MENU
TH EN

02B-1. บรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ 1

ภาพบรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ พัฒนาเมื่อ 6 ตุลาคม 2567.
02B-1. บรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ 1
First revision: Oct.6, 2024
Last change: Aug.11, 2025
สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง แปล และปริวรรตโดย
อภิรักษ์ กาญจนคงคา.
1.
หน้าที่ 1
   ไทย - ภาพ (ถ้ามี)  สันสกฤต-โรมัน-อังกฤษ  ศาสนา/สำนักแนวคิด  รายละเอียด
  ฤๅษีไชยมิณิ หรือ ไชมิณิ  जैमिनि - Jaimini  มีมางสา - मीमांसा  - Mīmāṁsā  ท่านประพันธ์มีมางสา สูตร (मीमांसा सूत्र - Mīmāṁsā Sūtra - MS.) ราวพุทธศักราชที่ 243-343 (หรือก่อนคริสต์ศักราชที่ 300-200) ท่านเป็นหนึ่งในปราชญ์คนสำคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูโบราณ ท่านเป็นหนึ่งในศิษยานุศิษย์ของมหาฤๅษีวยาส ผู้ประพันธ์ มหาภารตยุทธ, ผู้เสนอและพัฒนาปรัชญาภูรวะ มีมางสา (ภูรวะ หรือ ปุรวะ Purva แปลว่า มีมาก่อน หรือทิศตะวันออก)
   อาทิ ศังกราจารย์
 
ที่มา: https://devdutt.com, วันที่เข้าถึง: 6 ต.ค.67
 Śaṁkara, आदिशङ्कर - Adi Shankara  อไทวตะ เวทานตะ  ท่านกำเนิดที่เมืองคาลาดี อาณาจักรเชระ ประมาณ พ.ศ.1343 หรือ ค.ศ.ที่ 8 บ้างก็ว่า ราว ค.ศ.788 - 820 หรือ พ.ศ. 1331 - 1363 อนิจกรรมที่เมืองเคดาร์นาท อาณาจักรกูรจะระ-ประทิหระ ประมาณ พ.ศ.1393 หรือ ค.ศ.750 เป็นปราชญ์และนักเทววิทยา ผลงานของท่านส่งผลกระทบอย่างมากต่อหลักคำสอนของอไทวตะ เวทานตะ ท่านได้ก่อตั้งสี่อาราม (Mathas) ซึ่งเชื่อกันว่าได้ช่วยพัฒนาฟื้นฟูประวัติศาสตร์ การขยายแนวคิดด้านอไทวตะ เวทานตะ. ท่านเป็นนักปราชญ์ที่โดดเด่นของศาสนาฮินดู นับถือกันว่าเป็นองค์อวตารของพระศิวะ (Śiva หรือ Shiva) ท่านเป็นผู้ประพันธ์คัมภีร์ปุราณะ และคัมภีร์เวทานตะ (Vedanta) อรรถาธิบายลัทธิเวทานตะ และเป็นผู้กำเนิด ลัทธิอไทวตะ เวทานตะ (Advaita Vedanta) ท่านได้รับเกียรติ เป็นผู้รวบรวมและจัดตั้งแนวความคิดหลักของศาสนาฮินดู ด้วยงานเขียนเป็นภาษาสันสกฤต ถกถึงความเป็นหนึ่งเดียวของอาตมัน (Atman) และ พรหมันที่ไม่จำต้องประจักษ์ (Nirguna Brahman) เป็นพรหมันที่ไร้รูปแบบและคุณลักษณะใด ๆ (Brahman without form or qualities หรือ Brahman without attributes), ที่มา: http://www.encyclopedia.com/religion/dictionaries-thesauruses-pictures-and-press-releases/sakara และ th.wikipedia.org/wiki/ศังกราจารย์, วันที่สืบค้น 4-8 พฤษภาคม 2560.
   พระมหาวีระ, พระมหาวรรธมานะ
 
 महावीर - Mahāvīra  เชน (जैन - Jain)  รายละเอียดดูในศาสนาเชน
   สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
 बुद्ध - Lord Buddha  พุทธ (Buddhism)  รายละเอียดดูใน พระพุทธศาสนา และ A04. สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า.
   เกาฏิลยะ  कौटिल्य - Kauṭilya    บ้างก็เรียก จาณักยะ (चाणक्य - Cāṇakya) บ้างก็เรียก วิษณุคุปต์ (विष्णुगुप्त - Viṣṇugupta) ราว พ.ศ.174-261 (87 ปี) (หรือ ประมาณ 370-283 ปีก่อนคริสตกาล) ท่านกำเนิดทางใต้ของอินเดีย อสัญกรรมที่เมืองปาฏลีบุตร เป็นปราชญ์และเป็นพระอาจารย์ที่ปรึกษาของพระเจ้าจันทรคุปต์ แห่งจักรวรรดิเมารยะ ต่อมาได้เป็นที่ปรึกษาของพระเจ้าพินทุสาร โอรสของพระเจ้าจันทรคุปต์ในเวลาต่อมา และเป็นผู้สนับสนุนพระเจ้าอโศกมหาราชในการขึ้นครองราชย์ ผลงานที่สำคัญ อรรถศาสตร์ (अर्थशास्त्र - Arthaśāstra) และ จาณักยนีติ (Cāṇakyaniti).
   มหาฤๅษีกฤษณะ ไทวปายนะ วฺยาส
 
ภาพจาก: www.mygodpictures.com, วันที่เข้าถึง 18 ธันวาคม 2565.
 व्यास - Vyās หรือ कृष्ण द्वैपायन वेदव्यास - Kṛṣṇa Dvaipāyana Vedavyāsa    ท่านเป็นโอรสของนางสัตยวดี กับ ฤๅษีปราศร และคลอดตรงบริเวณเกาะกลางแม่น้ำยมุนามีชื่อเต็มว่า กฤษณะ ทไวปายณะ เวทวฺยาส (कृष्ण द्वैपायन वेदव्यास - Kṛṣṇa Dvaipāyana Vedavyāsa) แปลว่าผู้มีผิวคล้ำ (कृष्ण - Kṛṣṇa - ดำ) เกิดบนเกาะ (द्वीप - Dvīpa - ทวีป) แห่งแม่น้ำยมุนา (यमुना नदी) นั่นเอง และ อายน (อา+ยานะ - आयन - āyana) แปลว่า การมาถึงหรือการเกิด การเข้าไปสู่ (ราศี) ต่อมาเปลี่ยนเป็น วฺยาส แล้วออกบวชตามบิดาอยู่ในป่าหิมาลัย ต่อมานางสัตยวดีผู้เป็นมารดาได้ให้ไปทำนิโยคกับมเหสีม่ายของวิจิตรวีรยะ น้องชายต่างบิดา จึงต้องหลับนอนกับมเหสี ทั้งสองและนางกำนัลอีก 1 คน จนมีโอรสคือท้าวธฤตราษฎร์ ท้าวปาณฑุ และท้าววิทูร ต่อมาโอรสของท้าวธฤตราษฎร์ และท้าวปาณฑุแย่งบัลลังก์กันและล้มตายจำนวนนับล้าน ท่านฤๅษีเกิดความรันทด จึงต้องการบอกเล่าเรื่องราวของลูกหลาน ที่ฆ่าฟันกันเอง จึงเชิญพระคเณศมาเขียน เป็นที่มาของมหาภารตยุทธ, ที่มา: th.wikipedia.org, วันที่สืบค้น 11 กุมภาพันธ์ 2560,
   คุรุ เคาฑปาทะ อาจารย
 गौडपाद - Gauḍapāda  อทไวตะ เวทานตะ - Advaita Vedanta  ท่านมีจริยวัตรปรากฎโลดแล่นราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 หรือคริสต์ศตวรรษที่ 8 เป็นคุรุคนแรกในสายปรัชญาฮินดูของสำนักอทไวตะ เวทานตะ (Advaita Vedanta) เชื่อกันว่าท่านเป็นคุรุผู้ยิ่งใหญ่ของอาทิ ศังกราจารย์ (Adi Śaṁkara) ผู้เป็นบุคคลสำคัญที่สุดคนหนึ่งในปรัชญาฮินดู เชื่อกันว่าท่านเป็นผู้ก่อตั้ง Shri Gaudapadacharya Math และเป็นผู้ประพันธ์หรือผู้รวบรวม Māṇḍukya Kārikā คุรุ เคาฑปาทะ อาจารย ได้เขียนหรือรวบรวม Māṇḍukya Kārikā หรือที่รู้จักในชื่อ Gauḍapāda Kārikā และ Āgama Śāstra
   รามานุชะ หรือ ศรีรามานุชาจารย์
 रामानुज - Rāmānuja  หรือ Sri Ramanujacharya  วิศิษฎาทไวตะ - Viśiṣṭādvaita Vedanta  และเป็นผู้นำที่สำคัญของลัทธิศรีไวษณพ สัมประทายะ (and the foremost Jeeyar of Sri Vaishnava Sampradaya) ท่านกำเนิดที่เมืองศรีเปรัมบูดูร์ (ปัจจุบันคือเมืองทมิฬ นาดู) อาณาจักรโชละ อินเดียใต้ 25 เมษายน พ.ศ.1560 หรือ ค.ศ.1017 อนิจกรรมที่เมืองศรีรันคัม อาณาจักรโชละ พ.ศ.1680 หรือ ค.ศ.1137 สิริ 120 ปี ท่านเป็นปราชญ์อินเดีย นักปฏิรูปสังคม และพัฒนาหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดของประเพณีด้านศรีไวษณพนิกายของศาสนาฮินดู รากฐานทางปรัชญาของท่านเป็นข้อคิดทางวิญญาณที่มีอิทธิพลต่อขบวนการภักติ (Bhakti Movement). (ดูเพิ่มเติมใน ที่มา คำศัพท์ และคำอธิบาย ข้อ 03 ข.บทนำ: ภควัทคีตา).

