Title Thumbnail & Hero Image: ประติมากรรมรูปหล่อโลหะ "อาทิโยคี ศิวะ" (ปฐมโยคีมหาเทพศิวะ) ด้วยระบบปรัชญาอินเดียนั้น ตระหนักว่า พระศิวะเป็นปฐมผู้ก่อกำเนิดโยคะ รูปหล่อโลหะนี้มีความสูง 112 ฟุต เสมือนแทนถึง 112 จักรราศีของร่างกายมนุษย์ที่ถูกกำหนดเพื่อใช้ในการบำเพ็ญญาณ ประติมากรรมนี้มีน้ำหนักรวม 500 ตัน สร้างแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.2560 ประทับอยู่ที่รัฐทมิฬ นาดู ภารตะใต้ ออกแบบโดย Sadhguru Jaggi Vasudev ก่อสร้างโดย Isha Foundation, ที่มา: www.mybestplace.com, วันที่เข้าถึง 26 สิงหาคม 2565.
บทนำ 1: ศิวะ มหาปุราณะ01, 02.
First revision: Nov.05, 2023
Last change: Nov.19, 2024
สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง แปล และปริวรรต โดย อภิรักษ์ กาญจนคงคา.
1.
หน้าที่ 1
โอม01. ขอนมัสการพระบิดาแห่งโลกและจักรวาล
(Aum Jagatpitre Namaha!) (औं जगतपित्रे नमः)
ในวัยเยาว์ งูพิษแห่งเสียงและการมองเห็น ทั้งรสสัมผัสและกลิ่น
ยึดติดอยู่กับชีวิตของข้าฯ และทำลายการที่ข้าฯ ได้เลือกปฏิบัติ,
อนิจจา ใจของข้าฯ ปราศจากความคิดตระหนักของพระศิวะ
(ข้าฯ ) พองโตด้วยความเย่อหยิ่งและภาคภูมิใจ!
เพราะฉะนั้น ข้าแต่พระศิวะ!
โอ้ มหาเทวะ! โอ้ สยัมภู02.!
ข้าฯ อธิษฐานขอให้ยกโทษต่อการที่ข้าฯ ได้ก้าวล่วง.
ตอนนี้ข้าฯ ในวัยชรา ประสาทสัมผัสของข้าฯ ก็สูญเสียอำนาจแห่งการตัดสินใจและการกระทำที่เหมาะสม.
ร่างกายของข้าฯ อ่อนแอและชราจากความทุกข์ยาก,
แต่ถึงตอนนี้จิตใจของข้าฯ ถูกแทนที่ด้วยการนั่งสมาธิเพื่อบูชายังพระศิวะ
(ข้าฯ ได้) วิ่งไล่ตามความปรารถนาอันไร้สาระและการถกเถียงอภิปรายที่ว่างเปล่า.
เพราะฉะนั้น ข้าแต่พระศิวะ! โอ้ มหาเทวะ! โอ้ สยัมภู!
ข้าฯ อธิษฐานขอให้ยกโทษต่อการที่ข้าฯ ได้ก้าวล่วง.
ข้าฯ ขอนอบน้อมแด่พระองค์ผู้ทรงประทานความรู้โดยตรงสูงสุดแก่ปราชญ์เกี่ยวกับความจริงแท้ขั้นสูงสุด.
ข้าฯ ขอนอบน้อมต่อบรมครูแห่งสามโลก
ทักษิณามูรตี03., พระผู้เป็นเอง (รู้ความจริงแท้ได้ด้วยตัวเองไม่มีใครสอน)
ผู้ทรงขจัดความทุกข์แห่งการเกิดและการตาย.
1.
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. โอม เป็นคำที่ประกอบด้วยเสียง 3 เสียง คือ อะ อุ มะ ซึ่งเป็นเสียงพยางค์ท้ายของนามเทพเจ้าทั้ง 3 ในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู คำว่า อะ มาจากชื่อพระศิวะ หรือพระอิศวร. คำว่า อุ มาจาก ชื่อพระวิษณุ หรือพระนารายณ์. คำว่า มะ มาจากชื่อพระพรหม เมื่อรวมเสียง อะ อุ มะ เป็นคำว่า โอม จึงถือเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ มักใช้เป็นคำขึ้นต้นของการกล่าวมนตร์, ที่มา: เว็บไซต์สำนักงานราชบัณฑิตยสภา legacy.orst.go.th, วันที่เข้าถึง 6 พฤศจิกายน 2566.
