ เอามาแจก
  • ทานกันเสร็จ คณะเราก็เดินมารวมตัวกันที่ ริมถนน Johannesgasse รอรถบัส แต่รอนานนิดหนึ่ง เพราะจราจรไม่ให้จอดรอ ต้องขับออกไปวนมาใหม่ รถติดและหลงเล็กน้อย ทำให้คณะของเรากลับเข้าที่พักได้ช้า
  • ระหว่างรอรถบัส คณะของเราก็เข้าชมสวนของโยฮัน สเตร้าส์ (Johann-Strauss Stadtpark) กัน จากนั้นพวกเราก็มาพักกันที่โฮเตล แอม แซกเซงเกง (Hotel am Sachsengang) ซึ่งอยู่ชานเมืองทางตะวันออกของกรุงเวียนนา
  • โรงแรมนี้ เซอร์ไพรส์คณะของเราได้พอสมควร คือ หนึ่ง ไม่มีโทรศัพท์ในห้อง ไม่มีแอร์ ไม่มีลิฟท์ (คณะเราส่วนหนึ่งพักชั้นสอง ต้องยกกระเป๋าหนัก ๆ กันขึ้นไปเอง) สำหรับผมไม่เป็นไร แต่ที่เซอร์ไพรส์ผมมากคือ โทรทัศน์และรีโมทยี่ห้อโนเกีย (Nokia) ผมเปิดโทรทัศน์ไม่ติด (ไม่เป็นไรเพราะง่วง เดี๋ยวก็นอนแล้ว) ตู้เย็นยี่ห้อ Electrolux นับว่ายุโรเปียนสไตล์จริง ๆ คณะเราเข้าที่พัก พักผ่อนด้วยความอ่อนเพลีย แต่หลายคนก็มารวมตัวกันเม้าส์ ดริ๊งแดร้งดรั้งกันบ้างที่คอฟฟี่ช้อฟของโรงแรมกัน.



      

 
วันที่ 5: พฤหัส 29 กันยายน 59 เวียนนา ออสเตรีย - พระราชวังเชินบรุนน์ (Schönbrunn Palace) - โดฮา
เช้า ทานอาหารเช้าของ AM SACHSENGANG Schloßhofer
ช่วงเช้า
  • พระราชวังเชินบรุนน์09 เข้าชมความสวยงามภายใน พระราชวังฤดูร้อนอันยิ่งใหญ่ของ "ราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (House of Habsburg)" ที่ถูกสร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 17 โดยพระประสงค์ของ "พระนางมาเรียเทเรซ่า จักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์  (Maria Theresa of Austria)" ที่ตั้งพระทัยว่า จะสร้างวังแห่งนี้ให้มีความงดงามไม่แพ้ "พระราชวังแวร์ซายส์ (Palace of Versailles)" แห่งกรุงปารีส 

พระนางมาเรีย เทเรซ่า07
  • ด้านหลังของพระราชวัง ในอดีตเคยใช้เป็นที่ล่าสัตว์ ปัจจุบันได้ตกแต่งเป็นสวนและน้ำพุอย่างงดงาม อันเป็นที่มาของชื่อพระราชวังเชินบรุนน์ 
  • ในอดีตนั้นพระราชินีแห่งฝรั่งเศส "พระนางมารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette)" ได้เคยใช้ชีวิตในช่วงวัยเด็ก ในพระราชวังแห่งนี้ และ "โมสาร์ท (Mozart)" ยังเคยมาบรรเลงดนตรี "จักรพรรดินโปเลียน (Emperor Napoleon)" เคยเสด็จมาประทับอยู่กับพระราชโอรสของพระองค์

พระนางมารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette)08
  • สัมผัสความงามอันวิจิตรตระการตาภายในห้องต่าง ๆ อาทิ ห้องทรงงาน ห้องบรรทม ห้องแกลลอรี่ ห้องมิลเลี่ยน ไชนีสรูม ห้องบอลรูม ที่ใช้จัดงานเต้นรำ หรือแสดงดนตรี ปัจจุบันยังมีการใช้งานอยู่เป็นครั้งคราว 
  • เดินชมอุทยานสวนดอกไม้นานาพันธุ์
เที่ยง ทานอาหารกลางวันตามอัธยาศัย
1X:XX น. ออกเดินทางสู่ท่าอากาศยานกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
18:50 น. ออกเดินทางโดยสายการบิน Qatar Airways เที่ยวบินที่ QR184 (VIE-DOH)
  • คณะของเราเช็คเอ้าท์สายไปหนึ่งชั่วโมง คือตอนเก้าโมงเช้า เพื่อจะเดินทางทันเวลาเข้าชมพระราชวังเชินบรุนน์พอดีตอน 10 โมงครึ่ง ผมตื่นแต่เช้าแพ็คของเรียบร้อย เพราะวันนี้ต้องขึ้นเครื่องกลับแล้ว 
  • ผมลงมาตอนเช้ามาทาน Breakfast ก่อนเลย มีนักท่องเที่ยวชาวจีนมาพักในโรงแรมนี้มากจนเต็ม อาหารเช้างั้น ๆ พอไปได้ มีของร้อนแค่กาแฟ ไข่ลวก นมร้อนเท่านั้น อย่างอื่นพื้น ๆ พวกแฮม ไส้กรอก โยเกิร์ต ผมทานเสร็จก็มาเดินถ่ายรูปหน้าโรงแรม ถ่ายให้เพื่อน ๆ ในทริปบ้าง อากาศกำลังดี อุณหภูมิราว 17-18 องศาเซลเซียส
  • คณะพร้อมแล้วล้อหมุนราว ๆ เก้าโมงเศษ ในเมืองเวียนนา รถติดพอสมควร เท่าที่ผมสังเกตดูคนออสเตรียตัวไม่สูงนัก สูบบุหรี่เก่ง ประหยัด ง่าย ๆ คณะเรามาถึงพระราชวังเชินบรุนน์ราว ๆ 10 โมงเช้า เรามีเวลาถ่ายภาพบริเวณสวนต่าง ๆ เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ผมรีบทำเวลา เดินดิ่งไปสวนด้านหลัง ถ่ายภาพได้บ้าง อยากจะมีเวลามากกว่านี้ จะได้ศึกษาพันธุ์พืช การออกแบบสวน Landscape รายละเอียดรูปปั้น และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ 
  • คณะของเรามารวมตัวกันที่ทางเข้าตอน 10 โมงครึ่ง ทุกคนได้รับแจกหูฟัง เพื่อทราบการบรรยายแต่ละภาพแต่ละห้องที่เราจะเข้าไปชมในพระราชวังกัน ฝรั่งที่บรรยายให้คณะเราทราบ (โดยมีคุณอะเล็กซ์แปลเป็นไทยอีกทีหนึ่ง) ชื่อ มร.อังเดรส์ ตัวพระราชวังเชินบรุนน์มีห้องต่าง ๆ ถึง 1,400 กว่าห้อง แต่ห้องที่คณะเราจะชมนี้ เพียงสิบกว่าห้องเท่านั้น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่เขาไม่ให้คณะเราถ่ายรูปกัน.
  • ที่น่าสนใจเบื้องต้นคือ พื้นซึ่งดูคล้าย ๆ กระเบื้องเซรามิก แต่เป็นไม้โอ้คตัดขวาง เพราะจะได้ซับเสียงเวลาเดิน และการฟังเสียงดนตรีจะนุ่มนวล ลดเสียงสะท้อน
  • คณะของเราขึ้นมาบนพระราชวังชั้นสาม ซึ่งดูจะเป็นชั้นบนสุด เริ่มชมตั้งแต่ด้านซ้ายมาขวาของพระราชวัง ผ่านชมราว ๆ สิบห้อง มีเฟอร์นิเจอร์หลากหลาย แบบหลุยส์ แบบจีน ฉากกั้นจีน การวาดภาพบนผนังหลังคาด้านในใช้เทคนิคพิเศษวาดขณะที่ปูนกำลังมาด ๆ มีห้องลับเข้าออกของนางสนมกำนัลและข้าราชบริพารในวัง ห้องพักผ่อน ห้องรับรอง ห้องบรรทม ดูน่าสนใจ มีภาพเขียนแสดงบุคคลสำคัญ อาทิ พระนางมาเรีย อ็องตัวแน็ต ขณะทรงพระเยาว์ (มักจะสวมเดรสสีฟ้า) ภาพโมสาร์ทขณะยังวัยเยาว์ชมอุปรากร เป็นต้น แต่เมื่อได้สนทนากับ มร.อังเดรส์ ก็ทราบว่า บางภาพก็เป็นจินตนาการภายหลัง ถูกเสริมเติมแต่งขึ้น.
  • ด้วยความเห็นของผม และได้คุยกับ อะเล็กซ์ ไกด์ของเรา ก็ได้ความว่า พระราชวังเชินบรุนน์ ดูไม่อลังการเท่าไหร เมื่อเทียบกับพระราชวังแวร์ซาย (Château de Versailles) ของฝรั่งเศส (ซึ่งผมไม่เคยไป และจะหาโอกาสไปสักครั้งในเบื้องหน้า...ความอลังการของแวร์ซาย มาจากความเห็นของไกด์ และเพื่อนร่วมคณะอีกหลายท่านที่เคยได้ไปเยี่ยมชมมา)
  • ผมแวะซื้อของชำร่วย และซีดีเพลงคลาสิกของโมสาร์ทและคีตกวีของออสเตรียท่านอื่น ๆ ในห้องโถงสุดท้ายก่อนออกจากพระราชวังแห่งนี้. 
 