     อาจารย์ของท่านรามานุชะคือยาดาว ประกาศ (यादव प्रकाश - Yādava Prakāśa) ซึ่งเป็นปราชญ์ที่กล่าวกันว่าเป็นผู้นับถือลัทธิอทไวตะ เวทานตะ แต่มีแนวโน้มว่าจะเป็นลัทธิย่อยเภทาเภทะ (भेदाभेद - Bhedābheda - difference and non-difference) ประเพณีของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูถือว่ารามานุชะไม่เห็นด้วยกับครูบาอาจารย์ของท่านและลัทธิอทไวตะ เวทานตะที่ไม่เป็นทวิภาวะ แต่กลับเดินตามรอยเท้าของลัทธิทมิฬ อาลวาร์ (Āḻvār - นักบวชและกวีทางใต้ของภารตะ ซึ่งอุปถัมภ์ลัทธิภักติ) ปราชญ์นาธมุนี (नाथमुनि - Nathamuni) และยมุนาจารย์ (यमुनाचार्य - Yamunāchārya) รามานุชะมีชื่อเสียงในฐานะผู้สนับสนุนหลักของสำนักวิศิษฎาทไวตะ เวทานตะ และสาวกของเขาอาจเป็นผู้ประพันธ์ตำราต่าง ๆ เช่น ศาฏยายนียะ อุปนิษัท (शाट्यायनीय उपनिषत् - Śāṭyāyanīya Upaniṣad) ท่านรามานุชะเองก็เขียนตำราที่มีอิทธิพล เช่น สันสกฤตภาสยะ เกี่ยวกับพรหมสูตร และภควัทคีตา.
   ศรี มาธวาจารย์ หรือ มาธวะอาจารย์
 माध्वाचार्य - Mādhava หรือ Madhvācārya  ไทวตะ เวทานตะ หรือทวินิยม  มาธวะ แปลว่า ผู้นำมาซึ่งฤดูใบไม้ผลิ ท่านถือกำเนิดบนชายฝังตะวันตกของรัฐกรณาฎกะ พ.ศ.1781 หรือ ค.ศ. 1238 และอนิจกรรมใน พ.ศ.1860 บ้างก็ว่า พ.ศ.1821 (หรือ ค.ศ.1317 บ้างก็ว่า ค.ศ.1278). ท่านเรียกปรัชญาของท่านว่าตัตวาทะ (तत्त्ववाद - Tattvavāda) ซึ่งหมายถึง "การโต้แย้งจากมุมมองของความสมจริง"  ในวัยรุ่น ท่านเป็นสันยาสี ร่วมกับคุรุอัชยุตเปรกษะ (Achyutapreksha) แห่งพรหมสัมปทายะแห่งนิกายเอกาทัณฑิ (Brahma-sampradaya of the Ekadandi order) ท่านมาธวะศึกษาปรัชญาคลาสสิกของศาสนาฮินดูและเขียนคำอธิบายเกี่ยวกับอุปนิษัทหลัก ภควัทคีตา และพระพรหมสูตร (ปราศธานตรัย, the Brahma Sutras (Prasthanatrayi)) และมีผลงานเป็นภาษาสันสกฤตถึง 37 ชิ้น ผลงานที่สำคัญของท่านคือ สรรพทรรศนะสังเคราะห์ (सर्वदर्शनसंग्रह - Sarvadarśanasaṁgraha) สไตล์การเขียนของท่านสั้นและกระชับมาก ผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของท่านคืออนุวักยัญญะ (Anuvyakhyana) ซึ่งเป็นส่วนเสริมทางปรัชญาของภาสยะของท่านเกี่ยวกับพระพรหมสูตรที่แต่งขึ้นด้วยโครงสร้างเชิงกวี ในผลงานบางชิ้นของท่าน ท่านประกาศตนเองว่าเป็นอวตารของวายุ บุตรของพระวิษณุ
   วิชญาณภิกษุ  विज्ञानभिक्षु  - Vijñānabhikṣu เวทานตะ, สาขยะ และโยคะ นำไปสู่ นีโอ เวทานตะ  ปราชญ์ฮินดูจากรัฐพิหาร บ้างก็ว่าท่านเป็นชาวเบงกอล ท่านมีชีวิตอยู่ระหว่าง พุทธศตวรรษที่ 21-22 หรือราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 ท่านได้ให้คำแนะนำในสำนักต่าง ๆ ของปรัชญาฮินดู โดยเฉพาะได้อรรถาธิบายเกี่ยวสำนักแนวคิดด้านโยคะของปตัญชลิฤๅษี การรวมเป็นหนึ่งเดียวของปรัชญาเวทานตะ โยคะ และสางขยะ. ท่านได้รับการพิจารณาว่ามีอิทธิพลอย่างสำคัญต่อการเคลื่อนไหวด้านปรัชญาเวทานตะใหม่ในยุคปัจจุบัน.
   มหาฤๅษีปตัญชลิ
 पतञ्जलि - Patañjali โยคะสูตร  ท่านถือกำเนิดราว 200-150 ปีก่อนคริสตกาล ผลงานอันยิ่งใหญ่ของมหาฤษีท่านนี้ ที่มีต่ออารยธรรมมนุษย์คือผลงานชิ้นเอกของท่าน “โยคะสูตร” ซึ่งประกอบไปด้วยพระสูตรหรือหลักคำสอน 196 ประการ ซึ่งกล่าวถึง “ศาสตร์แห่งจิต” พระสูตรโยคะของปตัญชลีเป็นรากฐานของราชาโยคะ หรือเส้นทางแห่งการทำสมาธิเพื่อเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า ระบบโยคะที่ท่านสอนเป็นกุญแจสำคัญสู่ความศักดิ์สิทธิ์ภายในตัวมนุษย์ และสามารถเรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงของศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ
   กณาทะ บ้างก็เรียก กรณาทะ
कणाद - Kaṇāda  ไวเศษิกะ (वैशेषिक - Vaiśeṣika) กณาทะ (เรียกอีกอย่างว่า อุลลูกา, กัศยปะ, กัณภักษะ หรือ กัณภุช) เป็นนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติชาวอินเดียโบราณ ถือเป็นผู้ก่อตั้งสำนักหรือทรรศนะไวศษิกะแห่งปรัชญาอินเดีย และมักถูกเรียกว่า "บิดาแห่งทฤษฎีอะตอม"
   กปิลมุณี หรือ ฤๅษีกปิละ
 कपिल - Kapila  สางขยะ (सांख्य -Sāṃkhya)  ท่านเป็นฤๅษีในตำนานที่ “เชื่อกันว่าเป็นผู้ก่อตั้งระบบแนวคิดสางขยะ” แม้ว่านักวิชาการสมัยใหม่จะถือกันเป็นเอกฉันท์ว่าเป็นปราชญ์ในตำนานก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว ท่านมักถูกยกย่องว่าเป็นผู้ประพันธ์สางขยาสูตร ซึ่งโดยไม่ต้องสงสัยเลย คัมภีร์เล่มนี้ถูกรวบรวมขึ้นในภายหลัง ในส่วนของวรรณกรรมอายุรเวช ร่องรอยของฤๅษีกปิลนั้นค่อนข้างหายาก สางขยะ-กปิละ ถูกกล่าวถึงในบทเริ่มต้นที่ 10, Ādī 10 ในจรคะ-สังหิตา-สูตรธานะ 26.8 (Caraka-saṃhitā Sūtrasthāna 26.8) ในการอภิปรายเกี่ยวกับการจำแนกประเภทของรสนิยม
   ภาสกราจารย์ หรือ ภาสกระ หรือ ภัสการยาจารย์

 ที่มา: deshpee.com, วันที่เข้าถึง: 6 ก.ค.2568
 भास्कर - Bhāskara หรือ भास्कराचार्य -  Bhāskarāchārya  นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์  มีชีวิตระหว่าง พ.ศ. 1657-1728 หรือ ค.ศ.1114-1185 ท่านเป็นนักคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของภารตะในยุคกลาง ผลงานด้านพีชคณิต หรือ ภาสกรที่ 2 ท่านเกิดในรัฐกรณาฏกะ และถือเป็นบรรพบุรุษของแคลคูลัสเชิงอนุพันธ์ - 500 ปี ก่อนนิวตันและไลบนิซเสียอีก..!!! ภาสการาจารย์เขียนบทความคณิตศาสตร์เป็นภาษาสันสกฤตอย่างน้อย 4 บทความ หนึ่งในนั้นมีชื่อว่าลีลาวดี (Leelavati) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับพีชคณิตมากมาย ซึ่งกลายเป็นหัวข้อการวิจัยที่สำคัญของนักวิชาการ บทความเหล่านี้มีลักษณะเป็นโศลกซึ่งตั้งคำถามเกี่ยวกับปัญหา โศลกต้องได้รับการตีความอย่างถูกต้องเพื่อถอดรหัสความหมายเพื่อค้นหาคำตอบ. (ข้อมูลส่วนใหญ่แปลจาก https://lifechanginglessonsandstories.quora.com, วันที่เข้าถึง 6 กรกฎาคม 2568.)
   ชยันตะ หรือ ชยันตะ ภัฏฏะ

ภาพนี้วาดโดย Ravi Dhar, ที่มา: autarmota.blogspot.com, วันที่เข้าถึง: 6 ก.ค.2568.
 
 जयन्त - Jayanta หรือ जयन्त भट्ट - Jayanta Bhaṭṭa นยายะ  ท่านมีชีวิตระหว่าง พ.ศ.1363-1443 หรือ ค.ศ.820-900 ที่เมืองศรีนาคาร์ ท่านเป็นนักประพันธ์บทกลอนชาวแคชเมียร์ (แคชมีริ - Kashmir) เป็นครู นักตรรกะ และที่ปรึกษาของกษัตริย์ ท่านศึกษางานของกุมาริละไว้มากและละเอียด แห่งสำนักมีมางสา. ท่านเป็นปราชญ์ในสำนักปรัชญานยายะ.
   มัทสุธาณะ สรสวตี
 मधुसूदन सरस्वती -Madhusūdana Sarasvatī  อไทวตะ เวทานตะ  (ราว ค.ศ.1540-1640 หรือ ราว พ.ศ.2083-2183) ท่านกำเนิดและถึงแก่กรรมที่เบงกอล เป็นปราชญ์ในลัทธิอทไวตะ เวทานตะ และท่านอุทิศตนแด่พระกฤษณะ.

