MENU
TH EN

ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 1.002 - บทนำ (ต่อ)

Title Thumbnail: แผ่นกระเบื้องแสดงภาพพระพุทธเจ้าและความศรัทธา; ศิลปะคันธาระ, ที่เมืองเปศวาร์ ปากีสถาน - 10 ธันวาคม 2563, (ถ่ายภาพโดย  DeAgostini/Getty Images), ที่มาจาก: Facebook เพจ "Ancient History of India," วันที่เข้าถึง: 15 กุมภาพันธ์ 2564. Hero Image: แผนภูมิแสดงการแผ่ไพศาลของพระพุทธศาสนา, ที่มา: Facebook เพจ "Michael Frey," วันที่เข้าถึง 18 สิงหาคม 2564.
ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 1.002 (บทนำ - ต่อ)
First revision: Feb.15, 2021
Last change: May 30, 2025
สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง แปล และปริวรรตโดย
อภิรักษ์ กาญจนคงคา.
1.
42 (ต่อ)
       เป็นข้อสันนิษฐานขั้นสุดท้ายของปรัชญาทั้งหลายว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นจริงได้ซึ่งขัดแย้งในตัวเอง. ในประวัติศาสตร์ของความคิดนั้น ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการตระหนักถึงความสำคัญของสมมติฐานนี้ และนำข้อสันนิษฐานไปใช้อย่างมีสติ. ในฤคเวทนั้น มีการยอมรับอย่างไม่รู้ตัวถึงความถูกต้องของความรู้ทั่วไป. เมื่อเราไปถึงขั้นของอุปนิษัทแล้ว ปัญหาเชิงวิภาษวิธีต่าง ๆ จะรวมไว้ด้วยกันและความยากลำบากของความรู้ก็ปรากฎขึ้น. เราพบความพยายามที่จะกำหนดขอบเขตขององค์ความรู้และเปิดพื้นที่ให้กับสัญชาตญาณ แต่ทั้งหมดล้วนอยู่ในลักษณะกึ่งปรัชญา. เมื่อศรัทธาในพลังเหตุผลสั่นคลอน ความคลางแคลงใจก็เข้ามาแทนที่ และบรรดาพวกวัตถุนิยม และผู้นิยมความว่างเปล่าก็เข้ามาแทนที่. พระพุทธศาสนายอมรับในจุดยืนของอุปนิษัทที่ว่าความจริงคือสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยสติปัญญาที่ใช้เหตุผล พระพุทธศาสนาจึงบังคับใช้กับความไม่เป็นแก่นสารของโลก. สำหรับพระพุทธศาสนานั้น ความขัดแย้งนั้นเป็นธรรมชาติของบรรดาสรรพสิ่ง และโลกแห่งความจัดเจนนั้น ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความตึงเครียดของสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกันเท่านั้น. เราไม่สามารถรู้ได้ว่ามีอะไรมากกว่าความเป็นจริงหรือไม่ และสิ่งนี้ก็ไม่สามารถเป็นสิ่งที่จริงแท้ได้ ด้วยเพราะมันขัดแย้งในตัวเอง. ข้อสรุปดังกล่าวเป็นปลายสุดของพัฒนาการทางพระพุทธศาสนา. เรามีทฤษฎีของนาคารชุน ซึ่งเป็นถ้อยแถลงที่ยั่งยืนทางปรัชญาเกี่ยวกับตำแหน่งสำคัญของอุปนิษัท. มีสิ่งที่มีอยู่จริง แม้ว่าเราไม่สามารถรู้ได้ก็ตาม และสิ่งที่รู้นั้นไม่เป็นจริง เพราะการตีความของโลก ในฐานะระบบที่เข้าใจได้นั้นล้มเหลว. ทั้งหมดนี้ล้วนตระเตรียมหนทางสำหรับการวิจารณ์ด้านเหตุผลอย่างมีสติสัมปชัญญะ. ในตัวความคิดเองนั้นมีความขัดแย้งหรือไม่เพียงพอ. ความแตกต่างก็บังเกิดขึ้น เมื่อมีคำถามว่า ทำไมเราจึงไม่สามารถเข้าใจความเป็นจริงได้อย่างจริง. หรือเป็นเพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับส่วนต่าง ๆ หรือไม่ใช่ทั้งหมด หรือเป็นเพราะความไม่สมบูรณ์ของโครงสร้างหรือความขัดแย้งในตัวเองแต่เดิม? ดังที่เราได้เห็นแล้ว มีผู้ที่ยึดมั่นในเหตุผลของความเป็นจริง โดยได้สงวนความจริงแท้ไว้ว่าไม่ได้เป็นเพียงแค่เหตุผลเท่านั้น. ด้วยความคิดเช่นนั้น ไม่สามารถให้ความจริงแท้ทั้งหมดแก่เราได้. “สิ่งนั้น” ช่างเกินกว่า “อะไร” ในคำกล่าวของแบรดลีย์. ความคิดนั้น ทำให้เรามีองค์ความรู้เกี่ยวกับความจริงแท้ แต่เป็นเพียงองค์ความรู้เท่านั้น หาใช่ความจริงแท้ไม่. มีบางคนรู้สึกว่าสิ่งที่เป็นจริงนั้น สอดคล้องในตัวเอง และสิ่งใดก็ตามที่เป็นความคิดนั้นขัดแย้งในตัวเอง. ความคิดทำงานโดยมีการขัดแย้งระหว่าง
1.