      
  • เวลาเหลือมากพอ ยังไม่เที่ยงดี คณะของเราก็พากันมาที่จุดเดิม ณ ถนนคาร์นท์เนอร์ (Karntner Strasse) เพื่อแวะซื้อข้าวของต่าง ๆ ให้สมกับความตั้งใจ
  • ผมหาอาหารจีน พวกหมี่ผัดทานแถว ๆ นั้น อร่อยดี ราคาไม่แพง แล้วแกร่วเดินชม เลือกซื้อของที่ตั้งใจ ร้านหนังสือ เครื่องเขียน ของที่ระลึก และเอาเสื้อฮู้ดที่ซื้อมาเมื่อวานมาเปลี่ยน เพราะขนาดใหญ่เกินไป ชมบ้านเมือง เข้าไปชมภายใน มหาวิหารสเตฟาน (Stephansdom) เห็นขอทานหน้าทางเข้าโบสถ์ ผมพิเคราะห์ อนุมานเองดูเหมือนแขก ผมดำ ดูท่าน่าจะเป็นพวกยิปซี (Gypsy) หรือพวกโรมัน (Romani people) เป็นชนเร่ร่อนในทวีปยุโรป ซึ่งยุโรปตะวันออกจะมีมากกว่าเพื่อน.
  • นั่งคุยสนทนาที่ร้านคอฟฟี่ชอฟบนริมถนนกับเพื่อน ๆ ในคณะ พอได้เวลา ก็รวมตัวกัน เดินลัดมาทางจุดนัดพบ เพื่อขึ้นรถบัส เยื้อง ๆ กับ สวนของโยฮัน สเตร้าส์ (Johann-Strauss Stadtpark) แล้วก็เดินทางสู่ท่าอากาศยานกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย.
  • เช็คอิน มาทำเรื่อง Tax Refund และทานอาหารว่างในสนามบิน พอได้เวลา คณะของเราก็ขึ้นเครื่อง มุ่งสู่กรุงโดฮา ประเทศกาต้าร์ต่อไป.

