MENU
TH EN

3. เหล่าทวยเทพโอลิมเปียนเที่ยวระรานชาวบ้าน

Title Thumbnail & Hero Image: มหาเทพซูส (จะมีร่างกายแข็งแรง โอ่อ่า และมีหนวดเครายาว), ที่มา: mysteriumacademy.com, วันที่เข้าถึง: 27 เมษายน 2566.
3. เหล่าทวยเทพโอลิมเปียนเที่ยวระรานชาวบ้าน01,02,03,04.
First revision: Apr.27, 2023
Last change: May 08, 2023
สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง และปริวรรตโดย
อภิรักษ์ กาญจนคงคา.

 
หน้าที่ 1
  • ซุสมีวัยเด็กที่งดงามบริเวณแถบเขาอิดา บนเกาะครีต ชื่นชมธรรมชาติกับเหล่านางไม้ (nymphs) และแซทอร์ (satyrs) เรียกรู้การต่อสู้กับพวกคูรีต (Kouretes) ที่มีเสียงดังโหวกเหวก เขาดื่มน้ำผึ้งและนมแพะที่มีเวทย์มนตร์ สุขเสรี ไม่ต้องเข้าเรียนในชั้นเรียนใด ๆ (แน่นอนว่าเกาะครีตไม่มีโรงเรียนแน่ ๆ ).
  • เมื่อซุสเติบใหญ่ขึ้นเป็นหนุ่มที่ดูดีทีเดียว มีผิวสีแทน พร้อมรูปร่างล่ำสันจากการใช้ชีวิตในป่าและภูเขา เขามีผมสั้นสีดำ มีเคราที่แต่งเล็มมาอย่างดี มีดวงตาสีดุจท้องนภายามไร้เมฆ ยามโกรธดวงตาก็จะขมุกขมัวเหมือนมีก้อนเมฆมาบดบังอย่างรวดเร็ว.

เรอา บ้างเรียก รีอา (Rhea)
  • แล้ววันหนึ่ง เรอาผู้มารดาก็ขับศึกเทียมสิงโตมาเยี่ยม. เธอได้วางแผนแก้แค้นโครนอสไว้นานแล้ว เธอกล่าวให้ซุสไปสมัครงานตำแหน่งคนรินเครื่องดื่มให้โครนอส แล้วคอยหาโอกาสโค่นบัลลังก์บิดาโครนอส แล้วขึ้นเป็นจ้าวแห่งเอกภพแทน.
  • ซุสตอบตกลง แต่ก็ยังกริ่งเกรงว่าราชาโครนอสจะจำตัวเขาได้ นางเรอาจึงอธิบายว่า "ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บรรดาพี่น้องของเจ้าได้เติบโตอยู่ในท้องของโครนอส เช่นเดียวกับเจ้า ป่านนี้พวกเขาคงจะเติบใหญ่กันแล้ว หมายความทั้งพวกเขาและเจ้าจะต้องมีพลังในการเปลี่ยนขนาดและรูปร่างเป็นแน่ เจ้าจะต้องทำให้ตัวเองเหมือนเทพเจ้าน้อยลง แต่ดูเหมือน...ไททัน (ที่ดูดิบ) มากขึ้นได้บ้างไหม".
  • ซุสครุ่นคิด เพราะทราบดีว่าตนเองนั้นแปลงร่างได้ เคยแปลงร่างเป็นหมี เคยวิ่งชนะแซทอร์เพราะแปลงร่างเป็นหมาป่า และจริง ๆ เขาสามารถแปลงร่างเป็นนกอินทรีได้ด้วย ตัวซุสเองก็สามารถแปลงร่างเป็นไททันได้ เพียงยังไม่เปล่งพลังอำนาจ และความรู้สึกรุนแรงและหยาบกร้านกว่าออกมา.
  • ซุส พร้อมแล้วที่จะไปสมัครงานเป็นคนรินเหล้าให้ราชาโครนอส.