2. 
43
อัตวิสัยและภววิสัย และสิ่งที่เป็นจริงอย่างแท้จริงคือสิ่งที่ความขัดแย้งเหล่านี้ถูกยกเลิกไป. ความคิดที่เห็นประจักษ์ได้ที่สุดนั้น ตราบเท่าที่มันพยายามรวมหลาย ๆ สิ่งเข้าด้วยกัน ยังคงเป็นนามธรรม เพราะมันขัดแย้งในตัวเอง และหากเราต้องการที่จะเข้าใจถึงความจริงแท้แล้ว ก็ต้องละทิ้งความคิดนี้เสีย. ในสมมติฐานแรก สิ่งที่ความคิดเผยให้เห็นนั้นไม่ได้ขัดแย้งกับความเป็นจริง ทว่าเป็นการเปิดเผยส่วนหนึ่งของความเป็นจริง. มุมมองบางส่วนนั้นขัดแย้งกันเอง เพราะมันเป็นเพียงมุมมองบางส่วนเท่านั้น. มุมมองเหล่านี้เป็นจริงเท่าที่เป็นอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด. สมมติฐานที่สองนั้นบอกเราว่า เราสามารถรับรู้ความเป็นจริงได้ด้วยความรู้สึกหรือสัญชาตญาณ1. มุมมองแรกยังเน้นย้ำถึงการเสริมความคิดด้วยความรู้สึก หากต้องการจะบรรลุถึงความจริงแท้อย่างครบถ้วน. ดูเหมือนว่าเราต้องการองค์ประกอบอื่นนอกเหนือไปจากความคิด และสิ่งนี้ได้รับคำแนะนำโดยคำว่า “ทรรศนะ01.” ซึ่งใช้เพื่ออธิบายระบบปรัชญา หลักคำสอน หรือศาสตร์.
ฟรานซิส เฮอร์เบิร์ต แบรดลีย์, (30 ม.ค. พ.ศ.2389 – 18 กันยายน พ.ศ.2467 ) นักปรัชญาชาวอังกฤษ งานเขียนที่สำคัญคือ Appearance and Reality  ที่มา: alchetron.com และ en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง 20 พฤษภาคม 2564.
1.