 
วันที่ 6: ศุกร์ 30 กันยายน 59 โดฮา - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 
01:15 น. เดินทางถึง โดฮา (Doha) ประเทศการ์ต้า เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่อง
02:10 น. เดินทางสู่ประเทศไทย โดยสายการบิน Qatar Airways เที่ยวบินที่ QR834 (DOH-BKK)
12:55 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ 
 
 
ที่มาและคำอธิบาย:
01. นอกจากนี้ ผมใช้หนังสือ "AUSTRIA" Eyewitness Travel ของสำนักพิมพ์ DK: Penguin Random House, Reprint 2016, พิมพ์ที่ประเทศจีน เป็นแหล่งอ้างอิงประกอบการท่องเที่ยวคราวนี้อีกด้วยครับ.
 
 
02. จาก. en.wikipedia.org/wiki/Wolfgang_Amadeus_Mozart, วันที่สืบค้น 9 กันยายน 2559.
03. จาก. th.m.wikipedia.org, วันที่สืบค้น 15 กันยายน 2559, ศิลปะแบบบาโรก หรือ บารอก (Baroque Architecture) เป็นสมัยหนึ่งของศิลปะตะวันตก ซึ่งเริ่มประมาณต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี บาโรกจะเน้นความเป็นนาฏกรรม ศิลปะจะแสดงความขัดแย้ง (tension) และความหรูหรา โอ่อ่า, ยุคบาโรกรุ่งเรืองขึ้นมาด้วยการสนับสนุนจากคริสตจักรโรมันคาทอลิก ด้วยลักษณะของศิลปะแบบบาโรกที่เด่นและแตกต่างจากสมัยอื่นคือ จะออกไปทางที่เรียกกันว่าอลังการ จะเต็มไปด้วยลวดลายประดิดประดอย สีจัด หน้าตารูปปั้นจะไม่จงใจให้เหมือนจริง แต่จะเน้นหน้าที่อิ่มเอิบเหมือนเทพ
คำว่า Baroque เป็นภาษาฝรั่งเศสซึ่งสันนิษฐานกันว่ามาจากคำว่า barroco ในภาษาโปรตุเกสโบราณซึ่งหมายถึงหอยมุกที่มีรูปร่างอ่อนไหวม้วนไปมา.
04. โวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart) เกิดที่ซาลซ์บูร์ก (Salzburg) หรือซาลส์บวก (27 มกราคม พ.ศ.2299 (ค.ศ.1756) - 5 ธันวาคม พ.ศ.2334(ค.ศ.1791)) นักประพันธ์ดนตรีคลาสิกชื่อก้องโลกชาวออสเตรีย Brilliant มาก ๆ แต่งเพลงที่ล้ำยุค นักประพันธ์รุ่นเดียวกันในราชสำนักตามไม่ทัน ได้แต่อิจฉา
 (“ซีเซียรี่” คีตกวีเอกประจำราชสำนักกรุงเวียนนา ผู้มีจิตริษยาโมซาร์ท) กีดกัน หากเทียบกับสมัยปัจจุบัน โมซาร์ท เป็นเด็กพั๊งค์ (Punk) ก็ว่าได้ เมื่ออายุหกขวบก็แต่งเพลงชิ้นแรกได้แล้ว มีหนังเรื่องหนึ่งเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว เรื่อง "Amadeus" กล่าวถึงช่วงชีวิตในราชสำนักซาลซ์สบูร์กของโมซาร์ท แสดงอัจริยภาพในการประพันธ์เพลงเสร็จได้รวดเร็ว บั้นปลายชีวิต มีข้อมูลที่แตกต่างและสับสน บ้างก็กล่าวว่าเขาตายอย่างอับเฉา ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย ร่างของเขาถูกหย่อนรวมไว้กับศพคนยากจนอื่น ๆ บ้างก็กล่าวว่าโมซาร์ทไม่ได้เป็นที่นิยมอีกต่อไป แต่ก็มีรายได้จากราชสำนัก ไม่มีหลักฐานว่าเขาจนเพราะรายจ่ายเกินรายรับ ฯ.
 