ปรสธานภีทะ (प्रस्थानभेद - Prasthānabheda) เป็นงานเขียนสำคัญของมหาคุรุมัทสุธาณะ สรสวตี กล่าวถึงประเด็นในการบูรณาการระบบศาสนาและปรัชญาต่าง ๆ ภายในกรอบแนวคิดด้านพระเวท ดังนั้นจึงถือเป็นงานเก่ากาลด้านแนวคิดเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู.
   อุทยนะ หรือ อุทัยนะ หรือ อุทัยนาจารย์

ที่มา: x.com, วันที่เข้าถึง: 27 พ.ค.2568
 उदयन - Udayana หรือ उदयनाचार्य -  Udayanācārya  นยายะ  ปราชญ์และนักตรรกวิทยาภารตะที่สำคัญ ท่านถือกำเนิดที่หมู่บ้าน Kariyan เมืองมถิลา (ปัจจุบันคือพิหาร ภารตะ) ในช่วง พ.ศ.1518-1593 (ค.ศ.975-1050) ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ปรัชญานยายะ ท่านพยายามประสานมุมมองที่ยึดถือดดยสำนักตรรกะนยายะ และไวเศษิกะ ซึ่งกลายมาเป็นรากฐานสำคัญของสำนัก Navya-Nyāya
ที่พยายามคิดค้นเทววิทยาที่มีเหตุผลเพื่อพิสูจน์การดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยงานภาษาสันสกฤต นยายะกุสุมาญชลิ (न्यायकुसुमाञ्जलि - Nyāyakusumāñjali of Udayanācārya) แสดงให้เห็นถึงใช้ตรรกะและการตอบโต้ กับการกล่าวโจมตีถึงการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า (นั้นดำรงอยู่จริงหรือไม่) โดยปราชญ์ด้านพระพุทธศาสนา เช่น พระภิกษุธรรมกีรติ (धर्मकीर्ति - Dharmakīrti) และ พระภิกษุญาณศรี (ज्ञानश्री - Jñānaśrī) และรวมทั้งต่อต้านสำนักวัตถุนิยมของอินเดีย (चार्वाक - จารวาก - Chārvaka).
   มัคส์ มึลเลอร์
 
ที่มา: sriramakrishna.in, วันที่เข้าถึง 27 พฤศจิกายน 2564.
 Max Müller (Friedrich Max Müller)    นักอักษรศาสตร์ และนักบูรพคดีศึกษา ชาวเยอรมัน (6 ธันวาคม พ.ศ.2366 - 28 ตุลาคม พ.ศ.2443) ซึ่งพระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) เรียกท่านว่า "โมกษะมูลาจารย์", ที่มา: ส.ธรรมยศ จากหนังสือ "REX SIMEN SIUM หรือ พระเจ้ากรุงสยาม" หน้าที่ 23 สำนักพิมพ์ศรีปัญญา, นนทบุรี, พิมพ์ครั้ง พ.ศ.2563  
   บาทรายณะ  बादरायण - Bādarāyaṇa  เวทานตะ  ปราชญ์ภารตะที่มีชีวิต (ประมาณไว้กว้าง ๆ ) ระหว่างพุทธศักราชที่ 43-343 หรือราว 500-200 ปีก่อนคริสตกาล ท่านเขียนงานด้านพรหมสูตร ที่ต่อมางานของท่านเรียกว่า เวทานตะสูตร – มีนักวิชาการบางท่านกล่าวว่า แต่งานส่วนสำคัญในพรหมสูตรนั้น ได้พัฒนาไว้แล้ว ก่อนที่ปราชญ์บาทรายณะจะเขียนขึ้นต่อเติมภายหลัง อย่างไรก็ตามท่านก็ได้รับการยกย่องว่าได้เขียนงานพื้นฐานของระบบเวทานตะไว้.
หากศึกษาจากปุราณะ (ภาควตะ ปุราณะ) และอิติหาสแล้ว ท่านเป็นที่รู้จักในนาม วยาสเทวะ (व्यासदेव - Vyāsadeva) ท่านได้ถือกำเนิดจาก ปราศระ มุนี (पराशर मुनि - Parāśara Muni) โดยผ่านครรภ์ของนางสัตยวตี (सत्यवती - Satyavatī) ท่านมีบุตรคนหนึ่งชื่อ ศุขเทวะ โกสวามี (शुकदेव गोस्वामि - Śukadeva Gosvāmī) และมีน้องชายคนหนึ่งชื่อ วิจิตรวีรยะ (विचित्रवीर्य - Vicitravīrya). 
   หริภทรา หรือ หริภัทรา หรือ อาจารย หริภัทรา ซุริ
Haribhadra, ที่มา: thestupa.com, วันที่เข้าถึง 6 ธันวาคม 2564.
 हरिभद्र - Haribhadra หรือ आचार्य हरिभद्र सूरि - Acharya Haribhadra Sūri  เชน นิกายเศวตัมพร  ท่านเป็นนักพรตผู้นำขอพรในศาสนาเชน นิกายเศวตัมพร ท่านมีชีวิตในช่วง พ.ศ.1002-1072 หรือราว ค.ศ.459-529 บ้างว่าคริสต์ศตวรรษที่ 8 (ยังมีข้อขัดแย้งเรื่องวันเกิด). ท่านยังคงมีชื่อเสียงในฐานะผู้เขียน "หนึ่งพันสี่ร้อยงานประพันธ์ - Fourteen Hundred Prabandhas" และดูเหมือนว่าท่านจะเป็นหนึ่งในปราชญ์กลุ่มแรก ๆ ที่นำภาษาสันสกฤตมายังวรรณกรรมเชิงวิชาการของศาสนาเชน นิกายเศวตัมพร. ด้วยหกระบบนี้ บรรดาพราหมณ์ได้เข้าใจถึงมีมางสา สางขยะ และโยคะ นยายะ และไวศษิกะ ได้มากขึ้น. ในอีกมุมหนึ่งนั้น หริภทราได้แสดงอรรถาธิบายภายใต้นิกายปรัชญาเหล่านี้ไว้สั้นมากในแปดสิบเจ็ดโศลก แต่ค่อนข้างเป็นกลางในหลักการสำคัญของพุทธมากะ ผู้นับถือเชน และศิษยานุศิษย์ของปรัชญานยายะ ท่านประพันธ์หนังสือไว้หลายเล่มด้านโยคะ ศาสนาเปรียบเทียบ ได้แก่ผลงานชื่อ โยคะทฤษฎีสามัคยาจารย์ (योगदृष्टिसमुच्चाय - Yogadṛṣṭisamuccaya) โดยได้สรุปวิเคราะห์ทฤษฎีของชาวฮินดู พุทธมามกะ และผู้นับถือเชนไว้.
1.
2.
หน้าที่ 2
   ไทย - ภาพ (ถ้ามี)  สันสกฤต-โรมัน-อังกฤษ  ศาสนา/สำนักแนวคิด  รายละเอียด
   กุมาริละ หรือ กุมาริละภัฏฏะ  कुमारिलभट्ट 
Kumārila Bhaṭṭa
 มีมางสา  ท่านมีชีวิตโลดแล่นประมาณ พ.ศ.1243 หรือ ค.ศ.700 สถานที่เกิดของท่านเป็นท่านถกเถียง บ้างก็ว่าภารตะตอนใต้ บ้างก็ว่าทางเหนือ บ้างก็ว่ามาจากรัฐอัสสัม บ้างก็ว่ามาจากเมืองมถิลา (ปัจจุบันคือพิหาร ภารตะ), ท่านเป็นปราชญ์สำนักปรัชญามีมางสา จากภารตะในยุคกลางตอนต้น ท่านมีชื่อเสียงมากจากงานนิพนธ์ต่าง ๆ เกี่ยวปรัชญาสำนักมีมางสา นักวิชาการบางท่านระบุว่า ปรัชญาของท่านถูกจัดอยู่ประเภทลัทธิสัจนิยมเชิงอัตถิภาวนิยม (Existential realism).
   ศรีธระ หรือ ศรีธระ อาจารยะ
 
ที่มา: https://x.com/desi_thug1/status/1590898621452804097, วันที่เข้าถึง: 5 ก.ค.2568.
 श्रीधर  - Śrīdhara หรือ श्रीधर आचार्य  - Śrīdhara Ācāryya  ปราชญ์ด้านคณิตศาสตร์  ท่านมีชีวิตในช่วง พ.ศ.1413-1473 หรือ ค.ศ.870-930 ท่านถือกำเนิดแถบเบงกอลตะวันตก เป็นนักคณิตศาสตร์ บัณฑิตด้านภาษาสันสกฤต และนักปรัชญา ท่านเป็นที่รู้จักจากงานเขียนหลักสองเรื่อง ได้แก่ ตรีสัตกะ (Trisatika - 300) (บางครั้งเรียกว่า Patiganitasara - ปฏิญญานิตสาร) และปาฏิหาริย์ (เบงกาลี: পাটীগণিত - Pāṭīgaṇita) ซึ่งเขียนขึ้นด้วย 300 โศลก ดังนั้นงานหลักของท่านคือ ปาฏิหาริย์นิตสาร จึงมีชื่อว่า ตรีสัตกะ หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงการนับจำนวน จำนวนธรรมชาติ ศูนย์ การวัด การคูณ เศษส่วน การหาร กำลังสอง ลูกบาศก์ กฎสาม การคำนวณดอกเบี้ย ธุรกิจหรือหุ้นส่วนร่วมกัน และการวัด (ส่วนหลักของเรขาคณิตที่เกี่ยวข้องกับการระบุขนาด ความยาว พื้นที่ และปริมาตร) ผลงานอีกสามชิ้นที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานของท่าน ได้แก่ พีชคณิต (Bījaganita) นวสาติ (Navasatī) และพฤหัทปติ (Bṛhatpati.) งานที่มีชื่อเสียงของท่านให้คำอธิบายเกี่ยวกับศูนย์ ท่านเขียนว่า "หากนำศูนย์ไปบวกกับตัวเลขใด ๆ ผลรวมก็จะเป็นตัวเลขเดิม หากนำศูนย์ไปลบกับตัวเลขใด ๆ ผลรวมก็จะเป็นตัวเลขเดิม หากนำศูนย์ไปคูณกับตัวเลขใด ๆ ผลคูณก็จะเป็นศูนย์" ในกรณีของการหารเศษส่วน ท่านค้นพบวิธีการคูณเศษส่วนด้วยส่วนกลับของตัวหาร ท่านเขียนเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้พีชคณิตในทางปฏิบัติ ท่านแยกพีชคณิตออกจากเลขคณิต ท่านเป็นคนแรกที่เสนออัลกอริทึมสำหรับการแก้สมการกำลังสอง (แม้ว่าจะไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าท่านพิจารณาวิธีแก้ปัญหาสองวิธีก็ตาม).
   วากัสปติ มิศระ บ้างก็เรียก วาจัสปติ มิศระ