02. สยัมภู (Shambho) ในทางพระพุทธศาสนาแปลว่า เกิดขึ้นเอง ทราบความจริงแท้ด้วยตนเอง. ส่วนในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไศวนิกายนั้น หมายถึง "ผู้เป็นมงคล (The auspicious one)."
03. ทักษิณามูรตี (दक्षिणामूर्ति - Dakṣiṇāmūrti) เป็นลักษณะหนึ่งของพระศิวะในฐานะปราชญ์ (ครู หรือ คุรุ) แห่งความรู้ทุกประเภท แง่มุมนี้ของพระอิศวรในฐานะปราชญ์ดั้งเดิมคือการแสดงตนเป็นความตระหนักรู้ความเข้าใจและความรู้สูงสุดหรือสูงสุด ลักษณะนี้แสดงให้เห็นถึงพระอิศวรเป็นคุรุของโยคะ ลำนำ ภูมิปัญญา และการแสดงออกบนศาสตรา เป็นการบูชาเป็นเทพเจ้าแห่งปัญญา เป็นสมาธิที่สมบูรณ์และคุ้มค่าตามคัมภีร์พราหมณ์-ฮินดู ถ้าบุคคลไม่มีคุรุ พวกเขาสามารถพิจารณาและบูชาทักษินามูรติเป็นคุรุของพวกเขาได้ ในที่สุดพวกเขาจะได้รับพรจากคุรุ. เมื่อพิจารณาตามตัวอักษร หมายถึง บุคคลผู้หันหน้าไปทางทิศใต้ (ทักษิณา - dakṣiṇa) ในอีกแนวคิดหนึ่ง หมายถึงความเมตตา เป็นการสำแดงของพระศิวะผู้เป็นคุรุที่มีเมตตาให้ปัญญาแก่ผู้แสวงหาความรอด. ปรับปรุงจาก: hmong.in.th, วันที่เข้าถึง 6 พฤศจิกายน 2566.
1.
2.
หน้าที่ 2
ॐ
โอม นมัสการพระศิวะ!01.
คำนำ
ในคัมภีร์พระเวทได้นำเสนอเหตุของการกำเนิดพิภพ หรือ ชกต (जगत - jagat - จักรวาลทั้งหมด) - อันเป็นโลกทางวัตถุ - ด้วยมายิน (मायिन् - māyin) อันเป็นผู้ชำนาญในศาสตร์แห่งเวทมนตร์ ผู้ครอบครองมายา (माया - māyā) อันเป็นภาพที่ลวงตา ผู้ไม่ตกอยู่ใต้มนตร์มายาหรือภาพหลอกลวงแห่งจักรวาล. มายินก็คือพระมเหศวร02. - มหาเทพแห่งสรรพสิ่งทั้งมวล. ไม่เพียงแต่ที่พระองค์จะเป็นเหตุอันชาญฉลาดของพิภพ อวกาศ กาลเวลา และทุกสรรพสิ่งในอวกาศและเวลาเท่านั้น แต่เป็นการที่พระองค์ทำให้ประจักษ์ และสิ่งที่ได้กระทำก็ไม่สามารถแยกพระองค์ออกมาได้. พระมเหศวรจึงเป็นทั้งบิดาและมารดาแห่งจักรวาล. ทุกรูปแบบเป็นแบบของพระองค์ และสามารถเรียกนำมาใช้ในรูปแบบใดก็ได้. หากเรามองพระมเหศวรจากแง่มุมของพลังหรือกฎเกณฑ์ใด ๆ แล้ว พระองค์ก็เป็นดั่งเทพ. หากเราตั้งชื่อเป็นภาษาสันสกฤตให้กับเทพองค์นี้ ชื่อก็จะสื่อถึงรูปแบบที่ต่างกัน. พระวิษณุ (Viṣṇu) หมายความถึง องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงแผ่ซ่านไปทั่วทุกหนแห่ง. พระพรหม (Brahmā) หมายถึง ผู้ไม่มีขอบเขตและโอบกอดทุกสรรพสิ่ง. พระรุทร03. (หรือ รุทฺร - रुद्र – Rudra) แปลว่า ผู้ให้เกิดน้ำตา (น้ำตาแห่งความปิติ) ทำให้เกิดผล และเป็นผู้ขจัดน้ำตาเสียทั้งหมด. ในพระนามและรูปแบบการสักการะใด ๆ เราสามารถเอ่ยเรียกพระนาม พระมเหศวร ว่าเป็นสาเหตุแห่งการสำแดง การดำรงชีพ และการสูญสลายได้.