       คำว่า “ทรรศนะ” มาจากคำว่า ทฤศ (दृश् - dṛś) แปลว่า การเห็น. การเห็นนี้อาจเป็นได้ทั้งการสังเกตทางการรับรู้ หรือองค์ความรู้เชิงแนวคิด หรือประสบการณ์โดยสัญชาตญาณ. อาจเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริง การสอบถามเชิงตรรกะหรือการหยั่งรู้ในจิตวิญญาณ. โดยทั่วไปแล้ว “ทรรศนะ” หมายถึงการอธิบายเชิงวิพากษ์ การสำรวจเชิงตรรกะหรือระบบต่าง ๆ . เราไม่พบคำที่ใช้ในหัวข้อนี้ในช่วงแรกของความคิดเชิงปรัชญา เมื่อปรัชญามีสหัชญาณ (ความรู้ที่เกิดขึ้นเอง) มากกว่า. อันแสดงให้เห็นว่า “ทรรศนะ” ไม่ใช่สหัชญาณ แม้ว่าจะเกี่ยวข้องกันมากก็ตาม. บางทีเราควรใช้คำนี้ด้วยความรอบคอบ เพื่อบ่งชี้ระบบความคิดที่ได้มาจากประสบการณ์เชิงสัญชาตญาณ และสนับสนุนด้วยการโต้แย้งเชิงตรรกะ. ในระบบของเอกนิยมสุดโต่งนั้น ปรัชญาได้ตระเตรียมหนทางสำหรับประสบกาณ์ทางสัญชาตญาณไว้ ด้วยการให้แนวคิดเกี่ยวกับความไร้ประสิทธิภาพของความคิดแก่เรา. ในระบบของเอกนิยมแบบกลาง ๆ ที่ซึ่งความจริงคือองค์รวมรูปธรรม ปรัชญาประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมในการสร้างความจริงแท้ขึ้นมาใหม่ตามอุดมคติ. แต่ความจริงแท้นั้นอยู่เหนือ ล้อมรอบ และล้นเกินหมวดหมู่ที่น่าสังเวชของเรา. ในลัทธิเอกนิยมสุดโต่งนี้ มันเป็นประสบการณ์โดยสัญชาตญาณจะเผยให้เราเห็นถึงความเปี่ยมล้นของความจริงแท้ ในแนวคิดด้านเอกนิยมที่เป็นรูปธรรมนั้น ประสบการณ์ดังกล่าวจะเปิดเผยให้เราทราบถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง. การสร้างสรรค์แนวคิดนั้นไม่มีความแน่นอนเท่ากับข้อเท็จที่ประสบพบเห็น. ขอกล่าวอีกครั้ง, ความคิดเห็นหรือ
---------------
1. ข้อมูลทางบรรณานุกรมของ: แบรดลีย์ ผู้กล่าวว่าเราสามารถเข้าถึงความจริงแท้ได้โดยผ่านความรู้สึกบางรูปแบบ และ แม็คแทกการ์ท ผู้มองว่าความรักเป็นหนทางที่น่าพอใจที่สุดในการกำหนดคุณลักษณะของสิ่งที่สมบูรณ์แบบ.
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. ทรรศนะ (
दर्शन - Darśana) หมายถึง “การกระทำของการเห็นหรือการดู” ยังหมายถึง “ระบบปรัชญา” ซึ่งในภารตวรรษนั้น ตามธรรมชาติของระบบนั้นอาจเป็นแบบเทววิทยา ตรรกะ ระบบ เทวนิยม อเทวนิยม เกี่ยวข้องกับประเพณีทางศาสนาหรืออิสระมากขึ้นหรือน้อยลง คำนี้ปรากฏในชื่อของสารานุกรมของระบบดังกล่าว ทรรศนะในภาษาพื้นเมืองภารตะตอนเหนือสมัยใหม่ หมายถึง การกระทำของการไปเยี่ยมเทพเจ้าในวัดหรือบุคคลศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับที่พูดในภาษาอังกฤษว่า 'ไปพบใครสักคน' ดังนั้น ทรรศนะ ซึ่งแปลว่า 'การมองเห็น การหยั่งรู้ และการเห็น' ในความหมายนี้ก็คือ 'การพบกับสิ่งที่ถูกมองเห็นและผู้ที่เห็น' ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความหมายเพิ่มเติมในบริบทของ 'การมองเห็น' ทางจิตวิญญาณอีกด้วย.

1.
2.
44
มุมมองเชิงตรรกะจะกลายเป็นความจริงได้ ก็ต่อเมื่อมันผ่านบททดสอบของชีวิต.

       “ทรรศนะ” นั้นเป็นคำที่มีความหมายคลุมเครือ เนื่องจากมันเผชิญกับการป้องกันจากการถกเถียงเชิงตรรกะ (หรือวิภาษวิธี) ของเอกนิยมที่สุดโต่ง รวมทั้งความจริงโดยสัญชาตญาณ ซึ่งเป็นพื้นฐานของคำนี้. 
ในทางปรัชญาแล้ว “ทรรศนะ” หมายถึง การพิสูจน์สัญชาตญาณและเผยแพร่สัญชาตญาณอย่างมีเหตุผล. แม้แต่ในระบบอื่น ๆ ก็นำไปใช้กับงานแสดงความจริงเชิงตรรกะที่สามารถได้มาในแง่แนวคิดโดยมีหรือไม่มีความช่วยเหลือจากสัญชาตญาณที่กระตุ้นความคิดใด ๆ ก็ได้. 