 
05. มนต์รักเพลงสวรรค์ (The Sound of Music), หนังที่ออกฉายในปี พ.ศ.2508 กำกับการแสดงโดย โรเบิร์ต ไวส์ (Robert Wise) ดารานำคือ จูลี่ แอนดรูว์ (Julie Andrews) แสดงเป็นมาเรีย (Maria) เด็กสาวหัวใจอิสระที่กำลังศึกษาเพื่อเป็นแม่ชีในโบสถ์นอนแบร์ก (Nonnberg Abbey) และคริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ (Christopher Plummer) แสดงเป็นกัปตันเรือ จีออก ฟอน ทรัพพ์ (Georg von Trapp) มนต์รักเพลงสวรรค์ เป็นเรื่องราวของพ่อม่ายลูกติดเจ็ดคน ทหารเรือที่รีไทร์จากกองทัพเรือของออสเตรีย06 ที่ถูกทหารนาซีบีบให้เข้ารวมในกองทัพเยอรมัน พอได้จังหวะก็ได้พาภริยามาเรียและลูกติด หนีโดยเดินข้ามภูเขา (Climb Ev'ry Mountain) โดยหนีในช่วงระหว่างการแสดงดนตรีและขับร้องที่มีทหารนาซีจับตาอยู่ ในฉากนี้มีเพลงประทับใจชื่อ เอลเดอร์ไวซ์ (Edelweiss) ซึ่งเป็นชื่อดอกไม้ประจำชาติออสเตรีย เนื้อเพลงพื้น ๆ แต่กินใจชาวออสเตรีย ให้นึกถึงมาตุภูมิ กร้าวแกร่งยืนหยัดต่อการกดดันของกองทัพนาซี ที่จะผนวกให้ชาวออสเตรียมาร่วมเข้ากองทัพด้วย.
 

Edelweiss

Edelweiss, Edelweiss
Every morning you greet me
Small and white, clean and bright
You look happy to meet me
Blossom of snow may you bloom and grow
Bloom and grow forever
Edelweiss, Edelweiss
Bless my homeland forever.

 
  06.  ทหารในช่วงรอยต่อยุคปลายของจักรวรรดิออสโตร-ฮังกาเรียน (Austro-Hungarian Empire ค.ศ.1867-1918) เดิม ที่มีดินแดนติดทะเลอเดรียติก (Adriatic Sea) โดยผนวกเอาราชอาณาจักรโครเอเทียและสลาโวเนีย (Kingdom of Croatia-Slavonia) เข้าไว้ด้วย.

แผนที่จักรวรรดิออสโตร-ฮังกาเรียน (ค.ศ.1867-1918) และ ตรา หรือ พระลัญจกร หรือ Coat of Arms แห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก จักรวรรดิออสโตร-ฮังกาเรียน
 