ในพระศิวะปุราณะนั้น ลีลา (บทละคร) ทั้งหมดของพระมเหศวรได้นำเสนอในรูปแบบแก่ผู้ศึกษาอันมีขอบเขต เพื่อให้ได้สำรวจและค้นพบ และผู้นั้นก็จะทราบว่ามีองค์ประกอบใดบ้างที่จะก่อให้เกิดมหิทธานุภาพได้. เมื่อได้ศึกษาถึงปุราณะแล้ว ก็จะเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในคุณธรรมทุกประการในขนาดอันไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งหลีกเลี่ยงมิได้. ผู้ประพันธ์ (วนมาลี) ได้นำเสนอพระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งได้การขนานนามว่าพระศิวะ ดังที่ปรากฎในศิวะปุราณะ. การอุทิศตนของเธอต่อพระผู้เป็นเจ้า ทำให้การจรดปากกาเขียนของนาง เต็มไปด้วยความสามารถในการแสดงออกซึ่งช่วยให้ผู้ศึกษาค้นพบพระเกียรติความเป็นสิริของพระผู้เป็นเจ้า และการอุทิศตนของนางเพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจ. เนื่องจากวนมาลีเป็นผู้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้า และด้วยพรเหล่านี้นางได้นำเสนอพระสิริของพระองค์ นางจึงได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้าหลายต่อหลายครั้ง.
สวามี ทยนันทะ
ทยนันทะ อาศรม ฤษีเกศ
1.
2.
โอม นมัส ศิวายะ!
ॐ
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. โอม นมัสการพระศิวะ (Aum Śivāya Namaha! บ้างก็เรียก Om Namah Śivāya - โอม นมัส ศิวายะ - ॐ नमः शिवाय ) เป็นหนึ่งในมนตร์พราหมณ์-ฮินดูที่ได้รับความนิยมมาก และถือเป็นมนตร์สำคัญสูงสุดในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไศวนิกาย คำว่า นมัส ศิวายะ (Namah Śivāya) แปลว่า "โอ้! การเคารพกราบต่อผู้ที่รุ่งเรืองหรือเป็นมงคลยิ่ง!" หรือ "ความรัก ความเคารพบูชาต่อองค์พระศิวะ" ("adoration to Lord Śiva") ซึ่ง โอม นมัส ศิวายะ มีชื่อเรียกอีกว่า ศิวปัญจักศร (Śiva Panchakśara) หรือ ปัญจักศร (Panchakśara) แปลว่า มนตร์ที่มีห้าพยางค์ (ไม่รวมคำว่า โอม) ซึ่งเป็นการขับขานเพื่อบูชาพระศิวะ ในบทสวดศรี รุธรัม (श्रीरुद्रम् - śrī rudram) ซึ่งเป็นสวดในกฤษณยชุรเวท (ยชุรเวทดำ) โดยสวดว่า นะ-มะ-ศิ-วา-ยะ (Na-Ma-Śi-va-ya).
02. พระมเหศวร (महेश्वरः - Maheśvara) เป็นอีกชื่อหนึ่งของพระศิวะหรือพระอิศวร.
03. พระรุทร (หรือ รุทฺร - रुद्र – Rudra) เป็นอีกชื่อหนึ่งของพระศิวะ.
1.
2.
หน้าที่ 3
ॐ
โอม นมัสการ ปัญจวัคตรยะ01.!
บทนำ
त्र्यम्बकं यजमहे सुगन्धिं पुष्टिवर्धनं उर्वरुकमिव बन्दना, मृत्युर मुखिया-मामृतात्।
Trayambakam yajamahe sugandhim pushtivardhanam
Urvarukamiva bandanath, Mrityor mukshiya-mamritath.