ภาพจาก: https://artsandculture.google.com/asset/vacaspati-misra/3gGDRT6aNo0NuQ, วันที่เข้าถึง 22 กุมภาพันธ์ 2565
 वाचस्पति - Vācaspati หรือ वाचस्पति मिश्र Vācaspati Miśra อทไวตะ เวทานตะ  ท่านถือกำเนิดที่เมืองมถิลา (ปัจจุบันคือพิหาร ภารตะ) พุทธศตวรรษที่ 14-15 หรือ คริสต์ศตวรรษที่ 9-10 และอนิจกรรมในพุทธศตวรรษที่ 14-15 หรือ คริสต์ศตวรรษที่ 9-10 ท่านเป็นปราชญ์ภารตะ พราหมณ์-ฮินดู ลัทธิอไทวตะ เวทานตะ ท่านได้ประพันธ์ถึงหมวดสาขาต่าง ๆ ของปรัชญาภารตะอย่างกว้างขวาง จนท่านเป็นที่รู้จักในนาม "ระบบหนึ่งที่ทุกระบบเป็นของตัวเอง - One for whom all systems are his own" หรือในภาษาสันสกฤตคือ सर्वतन्त्रस्वतन्त्रम् - Sarva-tantra-sva-tantra, มิศระท่านเป็นปราชญ์ที่สมบูรณ์พร้อม งานเขียนของท่านมีมากมายรวมทั้ง ภาษยะ (भाष्यः - bhāṣya - ข้อคิด - commentaries), ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง 10 มกราคม 2564. 
   รฆุนาถ หรือ ราฆุนาถ หรือ ราฆุนาถ ศิโรมานี  रघुनाथ -  Raghunātha หรือ रघुनाथ शिरोमणि - Raghunātha Śiromaṇi  นยายะ  ท่านมีชีวิตอยู่ในช่วง พ.ศ.2020-2090 หรือ ค.ศ.1477-1547 แถบเบงกอลตะวันตก ท่านเป็นนักปรัขญาแบะนักตรรกศาสตร์ภารตะ ท่านได้เป็นถึงหัวหน้าสำนักศึกษาหรืออธิการบดีมหาวิทยาลัยที่เมืองมิถิลาโบราณ (ปัจจุบันอยู่ที่รัฐพิหาร) ที่ชื่อว่า มิถิลาวิทยาพีธ (मिथिला विद्यापीठ - Mithilā Vidyapeeth) ท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์ที่มีชื่อเสียง ท่านได้พัฒนาสำนักปรัชญาขึ้นใหม่ ในกลุ่มแนวคิดปรัชญานยายะ ชื่อว่า นวยะ นยายะ (नव्य न्याय - Navya Nyāya - ยุคใหม่ - New Era) อันมีแนวคิดว่าสำนักปรัชญานี้เป็นตัวแทนของการพัฒนาขั้นสุดท้ายของตรรกะอย่างเป็นทางการของภารตะ ไปสู่จุดสูงสุดของพลังการวิเคราะห์.
   โคตมะ มหาฤๅษี
 गौतम महर्षि - Gautama Maharishi  พระเวท-นยายะ - Nyāya  ท่านเป็นปราชญ์ฮินดู และมีการกล่าวอ้างถึงทั้งในศาสนาเชน และพุทธศาสนา ท่านได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในเจ็ดปราชญ์ฤๅษีที่ยิ่งใหญ่ {One of the Saptarishis -สัปตะฤๅษี (Seven Great Sages Rishi)}, นยายะศาสตร์ (Nyāya-śāstra) นำไปสู่ความจริงแท้ รายละเอียดดูในสัปตะฤๅษี หน้าที่ 3 ของ Sub-Block นี้.
         
   สายณะ หรือ สายณาอาจารยะ
 ที่มา: Hindu Online, วันที่เข้าถึง: 8 สิงหาคม 2568.
 सायण - Sāyaṇa หรือ सायणाचार्य - Sāyaṇācārya  มีมางสา  ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.1930 (ค.ศ.1387) เป็นปราชญ์ในสำนักปรัชญาสันสกฤตมีมางสา ท่านได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับพระเวท มีงานด้านการแพทย์ จริยธรรม ดนตรี และไวยกรณ์.

  ท่านเป็นผู้ประพันธ์อรรถกถาพระเวทอันเลื่องชื่อที่สุด คือ เวทรรถปรากาศ (वेदार्थ प्रकाश - Vedārtha Prakāśa - ‘แสงสว่างแห่งความหมายของพระเวท’) กล่าวกันว่าท่านเคยเป็นทั้งนายพลและเสนาบดีในสมัยกษัตริย์วิชัยนครในคริสต์ศวรรษที่ 14 และเป็นน้องชายของศรีมาธวะ อาจารยะ มุขมนตรีแห่งแคว้นอไทวติน นอกจากอรรถกถาพระเวทอันลือลั่นของท่าน ซึ่งบางบทดูเหมือนจะเป็นการทำงานร่วมกับพี่ชายและลูกศิษย์ของท่าน หรือผลงานของนักวิชาการรุ่นหลังแล้ว ท่านยังได้รับการยกย่องว่ามีผลงานมากมายเกี่ยวกับวัฒนธรรมอินเดียในด้านอื่น ๆ อีกด้วย เช่น พิธีกรรม ไวยากรณ์ (व्याकरणम् - vyakāraṇa วยาการณ) อายุรเวท และวรรณกรรม
   มหาฤๅษี ทยานันท์ สรัสวตี
 दयानन्द सरस्वती - Dayānanda Sarasvatī  พระเวท  12 ก.พ. พ.ศ.2367 - 30 ต.ค.2426 กำเนิดที่รัฐคุชราช ภารตะ เป็นนักปรัชญาอินเดียแนวพระเวท เป็นผู้นำทางสังคม ผู้ก่อตั้งอารยสมาช (สมาคมขุนนางอารยัน) ซึ่ง ฯพณฯ ดร.สวรปัลลี ราธากฤษณัน เรียกท่านว่า ผู้สร้างอินเดียยุคใหม่ เทียบเท่ากับศรี อรพินโธ.

 ตลอด 15 ปีราว พ.ศ.2388 - 2403 (ค.ศ. 1845–60) ท่านได้เดินทางไปทั่วภารตวรรษ เพื่อแสวงหาสัจธรรมทางศาสนา และในที่สุดก็ได้เป็นศิษย์ของสวามีวีรชานันท์ (Swami Virajananda) แทนที่จะรับค่าครูตามปกติ ท่านได้ขอคำสัญญาจากดายานันท์หรือทยานันท์ (ชื่อที่ท่านใช้เมื่อครั้งบวชเป็นพระภิกษุ) ว่าจะอุทิศชีวิตเพื่อฟื้นฟูศาสนาฮินดูแบบพระเวท ที่เคยมีอยู่ก่อนยุคพุทธกาลในภารตะ.

 ท่านก็ส่งเสริมการปฏิรูปสังคมที่สำคัญหลายประการ เขาต่อต้านการแต่งงานในวัยเด็ก สนับสนุนการแต่งงานใหม่ของหญิงม่าย เปิดการศึกษาพระเวทให้กับสมาชิกทุกวรรณะและก่อตั้งสถาบันการศึกษาและองค์กรการกุศลหลายแห่ง อารยสมาชยังมีส่วนสำคัญในการปลุกจิตวิญญาณชาตินิยม ภารตะ ในยุคก่อนการประกาศเอกราช
   ออโรบินโด กอช (ศรี อรพินโธ โฆษะตระกูล)

ที่มา: pragyata.com, วันที่เข้าถึง 29 สิงหาคม 2564.
श्री औरबिन्दो - Sri Aurobindo หรือ Aurobindo Ghose. อไทวตะ เวทานตะ  ชาตะ: 15 สิงหาคม พ.ศ.2415 กัลกัตตา ภารตะ - อสัญกรรม:5 ธันวาคม พ.ศ.2493 ปูดูเชร์รี หรือ พอนดิเชอร์รี ภารตะ, ท่านเป็นภารตะโยคี มหาฤๅษี นักชาตินิยมภารตะ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Bande Mataram. กล่าวได้ว่าท่านเป็นมหาโยคียุคใหม่แห่งภารตะ.

 ท่านมีผู้ปฏิบัติร่วมทางจิตวิญญาณนามว่า Mirra Alfassa หรือผู้คนรู้จักเธอในนามมาเธอร์ (The mother).
วาทะ
"ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นบูรณาการ คือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแยกออกจากกันไม่ได้."
"สรรพสิ่งเริ่มเปลี่ยนธรรมชาติและลักษณะของมัน ประสบการณ์ทั้งหมดของบุคคลอันเกี่ยวเนื่องด้วยโลก แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง..มีวิธีการใหม่ อีกแบบหนึ่งซึ่งทั้งกว้างและลึกในการประสบ การเห็น การรู้ และการสัมผัสสิ่งทั้งหลาย."
"ครูมิใช่ผู้ได้แต่สั่ง และมิใช่เจ้านาย  แต่ครูคือผู้ช่วยและผู้แนะแนว มิใช่ผู้ยัดเยียด." ที่มา: 50kuru.weoneness.com, วันที่เข้าถึง: 10 สิงหาคม 2568.
   ราชา ราม โมฮัน รอย

ภาพเขียน ราชา ราม โมฮัน รอย, ที่มา: deccanherald.com, วันที่เข้าถึง 17 เมษายน 2565.
 