วังของโครนอสเป็นหินอ่อนดำสนิท (Black Castle) บนเขาโอทริส (Mount Othrys).
  • พอซุสได้เห็นภูเขาโอทริส เขาก็ตกตะลึงในใหญ่โตโอฬาร หอคอยและป้อมปราการดูดำงดงามเป็นประกายแทงทะลุหมู่เมฆขึ้นไป ดุจนิ้วมือที่เอื้อมคว้าดวงดาวอย่างตะกละตะกลาม. ป้อมนี้มีจุดประสงค์เพื่อข่มขวัญ ดูโดดเดี่ยวและห่อเหี่ยว ไม่ใช่สถานที่สำเริงสำราญสำหรับการเป็นราชาเลย ซุสตัดสินใจว่าเขาจะต้องมีบ้านเป็นของตัวเอง มันจะต้องเยี่ยมยอดกว่าภูเขาโอทริสมาก เขาไม่เลือกสถานที่ที่ดูเป็น "เจ้าแห่งความมืด - Lord of Darkness" เสียมากกว่า วังของเขาจะต้องเจิดจ้าและสีขาวกระจ่างตา.

โครนอสกำลังกลืนลูก ๆ (Cronos or Cronus Swallows His Young), ที่มา: www.greekmythology.com, วันที่สืบค้น: 25 มกราคม 2560.
  • เรอาพาบุตรชายตนเข้าไปในท้องพระโรงที่ซึ่งราชากินคน (เด็ก) (Old King Cannibal) กำลังนอนงีบอยู่บนบัลลังก์. ด้วยโครนอสเป็นจ้าวแห่งกาลเวลา ทำให้เขาดูไม่แก่ชราร่วงโรย แต่ทว่าเขาดูอ่อนล้าและไร้ชีวิตชีวา. โครนอสน้ำหนักขึ้นเพราะดื่มกินมากไป แถมมีเทพเจ้าอยู่ในท้องตั้ง 5 องค์อีกต่างหาก (1. เฮสเทีย 2. ดีมิเทอร์ 3. เฮร่า 4. ฮาเดส และ 5. โพไซดอน).
  • เรอาพาซุสมาแนะนำตัวให้เป็นรินเหล้าให้ โดยโครนอสไม่เฉลียวใจหรือระแวงเลย ซึ่งซุสทำงานได้ดีเป็นที่โปรดปรานของโครนอส (เขาชงรินน้ำทิพย์ และเต้นร้องแบบเหล่านางไม้และแบบพวกคูรีต รวมทั้งการเล่าเรื่องตลกแบบสองแง่สามง่ามแบบพวกแซทอร์).
  • และแล้วเวลานั้นก็มาถึง ซุสผสมน้ำทิพย์สุดง่วงฝันดีราตรีสวัสดิ์ให้กับแขกเหรื่อ (อาทิ แอตลาส  ไฮเพอเรียน โคออส เป็นต้น) ส่วนโครนอสนั้น เขาเตรียมเครื่องดื่มน้ำทิพย์สุดวิเศษ01. ผสมมัสตาดเอาไว้ ซึ่งมีสรรพคุณแรงสุด ๆ .
  • ด้วยการคะยั้นคะยอ การวางแผนที่แยบคายของซุส ทุกคนในท้องพระโรงล้วนดื่มน้ำทิพย์ที่ซุสจัดเตรียมให้ ทำให้แขกเหรื่อง่วงเมามาย ส่วนโครนอสนั้นอาเจียรออกมาขนานหนัก เป็นการอ้วกอย่างเกรียงไกรจริง ๆ ทำให้เทพเจ้าห้าองค์ออกมาด้วย พร้อมหินเลอะเมือกลื่น ๆ อีกก้อนหนึ่ง ผนวกกับน้ำทิพย์ปริมาณมหาศาล เหล่าแขกที่มาในงานเลี้ยงพอตั้งสติได้บ้างก็ร้องเรียกทหารให้เข้ามาจับ บรรดาทหารยามก็กรูเข้ามาในท้องพระโรง ซุสก็แนะนำตัวแก่พี่ ๆ เบื้องต้นอย่างรวดเร็ว แล้วเทพทั้งหมดก็แปลงร่างเป็นอินทรีบินหนีออกจากเขาโอทริสทันที.
หมายเหตุ การขยายความ
01. บางตำนานของบทนี้กล่าวว่าซุสใช้ไวน์ แต่ก็ไม่ถูกต้อง เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครคิดไวน์ขึ้นมาเลย อาจจะกล่าวเทียบเคียงได้กับน้ำโสม ซึ่งมีแอลกอฮอล์ใช้ดื่มกันในอินเดียยุคก่อนพระเวทก็เป็นได้ รายละเอียดดูใน
ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 1.004 - ยุคพระเวท: บทสวดแห่งฤคเวท (ต่อ 1).