“ทรรศนะ” จึงใช้ได้กับมุมมองทั้งหมดเกี่ยวกับความจริงที่เกิดขึ้นจากจิตใจของมนุษย์ และหากความเป็นจริงเป็นหนึ่ง ด้วยมุมมองที่แตกต่างกันที่พยายามจะเผยสิ่งเดียวกันจะต้องสอดคล้องกัน. มันไม่มีอะไรที่บังเอิญหรือเกิดขึ้นได้ (เพียงลำพัง) แต่จะต้องสะท้อนมุมมองที่แตกต่างที่ได้รับจากสิ่งที่เป็นจริง. จากการพิจารณาอย่างใกล้ชิดถึงมุมมองต่าง ๆ ที่จิตใจเราได้รับจากการจับภาพความเป็นจริงจากจุดต่าง ๆ เราได้ก้าวขึ้นสู่ขั้นที่สองของการถ่ายทอดความเป็นจริงเต็มรูปแบบในแง่ตรรกะ. เมื่อเราตระหนักว่าคำอธิบายเชิงแนวคิดต่อเป็นจริงนั้นไม่เพียงพอ เราก็พยายามยึดถือความเป็นจริงด้วยสัญชาตญาณ ที่ซึ่งมโนคติด้านภูมิปัญญาได้ถูกกลืนกินไป. ถึงเวลาแล้วที่เราจะได้รับการกล่าวขานว่าได้รับ “สภาวะ” อันบริสุทธิ์ของแนวคิดเอกนิยมสุดโต่ง จากที่ซึ่งเรากลับคืนสู่ความจริงแท้เชิงตรรกะของความคิด ซึ่งเราจะเริ่มสะกดทีละตัวอักษรในระบบต่าง ๆ อีกครั้ง. “ทรรศนะ” ที่ใช้ได้กับคำหลังนี้ หมายถึงคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ เกี่ยวกับความจริงแท้. คำนี้เป็นคำเดียวที่แสดงถึงแรงบันดาลใจอันซับซ้อนทั้งหมดของปรัชญาด้วยความคลุมเครือที่งดงาม.
The darśana–śāstra, ที่มา: bhaktivinodainstitute.org, วันที่เข้าถึง 22 พฤษภาคม 2564.
 {จากการวิจัยอย่างเข้มข้นศาสตราจารย์การ์เบแห่งปรัสเซีย (Richard Garbe)01. ได้ยืนยันว่าอริสโตเติล02. เป็นผู้ติดตามนยายะศาสตร์03. ของฤๅษีโคตมะ04. (Nyāya-śāstra ของ Gautama), เธลีส05. (Thales) เป็นผู้ติดตาม ไวเศษิกะศาสตร์06. (Vaiśeṣika –śāstra) ของฤๅษีกณาทะ07. (Kanāda), โสกราตีส08. เป็นผู้ติดตามมีมางสาศาสตร์09. ของฤๅษีไชยมิณิ10. (Jaimini Mīmāṁsā-śāstra), เพลโต11. (Plato) เป็นผู้ติดตามเวทานตะ12. ของฤๅษีวยาส13. (Vyāsa’s Vedānta) พีทาโกรัส14. (Pythagoras) เป็นลูกศิษย์ด้านสางขยศาสตร์15. ของฤๅษีกปิละ16. หรือกปิลมุนี (Sāṃkhyaśāstra ของ Kapila) และซีโน17. (Xeno) เป็นสาวกของโยคศาสตร์18. ของฤๅษีปตัญชลิ19. (Pataṅjali's Yoga śāstra).}
1.
       “ทรรศนะ” คือการรับรู้ทางจิตวิญญาณ เป็นมุมมองทั้งหมดได้เผยไปยังประสาทสัมผัสของวิญญาณ. การมองเห็นจิตวิญญาณนี้ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อปรัชญาดำรงอยู่เท่านั้น อันเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงนักปรัชญาที่แท้จริง. ดังนั้นชัยชนะสูงสุดของปรัชญาจึงเป็นไปได้เฉพาะกับเหล่าผู้ที่ถึงความบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณเท่านั้น. ความบริสุทธิ์นี้ขึ้นอยู่กับการยอมรับประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง ซึ่งจะตระหนักได้ก็ต่อเมื่อพบจุดแข็งบางอย่างที่ซ้อนเร้นอยู่ภายในตัวมนุษย์ ซึ่งเขาไม่เพียงแต่สามารถตรวจสอบได้เท่านั้น แต่ยังสามารถเข้าใจชีวิตได้อีกด้วย. จากแหล่งภายในนี้ นักปรัชญาได้เปิดเผยความจริงของชีวิตให้เราทราบ ซึ่งเป็นความจริงที่ลำพังมีเพียงภูมิปัญญาเปล่า ๆ ก็ไม่สามารถค้นพบได้. การมองเห็นนั้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เกือบเทียบเท่าได้ว่าผลไม้มาจากดอกไม้ จากศูนย์กลางอันลึกลับที่ซึ่งประสบการณ์ทั้งมวลได้รับการปรองดองกัน.