 Ram Mohan Roy พระเวท อุปนิษัท  ท่านเกิดเมื่อ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2315, เบงกอล อินเดีย - ถึงแก่กรรมเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ.2376, บริสตอล อังกฤษ) เป็นนักการศาสนา สังคม นักปฏิรูปการเมืองชาวอินเดีย เกิดในตระกูลพราหมณ์ที่มีชื่อเสียง ท่านท่องไปทั่วในขณะที่เยาว์วัย ได้เปิดเผยตัวตนต่อวัฒนธรรมต่าง ๆ และพัฒนามุมมองที่ต่างออกไปจากศาสนาฮินดู.

  ในปี พ.ศ.2346 ท่านได้เขียนแผ่นพับประณามการแบ่งแยกทางศาสนาและความเชื่อทางไสยศาสตร์ของอินเดีย และสนับสนุนศาสนาฮินดูแบบมีพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว. ท่านจัดให้มีการแปลคัมภีร์พระเวทและอุปนิษัทสมัยใหม่ เพื่อเป็นพื้นฐานทางปรัชญาตามความเชื่อของท่าน ได้สนับสนุนเสรีภาพในการพูดและการนับถือศาสนา และประณามระบบวรรณะและพิธีสัตตี (suttee - หรือ Sati ในภาษาสันสกฤต - เมื่อสามีถึงแก่กรรม ภรรยาที่ยังมีชีวิตต้องโดนเผาตายตกตามสามีด้วย). ในปี พ.ศ.2369 ท่านได้ก่อตั้งวิทยาลัยเวทานตะ และในปี พ.ศ.2371 ได้ก่อตั้งพราหมณ์สมาจ (หรือสมาคมพราหมณ์). ที่มา: britannica.com, วันที่เข้าถึง 14 เมษายน 2565. 
 
 ริชาร์ด การ์เบ
 
 Richard Karl von Garbe สางขยะ  นักเขียนชาวเยอรมัน (9 มีนาคม พ.ศ.2400 - 22 กันยายน พ.ศ.2470) ผู้เขียน Die Bhagavadgita ในภาษาเยอรมันและเขียนบทความใน Journal: The Monist เรื่อง "Christian Elements in the Bhagavadgita" วันเดือนปีที่พิมพ์ 1 ตุลาคม พ.ศ.2456.
1.
2.
หน้าที่ 3
สัปตะฤๅษี (सप्तर्षि - Saptaṛṣi - Seven Sages)

       สัปตะฤๅษี คือฤๅษีทั้งเจ็ดที่ได้รับการยกย่องในหลายคัมภีร์หรือบทสวดหรือบทประพันธ์ในพระเวทและวรรณกรรมฮินดู สังหิตาพระเวทไม่ได้ระบุชื่อฤๅษีเหล่านี้โดยตรง แม้ว่าในคัมภีร์พระเวทยุคหลัง ๆ เช่น คัมภีร์พราหมณ์ และคัมภีร์อุปนิษัท จะระบุไว้เช่นนั้นก็ตาม ฤๅษีเหล่านี้ได้รับการยกย่องในพระเวทในฐานะปรมาจารย์หรือมหาคุรุของศาสนาพระเวท.

       ลำดับรายชื่อสัปตะฤๅษีชุดแรก ได้แสดงอยู่ในคัมภีร์ไชยมินียะ พราหมณะ (जैमिनीयब्राह्मण - Jaiminīyabrāhmaṇa - มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 1 หรือก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 6) บรรพที่ 2 อัธยายะที่ 218-221:
สัปตะฤๅษี (Saptarishi): ฤๅษีวิศวามิตร (Vishvamitra) (top left), (ฤๅษีชมทัคนี) Jamadagni (top middle), ฤๅษีโคตมะ (Gautama) (top right), ฤๅษีวสิษฐ์ (Vasishtha) (in the middle, only one without a beard), ฤๅษีกัสยปะ (Kashyapa) (down left), ฤๅษีภัทรวาช (Bharadvaja) (down middle, in a yogic asana, upside down), ฤๅษีอัตริ (Atri) (down right). ฤๅษีปหริ (Pahari), from a Bandralta-Mankot  workshop; c. 1700. Government Museum and Art Gallery, Chandigarh, ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง: 15 มกราคม 2566.
1.
  1.  ฤๅษีวสิษฐ์
(वसिष्ठ - Vasiṣṭha -Vashista)


ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง: 20 กรกฏาคม 2568.
 ฤๅษีวสิษฐ์ (บฬ.- วาเสฎฐะ) เป็นฤๅษีผู้ทรงพระเวท ที่เก่าแก่และเป็นที่เคารพนับถือมากที่สุดตนหนึ่งในสัปตะฤๅษีของภารตะ ท่านได้รับยกย่องในฐานะหัวหน้าผู้ประพันธ์ มณฑล 7 ในยุคฤคเวท. ฤๅษีวสิษฐ์และครอบครัวของเขาถูกกล่าวถึงในกลอนสมัยฤคเวท มณฑป ฤคเวทอื่น ๆ และในตำราพระเวทมากมาย.

 โยควาสิษฐะ, วสิษฐสังหิตา มีเนื้อหาเช่นเดียวกับ อัคนิปุราณะและ วิษณุปุราณะ เป็นผลมาจากท่าน ท่านเป็นผู้ประพันธ์ตำนานมากมาย เช่น เรื่องที่ท่านมีวัวศักดิ์สิทธิ์ชื่อ กามเธนุ (कामधेनु - Kāmadhenu) หรือ สุรภี (सुरभि - Surabhi หรือ सुरभी - Surabhī) - เป็นมารดาแห่งโคทั้งปวง เป็นโคที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้เจ้าของ และนันทินีลูกของนางโค ท่านมีชื่อเสียงในตำนานของชาวฮินดู ว่าด้วยเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างท่านกับฤๅษีวิศวามิตร ซึ่งปรากฎในมหากาพย์รามายณะ, ท่านเป็นปุโรหิตประจำตระกูลของราฆุวงศ์ และเป็นอาจารย์ของพระรามและพระอนุชาอีกสามคนของพระราม.
  2.  ฤๅษีภรัทวาช (भरद्वाज - Bharadvāja)

ที่มา: en.bharatpedia.org, วันที่เข้าถึง: 21 ก.ค.2568.
 ท่านได้รับการเคารพนับถือในภารตะโบราณ ท่านเป็นปราชญ์ นักเศรษฐศาสตร์ นักไวยากรณ์ และแพทย์ผู้มีชื่อเสียง ท่านเป็นหนึ่งในสัปตะฤๅษี.

 ผลงานของท่านในวรรณกรรมภารตะโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฤคเวท ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับสังคมภารตะโบราณ ท่านและครอบครัวลูกศิษย์ของท่านถือเป็นผู้ประพันธ์ฤคเวทเล่มที่หก. ส่วนในมหากาพย์มหาภารตะ ฤๅษีภรัทวาชหรือภารทวาชนั้น เป็นบิดาของครู (คุรุ) โทรณาจารย์ ผู้เป็นอาจารย์ของเหล่าภารดาปาณฑพและเหล่าเจ้าชายเการพ. ท่านยังถูกกล่าวถึงใน ชารกะ สังหิตา (चरक संहिता - Charaka Samhita - Caraka-Saṃhitā) ซึ่งเป็นตำราแพทย์โบราณอันทรงคุณค่าของภารตะอีกด้วย.
  3.  ฤๅษีชมทัคนี (जमदग्नि - Jamadagni)
 คำว่าชมทัคนี มีความหมายว่า "ผู้ที่เปล่งประกายดุจเปลวเพลิง" หรือ "ผู้ที่เรืองรองด้วยแสงแห่งปัญญา" ท่านเป็นบุตรของฤๅษีฤจิก (ऋचीक - Ṛcīka) กับนางสัตยาวดี (सत्यवती - Satyavatī). ท่านสมรสกับนางเรณุกา (रेणुका - Reṇukā) ท่านมีบุตรหลายคน คนสุดท้องคือพระราม (राम - Rāma) หรือ ปรศุราม (परशुराम - Paraśurāma) ซึ่งเป็นนารายณ์อวตารปางที่ 6, ท่านเป็นหนึ่งในสัปตะฤๅษี ในมันวันตระปัจจุบัน (मन्वन्तर - Manvantara) ซึ่งคือมันวันตระที่ 7 ช่วงเวลาของพระมนูไววัสวัต รายละเอียดดูในหน้าที่ 5 ของ คัมภีร์ปุราณะ 1. ท่านมีความเชี่ยวชาญในพระคัมภีร์ต่าง ๆ ตลอดจนการใช้อาวุธต่าง ๆ แม้จะไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมอย่างเป็นทางการก็ตาม.
  4.
 ฤๅษีโคตมะ (गौतम - Gautama)

ที่มา: gotras.com, วันที่เข้าถึง: 23 ก.ค.2568.
 ท่านเป็นหนึ่งในสัปตะฤๅษี ในมันวันตระปัจจุบัน (मन्वन्तर - Manvantara) ซึ่งคือมันวันตระที่ 7 ช่วงเวลาของพระมนูไววัสวัต (वैवस्वत मनु - Vaivasvata Manu) รายละเอียดดูในหน้าที่ 5 ของ คัมภีร์ปุราณะ 1. ในมันวัตระนี้ พระอินทร์เป็นผู้ปราบอสูร.

 ท่านเป็นผู้ประพันธ์ธรรมสูตรที่รู้จักกันในชื่อ โคตมะธรรมสูตร (गौतम धर्म सूत्र - Gautama Dharma sutra) อันที่จริงแล้ว ธรรมสูตรนี้ถือเป็นธรรมสูตรที่เก่าแก่ที่สุด ประกอบด้วย 28 บท พร้อม 1,000 คติพจน์ ครอบคลุมเกือบทุกแง่มุมของการปฏิบัติธรรมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งรวมถึงกฎของอาศรม (आश्रम - Āśrama) ทั้งสี่ สี่สิบสังสการะ (संस्कार - Saṃskāra - พิธีกรรมชำระล้างสำหรับผู้ครองเรือน) วรรณะ (वर्ण - Varṇa) ทั้งสี่ หน้าที่ของกษัตริย์ การลงโทษสำหรับความผิดต่าง ๆ พิธีศพผู้ล่วงลับ สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในการบริโภคอาหาร ธรรมะของสตรี กฎของปรายศจิตตะ (प्रायश्चित्त - Prāyaścitta - การชดใช้บาป - atonement for sins) และกฎการสืบทอดทรัพย์สิน ในแง่นี้ ธรรมศาสตร์ของโคตมะอาจถือได้ว่าเป็นคัมภีร์กฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก.