ข้าพเจ้าขอสักการะพระผู้มีสามเนตร (Trayambakam) ซึ่งมีกลิ่นหอม เพื่อหวังให้สุขภาพสมบูรณ์ (พ้นจากโรคร้าย -Urvarukamiva) หลุดพ้นจากบ่วงบาศแห่งศีลธรรม (ในที่นี่น่าจะหมายถึงการเวียนว่ายตายเกิด-สังสารวัฏ) ได้ง่ายดาย เหมือนผลมะระสุกที่ร่วงออกจากก้านและเป็นอมตะ.
ยชุรเวท
1.
2.
วรรณกรรมปุราณะ02.นั้น เกิดขึ้นจากความต้องการอันลึกซึ้งในหัวใจของมนุษย์เพื่อความสมหวัง. ได้ดิ่งลึกลงไปในจิตใจของเรา ซึ่งประคับประคองความปรารถนา (ที่มิได้มีสติกำกับ) และมิอาจอธิบายได้สำหรับองค์ภควาน และเผยให้เห็นภาพและแนวคิดที่น่าอัศจรรย์ที่สุดที่ทำให้จิตใจของมนุษย์ร่วมสมัยงุนงง. ผู้ที่ถูกล้างสมองด้วยอคติทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งจินตนาการถูกขัดขวางโดยการยึดมั่นในความจริงอย่างเข้มงวดซึ่งจำกัดด้วยประสาทสัมผัสที่สามารถรับรู้ อาจพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะอ่านปุราณะและเข้าใจหยั่งรู้ลึกซึ้งในธรรมชาติของมนุษย์. ผู้ที่ถูกล้างสมองด้วยอคติทางวิทยาการสมัยใหม่ ซึ่งจินตนาการถูกขัดขวางโดยการยึดมั่นในความจริงอย่างเข้มงวดซึ่งจำกัดด้วยประสาทสัมผัสที่สามารถรับรู้ อาจพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะอ่านคัมภีร์ปุราณะและเข้าใจหยั่งรู้ลึกซึ้งในธรรมชาติของมนุษย์ได้. แต่ผู้ที่มีสติปัญญาก็มิได้ถูกจำกัดด้วยความคิดที่จำกัดเช่นนี้ แต่จะพึงพอใจกับเสรีภาพในการแสดงออกอย่างแท้จริงและจินตนาการอันน่าทึ่งที่จิตใจมนุษย์สามารถทะยานขึ้นไปได้. สิ่งที่ต้องจำไว้ก็คือ รูปแบบของเทพเจ้าไม่ได้เป็นเพียงความเพ้อฝัน แต่มีไว้เพื่อเปิดเผยแง่มุมต่าง ๆ ของความจริงที่ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า.
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. ปัญจวัคตรยะ หรือ ปัญจวัคตระ (Panchavaktraya or Panchavaktra) หมายถึงเทพ ธาตุ พลัง ทิศ และปรัชญาทั้งห้า ซึ่งสะท้อนมาจากแนวคิดปรัชญาและศิลปะของอินเดียตะวันตก ในความหมายที่พระศิวะเป็นเทพสูงสุด (องค์ปฐม - Adi Dev) เห็นได้ในศิลปะขอมตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา ประกอบด้วย หนึ่ง) พระสทาศิวะ-อากาศธาตุ-พระผู้ประทับอยู่เหนือสุด (ทิศบน) สอง) พระมเหนทร มหาเทพ-ลม-พระผู้ปกปักรักษา (ทิศตะวันออก) สาม) พระไภรวะ (ฺBhairava)-ไฟ-พระผู้ทำลาย (ทิศใต้) สี่) พระศักติ (śakti)-น้ำ-พระผู้สร้าง (ครรภะ) (ทิศเหนือ) ห้า) พระนนทิ (Nandi)-ดิน-พระผู้เป็นมายา (ทิศตะวันตก).
02. ปุราณะ (पुराण, purāṇa) รายละเอียดดูใน ปุราณะ.
ภาพสลักศิวนาฎราช ถ้ำหมายเลข 14 หมู่ถ้ำเอลโลร่า, รัฐมหาราษฎระ, ภารตะ, ถ่ายไว้เมื่อ 20 กรกฎาคม 2566.
(ศิวนาฏราช สื่อความหมายถึง การเคลื่อนไหวเพื่อการเรียนรู้ ด้วยหนทางของการใช้สติปัญญา และจิตวิญญาณเพื่อการสร้างสรรค์ศิลปะทั้งปวง)
1.