 
หน้าที่ 2
  • เทพเจ้าทั้งหกก็มารวมตัวกันที่รังลับของซุสบนภูเขาอิดา ซุสก็เล่าเรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกบ้างแก่บรรดาพี่ ๆ เทพเจ้าทั้งห้า พวกเขาทั้งหมดไม่สามารถที่จะอยู่บนเขาอิดากันได้นานนัก เพราะเหล่านางไม้ได้ยินข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วโลกว่า โครนอสส่งไททันออกค้นหาผู้หลบหนีกับแบบพลิกแผ่นดิน จะล่ามโซ่กลับหรือจะนำกลับไปแบบเป็นชิ้น ๆ ก็ได้.
  • เทพโพไซดอนเริ่มอึดอัด เริ่มไม่พอใจน้องเล็ก...หมายถึงซุสผู้จะผงาดขึ้นมาใหม่ ๆ นี่ละ ซุสก็คงคิดว่าเพราะตนเองช่วยเหลือคนอื่น ๆ แค่นี้เขาก็ควรจะเป็นผู้นำได้แล้ว. โพไซดอนก็เสนอว่า ก่อนอื่นพวกเทพต้องมีอาวุธไว้ต่อกรกับโครนอส แต่บรรดาเทพีองค์อื่น ๆ ก็คิดแปลกออกไปเช่น น่าจะทำสัญญาสงบศึกนะ (เฮสเทียเสนอ) เราน่าจะขโมยเคียวของโครนอสมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ นะ จากนั้นก็เอาเคียวมาเกี่ยวข้าวสาลีต่อไป (ดีมิเทอร์บอก) สักพักก็มีเสียงออกจากป่า 'ลูก ๆ ของเรา' มารดาเรอาก้าวเข้ามาในทุ่งโล่ง นางกอดบุตรธิดาด้วยความยินดี และแนะนำบุตรธิดาของนางว่าควรจะหาอาวุธมาต่อกรกับโครนอสได้จากไหน.
  • นางเรอา เล่าเรื่องพวกร้อยมือและไซคลอปส์อาวุโส ผู้ซึ่งถูกโครนอสเนรเทศไปยังทาร์ทารัสเป็นครั้งที่สอง เรอากล่าว: "พวกร้อยมือเป็นช่างหินที่เก่งกาจ พวกเขาสร้างวังให้โครนอส พวกเขาแข็งแรงและเกลียดชังโครนอส ส่วนไซคลอปส์อาวุโสนั้น พวกเขาเป็นช่างตีเหล็กที่มีพรสวรรค์ ถ้าจะมีใครที่สามารถตีอาวุธอันทรงพลังยิ่งกว่าเคียวของบิดาเจ้าขึ้นมาได้ มันก็ต้องเป็นพวกไซคลอปส์นี่แหละ".
  • ฮาเดส ตาเป็นประกายเมื่อมีการกล่าวถึงทาร์ทารัส เขาชอบอกชอบใจกับการดำดิ่งไปยังส่วนลึกที่น่าสะพรึงกลัวนี้ ฮาเดสพบระบบถ้ำที่นำลงไปสู่นรกใต้พิภพ ฮาเดสดูจะมีพรสวรรค์ในเรื่องนี้ เขาพาพี่น้องล่องไปตามลำน้ำใต้พิภพที่ชื่อว่าแม่น้ำสติกซ์ (The Styx) จนกระทั่งแม่น้ำเทลงหน้าผาไปสู่ทาร์ทารัส เหล่าเทพทั้งหกก็แปลงร่างเป็นค้างคาว แล้วถลาบินดิ่งลงหุบเหว.

แม่น้ำสติกซ์, แกะสลักโดย Gustave Doré (พ.ศ.2404), ที่มา: wikimedia Commons, โดยผ่าน brewminate.com, วันที่เข้าถึง: 2 พฤษภาคม 2566.