 ท่านมหาฤๅษีโคตมะ ท่านเป็นที่รู้จักในฐานะผู้หยั่งรู้ในบทสวด หรือ 'มนตราธร-มันตรทรษฏา {मन्त्रद्रष्टा - mantradraṣṭā - ชาวฮินดูโดยทั่วไปเชื่อว่าพระเวทไม่ได้ถูกแต่งขึ้นโดยมนุษย์ เชื่อกันว่าพระเจ้าสอนพระเวทแก่เหล่าฤๅษี หรือไม่ก็ถูกเปิดเผยแก่ฤๅษีผู้เป็น “ผู้หยั่งรู้” (มนตราธร) ในบทสวด}' ท่านเป็นบุตรของฤๅษีราหุคณะ (रहूगण - Rahūgaṇa - หนึ่งในฤๅษียุคฤคเวท บ้างก็ว่าราหุคณะเป็นกษัตริย์พระองค์หนึ่ง) ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากอังคิรสะ (अङ्गिरस् - Aṅgiras - เป็นหนึ่งในเจ็ดที่เกิดจากจิตของพระพรหม) ท่านเป็นศิษฐ์ของฤๅษีปูลาหะ (पुलह - Pulaha หรือ Pulaaha) ท่านมีบุตรสองคน คือ วามเทวะ (वामदेव - Vāmadeva - เป็นผู้แต่งมณฑลที่ 4 ใน ฤคเวท และมีการกล่าวถึงท่านในพฤหทารัณยกะและไอตเรยะ อุปนิษัท) และโนธัส (नोधस् - Nodhas - เป็นมุนีในยุคฤคเวท) ซึ่งทั้งสองบุตรชายเป็นผู้ค้นพบมนตรา ส่วนภริยาของท่านคือนาง อหัลยา (अहल्या - Ahalyā) ซึ่งเป็น “ธิดาที่เกิดจากจิต” (मनसा पुत्री - มานัสบุตรี - mānasa putri) ของพระพรหมผู้สร้าง.
  5.
 ฤๅษีอตริ (अत्रि - Atri)

ภาพพระราม พระลักษมณ์ และนางสีดาเข้าเยี่ยมฤๅษีอตริ นางอนสูยา (अनसूया - Anasūyā - ภริยาฤๅษีอตริ) พูดคุยกับนางสีดา, ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง: 24 กรกฎาคม 2568.
 ท่านเป็นกวีและนักปราชญ์ในตำนาน และเป็นหนึ่งใน 9 ประชาบดี (प्रजापति - Prajāpati - เหล่าผู้สร้างโลก) และเป็นโอรสของพระพรหม เชื่อกันว่าเป็นบรรพบุรุษของพราหมณ์ ประชาบดี กษัตริย์ และแพศย์บางกลุ่มที่นับถือฤๅษีอตริเป็นโคตร. ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้แต่ง โศลก มากมายเพื่อถวาย แด่พระอัคนี พระอินทร์ และเทพ พระเวท องค์อื่น ๆ ใน ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และท่านเป็นผู้ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดใน ฤคเวทฤๅษีอตริเป็นสัปตะฤษี ในมันวันตระปัจจุบัน (मन्वन्तर - Manvantara) ซึ่งคือมันวันตระที่ 7 ช่วงเวลาของพระมนูไววัสวัต รายละเอียดดูในหน้าที่ 5 ของ คัมภีร์ปุราณะ 1. ท่านเป็นผู้หยั่งรู้ในมณฑล (บท) ที่ 5 ของฤคเวท. ภริยาของฤๅษีอตริคือนางอนสูยา (अनसूया - Anasūyā) ท่านเป็นบิดาของฤๅษีทุรวาส (ดูหน้าที่ 5 ของบล็อกนี้) พระโสม (सोम - Soma) และพระทัตตาเตรยะ (दत्तात्रेय - Dattātreya) อ้างถึง ภาควตะ ปุราณะ บรรพที่ 9 อัธยายะที่ 14 โศลกที่ 3.
  6.  ฤๅษีวิศวามิตร
(विश्वामित्र - Viśvāmitra)

ภาพเขียนฤๅษีวิศวามิตร จิตรกรคือ Raja Ravi Varma, ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง: 26 กรกฎาคม 68.
 พรหมฤษีวิศวมิตร (ब्रह्मर्षि विश्वामित्र -Brahmarshi Viśvāmitra) เป็นหนึ่งในฤษีหรือนักปราชญ์ที่ได้รับการเคารพนับถือมากที่สุดในสมัยโบราณของภารตะ ท่านยังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ประพันธ์ฤคเวท มณฑลหรือบทที่ 3. ส่วนใหญ่ รวมถึงมนตราคายตรี {गायत्री मंत्र - Gāyatrī Mantra - เป็นมนต์สวดอุทิศแด่พระสวิตฤ - सवितृ - Savitṛ - ทวยเทพแห่งแสงอาทิตย์ - God of the Sunrays (Member of Adityas)} รายละเอียดดูในปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 1.004 - ยุคพระเวท: บทสวดแห่งฤคเวท (ต่อ 1) หน้าที่ 81  คัมภีร์ปุราณะระบุว่ามีฤษีเพียง 24 รูปนับตั้งแต่สมัยโบราณที่เข้าใจความหมายทั้งหมดของมนตราคายตรี และด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้ใช้พลังทั้งหมดของมนตราคายตรี เชื่อกันว่าท่านเป็นพระมนตราองค์แรก และฤๅษียาชญวัลกยะ (याज्ञवल्क्य - Yājñavalkya) เป็นพระมนตราองค์สุดท้าย.

 ฤๅษีวิศวมิตรเป็นกษัตริย์ภารตะโบราณ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเกาศิกะ (कौशिक - Kauśika - "ผู้สืบเชื้อสายจากกุศะ - Kuśa") พระองค์ทรงเป็นนักรบผู้กล้าหาญและเป็นเหลนของกษัตริย์องค์ยิ่งใหญ่นามกุศะ เรื่องราวของพระองค์ยังปรากฏในคัมภีร์ปุราณะหลายเล่ม แต่อาจมีบางส่วนที่ดัดแปลงมาจากรามายณะ วิษณุปุราณะ (विष्णु पुराण - Viṣṇu Purāṇa) และหริวงศ์ (हरिवंश - Harivamśa) บทที่ 27 ราชวงศ์อมาวสุ (अमावसु वामसा - Amaavasu vamśa) ของมหาภารตยุทธ เล่าถึงการประสูติของราชาวิศวมิตร.
  7.  ฤๅษีอคัสตยะ (अगस्त्य - Agastya)

รูปแกะสลักหิน ฤๅษีอคัสตยะ, พบที่รัฐพิหาร ภารตะ มีอายุราว พ.ศ.ที่ 17-18 หรือ ค.ศ.ที่ 12, ที่มา: simple.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง: 26 ก.ค.2568

 
 ฤๅษีอคัสตยะ หรือ อคัสติมุนี หรือ ฤๅษีปราบมาร เป็นฤๅษีชาวภารตะผู้เป็นที่เคารพนับถือในศาสนาพราหมณ์- ฮินดู ในภารตะประเพณี ท่านเป็นฤๅษีที่มีชื่อเสียงและเป็นปราชญ์ผู้ทรงอิทธิพลในภาษาต่าง ๆ ของภารตวรรษ ในบางประเพณี ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นพระจิรัญชีวี (चिरञ्जीवि - cirañjīvi - มีชีวิตนิรันดร์) ท่านและนางโลปามุทรา (लोपामुद्रा - Lopāmudrā) ภรรยาของท่าน เป็นผู้ประพันธ์บทสวดที่มีชื่อเสียงตั้งแต่บรรพที่.อัธยายะที่ 1.165 ถึง 1.191 ในคัมภีร์ฤคเวทภาษาสันสกฤต และวรรณกรรมพระเวทอื่น ๆ ฤๅษีอกัสตยะถือป็นบิดาแห่งการแพทย์ของสิทธะหรือสิทธะ ไวทยะ (सिद्ध वैद्य - Siddha Vaidya - Siddha medicine) ชื่อของท่านปรากฏในอิติหะสะและปุราณะมากมาย รวมถึงรามายณะและมหาภารตยุทธ ท่านเป็นหนึ่งในสัปตะฤๅษี ที่ได้รับการเคารพนับถือมากที่สุดในคัมภีร์พระเวท และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสิทธฤทธิของชาวทมิฬในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไศวนิกาย (the Tamil Siddhar in the Shaivism tradition)
1.
2.
หน้าที่ 4
       ลำดับรายชื่อ สัปตะฤๅษีชุดที่สอง ตามที่ปรากฎในพฤหทารัณยกะ อุปนิษัท (बृहदारण्यक उपनिषद् - Bṛhad-āraṇyaka Upaniṣad) บรรพที่ 2 อัธยายะที่ 2 โศลกที่ 6 มีความแตกต่างกับชุดแรกเล็กน้อย มีรายละเอียดดังนี้
 
  1. ฤๅษีโคตมะ (गौतम - Gautama)  รายละเอียดดูหน้า 3 ข้างต้น
  2.  ฤๅษีภรัทวาช (भरद्वाज - Bharadvāja)  รายละเอียดดูหน้า 3 ข้างต้น
  3.  ฤๅษีวิศวามิตร (विश्वामित्र - Viśvāmitra)  รายละเอียดดูหน้า 3 ข้างต้น
  4.
 ฤๅษีชมทัคนี (जमदग्नि - Jamadagni)
 รายละเอียดดูหน้า 3 ข้างต้น
  5. ฤๅษีวสิษฐ์  (वसिष्ठ - Vasiṣṭha -Vashista)  รายละเอียดดูหน้า 3 ข้างต้น
  6. ฤๅษีกัศยปะ (कश्यप - kaśyapa)

ประติมากรรมฤๅษีกัศยปะ ที่รัฐอานทระประเทศ ภารตะ, ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง: 27 กรกฎาคม 2568.