  07.  พระนางมาเรีย เทเรซ่า (Maria Theresa) จักรพรรดินี อาณาจักรโรมันอันศักดิ์ ราชินีแห่งเยอรมัน (Holy Roman Empress German Queen) พระนางเป็นจักรพรรดินีจากการอภิเษกสมรส  (กับดยุกฟรันซ์ที่ 3 สเตฟานแห่งลอแรน) ในยุคของพระนางถือได้ว่าทรงอำนาจที่สุดในทวีปยุโรป (ในระหว่าง 13 ก.ย. ค.ศ.1745-18 ส.ค. ค.ศ.1765) พระนางมีโอรสและธิดารวม 16 พระองค์ เป็นเจ้าเป็นศักดินากระจายทั่วทั้งยุโรป ธิดาองค์หนึ่งสำคัญคือ มาเรีย อ็องตัวเนีย ต่อมาเป็นราชินีแห่งฝรั่งเศส (อภิเษกกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16) 
พระนางเป็นประมุขหญิงองค์เดียวของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (House of Habsburg บ้างก็เขียนว่า Hapsburg) ในรอบ 650 ปี (ราชวงศ์นี้ปกครองออสเตรียและสเปน มากว่าหกศตวรรษ มีพระบรมวงศานุวงศ์ ปกครองเป็นเจ้าศักดินากระจายทั่วภาคพื้นยุโรป) และยังมีกระแสการเรียกร้องหวนคืนบัลลังก์ของเชื้อพระวงศ์อยู่เป็นระยะ ๆ ในปัจจุบัน.
  08.  พระนางมารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) ชื่อเดิมคือ Maria Antonia Josepha Johanna เป็นราชินีพระองค์สุดท้ายของฝรั่งเศส ก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolution) (ประสูติ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1755 ที่กรุงเวียนนา ออสเตรีย สิ้นพระชนม์ (โดย กิโยตีน "Guillotine") เมื่อ 16 ตุลาคม ค.ศ.1793 ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส)
  09.  พระราชวังเชินบรุนน์ (Schönbrunn Palace) เชินบรุนน์ แปลว่า น้ำพุอันสวยงาม (Beautiful spring), ตั้งอยู่ที่กรุงเวียนนา ออสเตรีย ในอดีตเป็นที่ประทับของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (Habsburg monarchs) ตั้งแต่ คริสต์ศตวรรษที่ 18 จนถึง พ.ศ.2461 ออกแบบโดย Johann Bernhard Fischer von Erlach และ Nicolaus Pacassi เป็นสถานที่รวบรวมผลงานทางศิลปะการตกแต่งชั้นเยี่ยมจำนวนมาก ภายในอุทยานเคยเป็นที่ตั้งของสวนสัตว์แห่งแรกของโลก เมื่อ พ.ศ.2295 ปัจจุบันได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก. พระราชวังนี้มี 1,441 ห้อง เป็นแบบบาโรก (Baroque) 

 
 
       ด้วยประวัติศาสตร์ทางศิลปะอันขมขื่น พระราชวังเชินบรุนน์แห่งนี้ ถูกกระทำย่ำยีจากโรมัน (The Ruin of Carthage, the Roman Ruin) เติร์ก จักรวรรดิออตโตมาน ถูกครอบครองโดยพันธมิตรเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นสำนักงานใหญ่ของเหล่าทหารอังกฤษ (The Headquarters for the small British Military Garrison) และเป็นที่ประชุมในช่วงสงครามเย็น (Cold war) ระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา "จอห์น เอฟ เคนเนดี้" กับนายกรัฐมนตรีแห่งสหภาพโซเวียต "นิกิต้า ครุชเชฟ" เมื่อปี ค.ศ.1961. 
 10. ทราบจากหัวหน้าทัวร์ว่า ซาลซ์บวร์ก แปลว่าเมืองเกลือ โดย Salz หมายถึงเกลือ (Salt) และ Burg หมายถึง เมือง โดยเมื่อก่อนนี้ เมืองในแถบแคว้น Salzburger Land รวมถึง Upper Austria บางส่วน ทำเกลือกัน ส่วน ซาลซ์บวร์กจะเป็นเมืองหน้าด่านคอยเก็บเงิน ซาลซ์บวร์กจะมั่งคั่งมาก เมืองทั้งเมืองก่อร้างสร้างตัวได้ก็เพราะเกลือ ทำให้หลาย ๆ รัฐในแถบบาวาเรีย และออสเตรีย ต่างยื้อแย่งกันครอบครองเป็นระยะ ๆ 
11. ตึกหลังคาทองคำ (Goldeness Dachl) เป็นสัญลักษณ์ของเมืองอินส์บรูค มีหน้าต่างที่ยื่นออกมาจากตึก (Oriel Window) ถูกสร้างขึ้นโดยผู้อาศัยเดิมในเมืองนี้ ราว ๆ ค.ศ.1500 ช่วงระหว่างสมัยพระเจ้าแมกซิมิเลี่ยน (Maximilian) จนถึงสมัยพระเจ้าฟรีดริชที่ 4 (Friedrich IV) มีกระเบื้องมุงหลังคาปูด้วยแผ่นทองแดง (Glided Copper) รวม 2,657 แผ่น

 
info@huexonline.com