 
  • ณ ก้นเหว เหล่าเทพก็พบกับภูมิทัศน์เสาหินที่อึมครึม เศษขยะสีเทา หลุมเพลิง และหมอกพิษ ในนั้นมีอสุรกายและจิตวิญญาณชั่วร้ายน่ากลัว เดินกันให้ว่อน ดูเหมือนว่าทาร์ทารัสนี้ มีจิตวิญญาณแห่งหุบเหวจะให้กำเนิดปฐมเทพจำนวนมาอยู่ในความมืดข้างล่างนี้มาตลอด และปฐมเทพเหล่านี้ก็ให้กำเนิดบุตรของตนเองอีกด้วย.

ทาร์ทารัส
  • เหล่าเทพทั้งหกก็บินผ่านกำแพงสัมฤทธิ์ที่มีปีศาจเดินตรวจตราไปทั่วได้แล้ว แต่ก็พบกับอสุรกายอันน่าสะพรึงกลัวที่สุดในทาร์ทารัสที่คอยดูแลนักโทษคนสำคัญ อสุรกายตนนี้ชื่อ นางแคมเป้ จากช่วงเอวขึ้นไปนางจะมีร่างเป็นมนุษย์เพศหญิง แต่มีผมเป็นงู ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปนางเป็นมังกรสี่ขา ขาแต่ละข้างมีงูไวเปอร์ยื่นออกมารวมแล้วหลายพันตัว เหมือนกระโปรงต้นหญ้า รอบเอวของนางมีหัวสัตว์ร้ายห้าสิบหัว อาทิ หมี หมูป่า ตัววอมแบ็ต ฯ หัวเหล่านั้นจะงับเขี้ยวตลอดเวลา ทั้งยังแผดเสียงคำราม สะบักของนางมีปีกหนังสีดำคู่ใหญ่งอกออกมาราวไดโนเสาร์หรือมังกรบินได้ หางแมงป่องนั้นก็แกว่งไกวและชุ่มไปด้วยพิษ.
  • เหล่าเทพเห็นนางแคมเป้ใช้แส้เพลิงเฆี่ยนไซคลอปส์อาวุโส และใช้หางแมงป่องต่อยพวกร้อยมือ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาไม่ทำหน้าที่ เหล่านักโทษไม่มีเวลาพัก ไม่มีอาหาร และน้ำดื่ม ไม่มีอะไรเลย ที่สำคัญคือไม่มีงานไหนเสร็จ...!!! เมื่อพวกร้อยมือสกัดหิน จัดนำบล็อกหินที่สกัดมาวางเรียงไว้สวยงาม แคมเป้ก็จะบังคับให้ทำลายทิ้ง เมื่อพวกไซคลอปส์กำลังจะตีอาวุธ โล่ หรือเครื่องมือธรรมดา แคมเป้จะยึดมันแล้วโยนลงไปในบ่อลาวา ที่แม็กมาเดือดปุด. ด้วยแส้และพิษที่หางของนาง ทำให้นางแคมเป้สามารถควบคุมเหล่าไซคลอปส์อาวุโสและพวกร้อยมือที่ถูกล่ามโซ่ที่เท้าไว้ได้. กอปรกับเหล่าไซคลอปส์อาวุโสเป็นพวกที่มีนิสัยอ่อนโยน แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะน่ากลัว พวกเขาเป็นนักสร้าง ไม่ใช่นักเลงสู้รบ.