 
 ท่านเป็นหนึ่งในสัปตะฤๅษี ในมันวันตระปัจจุบัน (मन्वन्तर - Manvantara) ซึ่งคือมันวันตระที่ 7 ช่วงเวลาของพระมนูไววัสวัต รายละเอียดดูในหน้าที่ 5 ของ คัมภีร์ปุราณะ 1. ตามองค์ความรู้ที่ปรากฎในพระเวท ท่านเป็นบุตรของมาริจจี (मरीचि - Marīci  เป็นมนัสบุตรา หนึ่งในสิบ ที่เกิดจากจิตของพระพรหมผู้สร้าง) ท่านเป็นผู้ประพันธ์ กัศยปะ สังหิตา หรือ ชีวะกิยะ ตันตระ (जियाकी तन्त्रम् - Jiyakiya Tantra) ซึ่งเป็นคัมภีร์อ้างอิงคลาสสิกเกี่ยวกับอายุรเวท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาอายุรเวชศาสตร์ สูตินรีเวชศาสตร์ และสูติศาสตร์.

 ท่านฤๅษีกัศยปะเป็นบิดาของเหล่าเทพ อสูร นาค และมวลมนุษยชาติ ท่านได้สมรสกับเทวีอทิติ (अदिति - Aditi) ซึ่งท่านได้เป็นบิดาของของอัคนี (अग्नि - Agni) และอาทิตยา (
आदित्य - Ādityas) และที่สำคัญที่สุดคือ พระวิษณุเป็นอวตารองค์ที่ห้าเป็นวามนาวตาร, โอรสของอาทิตย์ ในมนวันตระองค์ที่เจ็ด พระองค์ได้ทรงให้กำเนิดทายาททั้งสองกับทิติ ธิติและทิติเป็นธิดาของพระเจ้าทักษ ประชาปติ (राजा दक्ष प्रजापति - King Daksha Prajapati) และเป็นพระขนิษฐาของพระแม่สตี (सति - Sati) พระชายาองค์แรกของพระศิวะ (เมื่อจุติแล้วเกิดใหม่เป็นพระปารวตี) ฤๅษีกัศยปะได้รับดินที่ได้มาจากการที่ปรศุรามพิชิตท้าวการตวีรยะ อรชุน (कार्तवीर्य अर्जुन - Kārtavīrya Arjuna) รายละเอียดดูใน หมายเหตุที่ 2 หน้าที่ 2(22) ของ 01.102 บรรพสังเคราะห์ บรรพ มหาภารตยุทธ และนับแต่นั้นมา ดินจึงเป็นที่รู้จักในนาม “กัศยพ่าย (Kashapai). -น่าจะหมายถึงท้าวการตวีรยะ อรชุนพ่าย...!!??”

 สันนิษฐานได้อย่างปลอดภัยว่ามีชื่อ "กัศยปะ" จำนวนมาก และชื่อก็บ่งบอกถึงฐานะ ไม่ใช่เพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น. 
  7. ฤๅษีอตริ (अत्रि - Atri)  รายละเอียดดูหน้า 3 ข้างต้น  
  8. ฤๅษีภฤคุ (भृगु - Bhṛgu)

ที่มา: alchetron.com, วันที่เข้าถึง: 27 กรกฎาคม 2568.
 ท่านเป็นฤๅษีในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นหนึ่งในสัปตะฤๅษีและเป็นหนึ่งในประชาบดี (प्रजापति - Prajāpati - เหล่าผู้สร้างโลก) จำนวนมากที่สร้างขึ้นโดยพระพรหม ท่านได้รวบรวมดาราศาสตร์ เชิงทำนายเป็นท่านแรก และยังเป็นผู้ประพันธ์ ภฤคุ สังหิตา (भृगु संहिता - Bhṛgu Saṃhitā - บทสรุปของฤๅษีภฤคุ - The Compendium of Bhrigu) ซึ่งเป็นตำราดาราศาสตร์ (ज्योतिष - ชโยติษ - jyotisha) ท่านฤๅษีภฤคุถือเป็นมนัสบุตร (मनसपुत्र - manasaputra - บุตรที่เกิดจิต) ของพระพรหม.

 รูปคำเวษณ์ของชื่อภฤคุ คือ ภารควะ (भार्गव - Bhārgava) ใช้เพื่อเรียกลูกศิษฐ์ของฤๅษีภฤคุ ตามที่ มนูสมฤติ (मनुस्मृति - Manusmṛti - หรือ मानवधर्मशास्त्र - มานวะ-ธรรมศาสตร์ - Mānava-Dharmaśāstra - กฎแห่งพระมนู) กล่าวไว้ ฤๅษีภฤคุเป็นอาศัยร่วมชาติเดียวและเป็นสหายของสายัมภูวะ มนู (स्वयम्भुव मनु - Svāyaṃbhuva Manu) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษหรือปรมาจารย์ของมนุษยชาติร่วมกัน.

 ภริยานางหนึ่งของฤๅษีภฤคุชื่อ ปูโลมา (पुलोमा - Pulomā) ซึ่งทั้งคู่ให้กำเนิดบุตรชาย จยวณะ (च्यवन - Chyavana หรือ च्यवान Cyavāna) - ท่านได้รับการอ้างอิงในฤคเวท และมีเรื่องราวของท่านและนางปูโลมา ในอุปบรรพปูโลมา อาทิบรรพของมหาภารตยุทธ {รายละเอียดเบื้องต้นดูใน A02.บทนำ: การจำแนกเนื้อหาโดยละเอียดในมหาภารตยุทธ (บรรพ - อัธยายะ - โศลก)}.
1.
2.
หน้าที่ 5
       ลำดับรายชื่อ สัปตะฤๅษีชุดต่อมา ตามที่ปรากฎในโคปาฐะ พราหมณะ {गोपथ ब्राह्मण - Gopatha Brāhmaṇa - เป็นคัมภีร์พราหมณ์เพียงเล่มเดียวที่เกี่ยวข้องกับอรรถรเวท เป็นคัมภีร์ที่เพิ่มเข้ามาในภายหลังในคัมภีร์พระเวท แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ปุรวะโคปาฐะ (Purva Gopatha) และอุตตรโคปาฐะ (Uttara Gopatha) เนื้อหานี้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับอรรถรเวท โดยเน้นที่พิธีกรรมและบทบาทของนักบวชพราหมณ์} บรรพที่ 1 อัธยายะที่ 2 โศลกที่ 8 มีรายละเอียดดังนี้
1.
  1. ฤๅษีวสิษฐ์  (वसिष्ठ - Vasiṣṭha -Vashista)  รายละเอียดดูหน้า 3 ข้างต้น
  2. ฤๅษีวิศวามิตร
(विश्वामित्र - Viśvāmitra)
 
 รายละเอียดดูหน้า 3 ข้างต้น
  3.  ฤๅษีชมทัคนี (जमदग्नि - Jamadagni)  รายละเอียดดูหน้า 3 ข้างต้น
  4.
ฤๅษีโคตมะ (गौतम - Gautama
 รายละเอียดดูหน้า 3 ข้างต้น
  5. ฤๅษีภรัทวาช (भरद्वाज - Bharadvāja)  รายละเอียดดูหน้า 3 ข้างต้น
  6. ฤาษีคังคุ (गुङ्गु - Guṅgu)  ท่านเป็นมนัสบุตรา (मनसा पुत्र - Mānasa Putra) หนึ่งในสิบที่เกิดจากจิตของพระพรหมผู้สร้าง (จากการสืบค้น ไม่มีรายละเอียดมากนัก)
  7. ฤๅษีอคัสตยะ (अगस्त्य - Agastya)  รายละเอียดดูหน้า 3 ข้างต้น
  8. ฤๅษีภฤคุ (भृगु - Bhṛgu หรือ Vrigu)  รายละเอียดดูหน้า 4 ข้างต้น
  9. ฤๅษีกัศยปะ (कश्यप - kaśyapa)  รายละเอียดดูหน้า 4 ข้างต้น
1.
2.

       นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงฤๅษีบางตนในภารตะปกรณัมที่เป็นสัปตะฤษีอีกดังนี้
1.
  1. ฤๅษีมรีจิ  (मरीचि - Marīci)

จิตรกรวาดไว้ราวพุทธศตวรรษที่ 24 หรือต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19, ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง: 27 กรกฎาคม 2568.
 มรีจี แปลว่า ลำแสง (A ray of light) ท่านเป็นมนัสบุตรา (मनसा पुत्र - Mānasa Putra) หนึ่งในสิบที่เกิดจากจิตของพระพรหมผู้สร้าง ถือกำเนิดในมันวันตระที่ 1 ช่วงเวลาของพระสวยัมภูมนู หรือ พระสฺวายมฺภุว (स्वायंभुव - Svāyambhuva Manu). ท่านเป็นบิดาของฤๅษีกัศยปะ และเป็นปู่ของบรรดาเหล่าทวยเทพ (देवा - The Devas) และเหล่าอสูร (असुरा - The Asuras).

 ในศาสนาเชน ถือว่าท่านเป็นหนึ่งในชาติภพของตีรถังกร (तीर्थङ्कर - tīrthaṅkara - ผู้ที่ได้หลุดพ้นแล้ว) องค์ที่ 24 คือพระมหาวีระ (महावीर - Mahāvīra) หรือ วรรธมานะ (वर्धमान - Vardhamāna) และท่านเป็นหลานชายของพระฤษภเทพ หรือ พระอาทินาถ (ऋषभनाथ -Ṛṣabhanātha หรือ ऋषभदेव - Ṛṣabhadeva - आदिनाथ - Adinath) ตีรถังกรพระองค์แรก.
  2. ฤๅษีอังคีรส (अङ्गिरस् - Aṅgiras)
 
ฤๅษีอังคีรส สนทนากับราชินีโชละ เทวี (รายละเอียดดูใน หน้าที่ 11 ของ อุปนิษัท: สรุปสาระสำคัญ.)
 กล่าวกันว่าท่านเป็นหนึ่งในโอรสเจ็ดองค์ของพรหมที่เกิดจากจิต หรือที่รู้จักกันในชื่อประชาปตีเจ็ดองค์ หรือเจ็ดพรหม ตามที่ปรากฎบทที่หนึ่งของพรหม ปุราณะ (Brahma-purāṇa -ว่าด้วยกำเนิดของทวยเทพและเหล่าอสูร) ดังนั้น “ด้วยความปรารถนาให้สรรพสิ่งวิวัฒนาการไปตามสมควรแก่สิ่งเหล่านี้ พระพรหมจึงทรงสร้างประชาปตี (เจ้าแห่งสรรพสิ่ง) ได้แก่ ฤๅษีมรีจิ ฤๅษีอตรี ฤๅษีอังคีรส ฤๅษีปุลัสตยะ ฤๅษีปุลหะ ฤๅษีกรธุ และฤๅษีวสิษฐ์."