หน้าที่ 4
ประสาทสัมผัสทั้งห้านี้ถูกจำกัดอย่างดีเลิศและหลอกลวงอย่างเลวร้ายที่สุด เพราะจุดประสงค์หลักคือการปกปิดความจริงที่ไม่อาจเข้าใจได้. โลกทัศน์ยุคใหม่รู้เพียงความร้อนและการเคลื่อนที่ ซึ่งเป็นพลังงานที่ระเบิดในบิ๊กแบงเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นสี่พันล้านปีก่อน และขยายออกไปเป็นระบบกาแลคซีที่สลายตัวจากสภาวะที่มีความร้อนและความเข้มข้นสูงสุด ไปสู่สภาวะของความนิ่งเย็นและการกระจัดกระจายในช่วงเวลาอันยาวนานนับอนันต์.
ชีวิตและจิตสำนึก ซึ่งไม่ได้มีความสำคัญเป็นพิเศษในมุมมองของจักรวาลนี้ เป็นปรากฏการณ์รองที่จะส่งต่อไปสู่ความคลุมเครืออันเย็นชาของความตายในการเต้นรำขององค์ประกอบต่าง ๆ . ที่ไร้ความหมายนี้ มุมมองทางวิทยาศาสตร์ค่อนข้างไม่มั่นใจเกี่ยวกับคุณค่าขั้นสูงสุด. ไม่มีจุดประสงค์ ไม่มีแผนการในจักรวาล และความฉลาดในตัวมันเองเป็นเพียงผลพลอยได้จากสสารที่ถูกประณามให้พินาศไปตามกาลเวลา. สำหรับผู้ที่มั่นใจในทัศนะนี้ ปุราณะจะเป็นเพียงแหล่งความบันเทิง เพราะผู้คนสมัยใหม่ผู้ใดเล่า จะเชื่อในมหาสมุทรแห่งน้ำนมและเทพเจ้าห้าเศียรได้?
มุมมองแห่งการสร้างสรรค์ของวรรณกรรมปุราณะต่างจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ปุราณะนั้นมีพื้นฐานอยู่ในเจตจำนงขององค์พระผู้สูงสุด. ปราชญ์โบราณหรือฤษีของอินเดียรู้ว่าสสารเป็นเพียงอนุพันธ์ของจิตสำนึกและบรรจุความรู้พื้นฐานหรือเมล็ดพืชของพลังทางจิตวิญญาณภายในของตัวเอง เช่นเดียวกับที่ต้นไทรอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดบรรจุอยู่ในมัสตาร์ดขนาดเล็ก ๆ เหมือนเมล็ดพืช. มีสนามพลังงานที่มองไม่เห็นซึ่งอยู่ข้างหน้าและอยู่ภายใต้ทุกสิ่งที่เรามองเห็น เหล่าฤษีท่านทราบเรื่องนี้ดี พระกฤษณะทรงเรียกว่าทุ่ง อวยักธ01., หรือสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น ซึ่งการปรากฏทั้งหมดได้เกิดขึ้นแล้ว.
เหนือกว่าทุ่งอวยักธ ก็คือทุ่งอันกว้างใหญ่ที่เรียกว่า ชิดะกาษะ02. หรือทุ่งแห่งจิตสำนึกที่มีพลังในการสร้างสรรค์. เป็นสาขาความเชื่อและศรัทธาหรือลัทธิที่เรียกว่า ศักติ03. หรือในแง่มุมที่รังสรรค์โดยพระผู้เป็นเจ้า เป็นหลักการของสตรีที่สามารถกระทำการและการสร้างสรรค์ทั้งหมดได้ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าพระมารดาอันศักดิ์สิทธิ์ (พระแม่เจ้า, เจ้าแม่). จักรวาลและปรากฎการณ์ทั้งหมดของจิตสำนึกอันศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนจะเฉื่อยชาแต่ก็เร้าใจไปด้วยชีวิต.
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. อวยักธ (अव्यक्थ - avyaktha หรือ avyakta ภาษามราฐี - मराठी) หมายถึง ความไม่ชัดแจ้งหรือไรัรูป - not manifest or devoid of form.
02. ชิดะกาษะ (चिडाकाश - Chidākāsha) นอกจากจะเป็นทุ่งแห่งจิตสำนึกที่มีพลังในการสร้างสรรค์แล้ว ยังเป็นกิจกรรมที่เกรี้ยวกราดและละเอียดอ่อนของจิตสำนึกเกิดขึ้น มันคือท้องฟ้าแห่งจิตสำนึก (The sky of consciousness).