แคมเป้ (Campe or Kámpē, Ancient Greek: Κάμπη), ที่มา: http://dragon-discourse.tumblr.com, วันที่เข้าถึง: 1 พฤษภาคม 2566.
  • ซุสสามารถแอบติดต่อไซคลอปส์ตนหนึ่งที่ชื่อ "บรอนเตส" ได้ สื่อสารกันจนกระทั่งตกลงไซคลอปส์อีกสองตนพร้อมช่วยเหลือด้วย (อาร์เจน กับ สเตอโรพีส) ตลอดจนพวกร้อยมือทั้งสาม (ไบรอาเรส คอตโตส และไกเยส) ที่จะช่วยกันแหกจากนรก และทำอาวุธให้แก่เหล่าเทพ โดยแบ่งกันแอบทำคนละส่วน แล้วประกอบกัน โดยไม่ให้นางแคมเป้สังเกตพบพิรุธ.
  • ไม่นานนัก หลังจากหลบนางแคมเป้ได้ บรอนเตส ก็ประกอบอาวุธเวทมนตร์โยนให้ซุส มันดูเหมือนจรวดสัมฤทธิ์ความยาวประมาณสี่ฟุตที่มีปลายเรียวแหลมทั้งสองข้าง มือของซุสกำรอบจุดกึ่งกลางของมันได้พอดี ทันทีที่ยกอาวุธขึ้น ร่างของซุสก็สั่นสะท้านไปด้วยพลังงาน ปลายแหลมมีประกายสายฟ้าปะทุแปลบปลาบ กระแสไฟฟ้าวิ่งเป็นวงโค้งจากปลายด้านหนึ่งไปยังอีกปลาย ซุสเล็งอาวุธไปยังก้อนหินใหญ่อยู่ข้าง ๆ แล้วสายฟ้าหนึ่งพันเส้นก็ระเบิดหินเป็นจุณ.
  • ไม่นานนัก บรอนเตส ก็โยนอาวุธชิ้นที่สองมาให้ เป็นหอกปลายแหลมสามง่าม หรือ ตรีศูล (Trident) โพไซดอนก็รับเอาไว้ โพไซดอนชื่นชอบตรีศูลเล่มนั้นทันที เขารู้สึกถึงพลังแห่งพายุที่ม้วนวนอยู่ภายในตรีศูล พอเพ่งจิตแล้วพายุทอร์นาโดจิ๋วก็พุ่งออกมาจากปลายแหลมทั้งสาม มันหมุนเร็วขึ้นและกลายเป็นลูกใหญ่ขึ้นตามกระแสจิตที่โพไซดอนใส่เข้าไป พอเขาปักหอกลงพื้น พื้นพสุธาก็สั่นสะเทือนเกิดรอยแยก.

มหาเทพโพไซดอน ทรงถือตรีศูล ยืนบนเทียมม้าทะเล, โมเสก ศิลปะกรีโค-โรมัน, จากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติบาร์โด, ที่มา: www.theoi.com, วันที่เข้าถึง: 7 พฤษภาคม 2566.
  • สักพัก บรอนเตสก็โยนชิ้นที่สามให้มา ฮาเดสรับมันไว้...มันเป็นหมวกสัมฤทธิ์ที่เงางามเป็นประกาย ประดับลวดลายมีฉากแห่งความตายและการทำลายล้าง เมื่อฮาเดสสวมมัน ร่างของเขาจะหายวับ หมวกนี้จะช่วยให้เขาหายตัวได้ และแผ่คลื่นแห่งความหวาดผวาออกมาจากหมวก.
  • เหล่าเทพีประกอบด้วย เฮสเทีย ดีมิเทอร์ และเฮร่า ต่างก็สูดจมูกฮึดฮัด บ่นทำนองว่าพวกตนไม่มีอาวุธกันเลย แต่ซุส ก็กล่าว 'ไม่ต้องห่วงดอกที่รัก เราจะปกป้องเจ้าเอง' บางทีบรอนเตส อาจจะมีเวลาตีอาวุธให้เทพสาว ๆ แต่ตอนนั้นนางแคมเป้ ก็หันกลับมาพอดี บางทีนางอาจจะสังเกตเห็นควันจากสายฟ้าของซุส เห็นหมู่เมฆหมุนวนจากตรีศูลของโพไซดอน หรือไม่ก็สามารถจับคลื่นความกลัวในอากาศจากหมวกของฮาเดสได้.



ที่มา คำศัพท์ และคำอธิบาย:
01. อ้างอิงจาก. "เพอร์ซี่ แจ๊กสัน กับเรื่องเล่าของเหล่าเทพ (Percy Jackson's Greek Gods)" ที่เขียนโดย Rick Riordan แปลโดย ดาวิษ ชาญชัยวานิช สำนักพิมพ์เอ็นเธอร์บุ๊คส์ พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2559
02. อ้างอิงจาก. "Percy Jackson and The Greek Gods," Rick Riordan, Penguin Random House UK, 2015.
03. อ้างอิงจาก. "The Iliad," แปลโดย Robert Fagles สำนักพิมพ์เพนกวิน, Penguin Classics Deluxe Edition USA., พิมพ์ครั้งที่ 51, 1998.

04. อ้างอิงจาก. "The Odyssey," แปลโดย Robert Fagles สำนักพิมพ์เพนกวิน, Penguin Classics Deluxe Edition USA., พิมพ์ครั้งที่ 54, 1996.
info@huexonline.com