 ในฤคเวท มีการบรรยายถึงท่านว่าท่านเป็นครูแห่งความรู้อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า และในบทสวดอื่น ๆ ท่านฤๅษีอังคีรสยังเป็นพระอัคนีเทวะองค์แรก (เทพเจ้าแห่งไฟ) อีกด้วย. 
  3.  ฤๅษีปุลัสตยะ  (पुलस्त्य - Pualsthya)

ที่มา: www.mythoworld.com, วันที่เข้าถึง: 29 กรกฎาคม 2568.

 
 ท่านเป็นหนึ่งในพระประชาบตีสิบองค์ หรือโอรสแห่งพระพรหมที่กำเนิดจากจิต และเป็นหนึ่งในสัปตะฤๅษีในมันวันตระที่หนึ่ง - ช่วงเวลาของพระสวยัมภูมนู หรือ พระสฺวายมฺภุว (स्वायंभुव - Svāyambhuva Manu), รายละเอียดดูในหน้าที่ 5 ของ คัมภีร์ปุราณะ 1.

 ท่านเป็นสื่อกลางในการสื่อสารคัมภีร์ปุราณะบางเล่มแก่มนุษย์ ท่านได้รับพระวิษณุปุราณะจากพระพรหมและทรงถ่ายทอดไปยังมหาฤๅษีปราศร (पराशर - Parāśara - บิดาของฤๅษีวฺยาส) ซึ่งทำให้มนุษย์ได้รู้.

 ฤๅษีปุลัสตยะเป็นบิดาของวิศรวา (विश्रवस् - Viśravas) หรือท้าวลัสเตียน ซึ่งเป็นบิดาของท้าวกุเวร และทศกัณฐ์หรือราวณะ และเชื่อกันว่าเหล่าอสูรทั้งหลายสืบเชื้อสายมาจากท่าน ปุลัสตยะฤษีได้แต่งงานกับธิดาหนึ่งในเก้าองค์ของฤๅษีการทัมจี (करदम जी - Kardam Ji - ท่านถือกำเนิดจากเงาของพระพรหม ท่านเป็นบิดาของกปิลมุนี ผู้ก่อตั้งระบบปรัชญาสางขยะ) ชื่อนางหวิรภู (हविर्भु - Havirbhu) ปุลัสตยะฤษีมีบุตรสองตน คือ มหาฤษีอคัสตยะและวิศรวา.

 ซึ่งวิศรวามีภรรยาสองคน คนหนึ่งคือนางไกกาสี ซึ่งให้กำเนิดท้าวราวณะ (ทศกัณฐ์) กุมภกรรณ และพิเภก (विभीषण - Vibhīṣaṇa - วิภีษณะ) และอีกคนหนึ่งคือนางอิฑวิฑาหรือ อิดวิดา (इडविडा - Iḍaviḍā หรือนางเทววารนินิ - Devavarnini) มีบุตรชื่อท้าวกุเวร (कुबेरा - Kubera).

 ในรามเกียรติ์นั้น ไทยเรียกท้าวจตุพักตร์ (มีกายสีขาว รูปอย่างพรหม) ซึ่งเป็นบิดาของท้าวลัสเตียนและเป็นพระอัยกา (ปู่) ของทศกัณฐ์ หรือ ท้าวราพณ์ หรือราวณะ. ท้าวจตุพักตร์เป็นอนุชาท้าวมาลีวัคคพรหมหรือท้าวมาลีวราช ดังนั้นทศกัณฐ์จึงถือว่าตนเป็นวงศ์พรหม.
  4.
ฤๅษีปูลาหะ (पुलह - Pulaha หรือ Pulaaha)

 ที่มา: kaalchakra.in, วันที่สืบค้น: 30 กรกฎาคม 2568.
 ท่านเป็นหนึ่งในเจ็ดของบุตรที่กำเนิดจากจิตของพระพรหม และเป็นหนึ่งในสัปตะฤๅษีในมันวันตระที่หนึ่ง ท่านเป็นอาจารย์ของฤๅษีโคตมะ.
  5. ฤๅษีกฤตุ (क्रतु - kr̩ˈt̪u - Kratu หรือ Krathu)

ที่มา: hindi.webdunia.com, วันที่สืบค้น: 31 กรกฎาคม 2568.
 กฤตุ แปลว่า อุทิศ หรือเสียสละ (Sacrifice) หรือเครื่องบูชาแบบพระเวทที่ถวายลงในกองไฟอันศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นสัปตะฤๅษีเป็นหนึ่งในเจ็ดที่กำเนิดจากจิตของพระพรหม ในมันวันตระปัจจุบัน (मन्वन्तर - Manvantara) ซึ่งคือมันวันตระที่ 7 ช่วงเวลาของพระมนูไววัสวัต รายละเอียดดูในหน้าที่ 5 ของ คัมภีร์ปุราณะ 1.

 ภริยาของมหาฤๅษีกฤตุคือนางศัตตติหรือสันตติ. (संतति - Saṃtati) ธิดาของท้าวทักษะ ประชาบติ (दक्ष प्रजापति - Dakṣa prajapati) กับนางกริยา (क्रिया - Kriyā) บ้างก็ว่ากับนางประสูติ (प्रसूति - Prasūti) บ้างก็ว่ามหาฤๅษีกฤตุนั้นไม่มีครอบครัว.
  6. ฤาษีกัณวะ (कण्व - Kaṇva)

นางศกุนตลาขอพรฤๅษีกัณวะก่อนออกเดินทาง, ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง: 1 สิงหาคม 2568.


 
 ท่านเป็นฮินดูฤๅษีในยุคเทรตา (Treta Yuga) ประพันธ์บทสวดบางบทในฤคเวท ท่านมีเชื้อสายปราชญ์ฮินดูโบราณ. ในอาทิบรรพ มหาภารตยุทธนั้น ท่านพบและเป็นพ่อเลี้ยงนางศกุนตลา (शकुन्तला - Śakuntalā) ซึ่งเป็นบุตรีของนางอัปสรเมนกา (मेनका - Menakā) กับท้าวทุษยันต์ (दुष्यन्त - Duṣyanta - แท้จริงแล้วฤๅษีวิศวามิตรเป็นบิดาของนางศกุนตลา แต่ท้าวทุษยันต์รับเป็นบิดา).

   ท่านฤๅษีกัณวะเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง มีความสามารถในการบำเพ็ญตบะ ใช้ชีวิตเรียบง่าย โดยฉันอาหารจากผักผลไม้.
  7. ฤๅษีทุรวาส (दुर्वास - Durvāsa)

ที่มา: blog.sagarworld.com, วันที่เข้าถึง: 2 สิงหาคม 2568.
 ท่านเป็นบุตรของฤๅษีอตริกับนางอนสูยา (अनसूया - Anasūyā) เป็นพี่น้องกับพระโสม และพระทัตตาเตรยะ.

 ชื่อทุรวาสแปลว่า "ผู้อยู่ด้วยยาก" พระฤาษีทุรวาสรู้จักกันอย่างดีในฐานะผู้ที่มีอารมณ์ร้าย มักจะสาปทั้งเทวดาและมนุษย์เมื่อตนไม่พอใจเสมอ ในคัมภีร์พราหมณปุราณะ เล่าว่าครั้งหนึ่งพระพรหมทะเลาะกับพระ ศิวะ ทำให้พระศิวะทรงพิโรธเป็นอย่างมาก จนเทวดาต่างพากันหวาดกลัวและรีบหนีพระศิวะ พระแม่ปราวตีผู้เป็นชายาของพระองค์ก็บ่นว่าทนความพิโรธของพระองค์ไม่ไหว พระศิวะจึงนำความโกรธนั้นไปในครรภ์ของนางอนสูยา และเกิดเป็นพระฤาษีทุรวาส เนื่องจากเกิดจากความพิโรธของพระศิวะ จึงทำให้พระฤาษีทุรวาสมีนิสัยขี้โกรธ.

 ในภาควัต ปุราณะเล่าว่านางอนสูยาได้บำเพ็ญตบะเพื่อขอบุตรจากพระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ จนเทพทั้ง 3 พระองค์ประทานบุตรให้ โดยพระพรหมาอวตารไปเป็นพระจันทร์ พระวิษณุอวตารไปเป็นพระทัตตาเตรยะ และพระศิวะอวตารไปเป็นพระฤาษีทุรวาส {บ้างก็กล่าวเป็นบางส่วน (อังศะ - 
अंश - aṃśa - ชิ้น) ของพระศิวะ}.


1.
2.
3.
แหล่งอ้างอิง
01. จาก. en.wikipeida.org
02. จาก. www.wisdomlib.org.
03. จาก. Shiva: Stories teachings from the Shiva Mahapurana, เขียนโดย มาตาจี เทวี วนมาลี (Mataji Devi Vanamali), สำนักพิมพ์อินเนอร์ เทร็ดดิชั่น (Inner Traditions), พ.ศ.2556, ISBN 978-1-62055-248-3, ตีพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา.
04. จาก. Shiva Purana Volume 1, แปลโดย Bibek Debroy, สำนักพิมพ์เพนกวิน แรนดอม เฮ้าส์ อินเดีย (Penguin Random House India), พ.ศ.2566, ISBN 9780143459699, ตีพิมพ์ในภารตะ.
05. จาก. th.wikipedia.org.
1.
2.
3.

 
humanexcellence.thailand@gmail.com