03. ศักติ (शक्ति - Śakti or Shakti) คือ พลังอำนาจที่ขับเคลื่อนเอกภพ โดยเฉพาะในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีลัทธิศักติซึ่งบูชามหาเทวี (महादेवी - Mahādevī) ซึ่งมีชื่อเรียกอื่น เช่น พระแม่อาทิศักติ (Adi Shakti) พระแม่อาทิปราศักติ (Adi Parashakti) และพระแม่อภยศักติ (Abhaya Shakti) เป็นพระเป็นเจ้า ลัทธินี้เกิดขึ้นภายหลังการเสื่อมถอยของพระพุทธศาสนาในภารตะชมพูทวีป เทวีท้องถิ่นและพื้นเมืองต่าง ๆ รวมถึงวีรสตรีท้องถิ่นได้ถูกรวมเข้ากัน. ซึ่งมีความยิ่งใหญ่เปรียบได้กับพระวิษณุและพระศิวะในฐานะปรพรหมัน
- ไวษณพนิกาย ถือว่า อาทิปราศักติ คือ พระลักษมี.
- ไศวนิกาย ถือว่าเป็น พระนางปารวตี พระทุรคา พระลลิต และพระกาลี
- ส่วนลัทธิศักติ หรือ ศากติเอง ถือว่าเป็น พระทุรคา พระตริปุราสุนทรี พระภุพเนศวรี และพระกาลี.
1.
2.
หน้าที่ 5
การสร้างไม่ใช่การรังสรรค์โดยใครบางคนจากบางสิ่งบางอย่าง แต่เป็นการคาดการณ์ถึงสิ่งที่มีอยู่ชั่วนิรันดร์. วิทยาศาสตร์อาจค้นพบกฎทางกายภาพและเคมีมากมายที่ควบคุมจักรวาล แต่ยังไม่พบกฎทิพย์ที่เป็นพื้นฐานของจักรวาล. กฎฝ่ายวิญญาณนิรันดร์เหล่านี้มีอยู่ในตัว.
ตามแนวคิดเกี่ยวกับเวลาที่เป็นวัฏจักรนั้น ประวัติศาสตร์ของวรรณกรรมปุราณะมีขอบเขตที่กว้างกว่าแนวคิดตามประวัติศาสตร์มนุษย์อันจำกัดของเรา. แนวคิดด้านประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตกมองว่าประวัติศาสตร์นั้นเป็นเส้นตรง ไม่รู้ว่าเส้นนั้นเริ่มต้นที่ไหนและเมื่อใด และอาจสิ้นสุดที่ใด. มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจุดเริ่มต้น และจะเกิดอะไรขึ้นภายหลังจุดสิ้นสุด? ซึ่งคำถามเหล่านี้ นักประวัติศาสต์สมัยใหม่ไม่สามารถตอบได้. มีแต่เพียงจิตใจสะดุดหยุดคิดกับเรื่องนี้เท่านั้นที่จะพอกับแนวคิดประวัติศาสตร์สมัยใหม่. อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ปุราณะจะให้ประวัติศาสตร์จักรวาลแก่เรา. การอ่านอย่างชาญฉลาดจะทำให้มุมมองของเรากว้างไกลขึ้น และทำให้เรามีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของจักรวาล.
1.
องค์ภควาน พระศิวะ, 25 พฤษภาคม 2567.
ประมวลและปรับปรุงภาพด้วย Adobe Firefly & Adobe Photoshop applications.
แหล่งอ้างอิง:
01. จาก. Shiva: Stories teachings from the Shiva Mahapurana, เขียนโดย มาตาจี เทวี วนมาลี (Mataji Devi Vanamali), สำนักพิมพ์อินเนอร์ เทร็ดดิชั่น (Inner Traditions), พ.ศ.2556, ISBN 978-1-62055-248-3, ตีพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา.
02. จาก. Shiva Purana Volume 1, แปลโดย Bibek Debroy, สำนักพิมพ์เพนกวิน แรนดอม เฮ้าส์ อินเดีย (Penguin Random House India), พ.ศ.2566, ISBN 9780143459699, ตีพิมพ์ในภารตะ.