หมายเหตุ คำอธิบาย

01. ริชาร์ด การ์เบ (Richard Karl von Garbe) รายละเอียดดูในหน้าที่ 2 ของ 02B. บรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ.
02. อริสโตเติล (Ἀριστοτέλης - Aristotle) รายละเอียดดูใน A13. อริสโตเติล.

03. นยายะศาสตร์ หรือ นยายทรรศนะ (न्याय - Nyāya) รายละเอียดดูในแทรก 1-2 ของ ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 2.001.
04. โคตมะ มหาฤๅษี (
गौतम महर्षि - Gautama Maharishi) รายละเอียดดูในหน้าที่ 2 ของ
02B. บรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ
.
05. เธลีส (Thales) รายละเอียดดูใน
A01. เธลีสแห่งมีเลทัส.
06. ไวเศษิกะศาสตร์ หรือ ไวเศษิกทรรศนะ (वैशेषिक - Vaiśeṣika) รายละเอียดดูในแทรก 2 ของ
ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 2.001.
07. ฤๅษีกณาทะ (कणाद - Kaṇāda) รายละเอียดดูในหน้าที่ 1 ของ 02B. บรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ.
08. โสกราตีส (Σωκράτης - Socrates) รายละเอียดดูใน A11. โสกราตีส.
09. มีมางสาศาสตร์ (मीमांसा - Mīmāṃsā) รายละเอียดดู
ในแทรก 2 ของ ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 2.001.
10. ฤๅษีไชยมิณิ (जैमिनि - Jaimini) ดูในหน้าที่ 1 ของ 02B. บรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ.
11. เพลโต (Πλάτων - Plato) รายละเอียดดูใน A12. เพลโต.
12. เวทานตะ (वेदान्त - Vedānta) - สำนักปรัชญาฮินดูหลักที่ตีความอุปนิษัท พรหมสูตร และภควัทคีตา สำนักนี้สำรวจธรรมชาติของความจริง ตัวตน และการหลุดพ้น (โมกษะ) คำว่า "เวทานตะ" หมายความตามตัวอักษรว่า "จุดสิ้นสุดของพระเวท" หรือ "จุดมุ่งหมายที่สูงขึ้นของพระเวท" ซึ่งหมายถึงอุปนิษัท ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของพระเวท.
13. ฤๅษีวยาส (Vyās) รายละเอียดดูในหน้าที่ 1 ของ
02B. บรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ.
14. พีทาโกรัส (Pythagoras) รายละเอียดดูใน A03. พีทาโกรัส.
15. สางขยศาสตร์ (सांख्यशास्त्र - Sāṃkhyaśāstra) รายละเอียดดูในแทรก 2 ของ
ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 2.001.
16. ฤๅษีกปิละ (कपिल - Kapila) - ดูในหน้าที่ 1 ของ 02B. บรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ.
17. ซีโน (Zeno) รายละเอียดดูใน A16. ซีโนแห่งซิเตียม.
18. โยคศาสตร์ (योगशास्त्र - Yogaśāstra) - รายละเอียดดูในแทรก 2 ของ
ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 2.001
19. ฤๅษีปตัญชลิ (पतञ्जलि - Patañjali) ดูในหน้าที่ 1 ของ 02B. บรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ.

1.
2. 
45
       ผู้แสวงหาความจริงแท้ จะต้องตอบสนองต่อเงื่อนไขสำคัญบางประการ ก่อนที่จะเริ่มต้นการแสวงหา. ศังกราจารย์ได้กล่าวไว้ในคำอธิบายของท่านเกี่ยวกับพระสูตรแรกของเวทานตะสูตรว่าเงื่อนไขสี่ประการมีความจำเป็นสำหรับผู้ศึกษาปรัชญาทุกคน. เงื่อนไขแรก คือ องค์ความรู้เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นนิรันดร์และสิ่งที่ไม่คงอยู่. นี่ไม่ได้หมายถึงองค์ความรู้เต็มรูปแบบ ซึ่งสามารถมาได้เมื่อถึงที่สุดเท่านั้น แต่เป็นเพียงเป็นการโค้งงอของอภิปรัชญา ซึ่งไม่ยอมรับว่าทุกสิ่งที่เห็นเป็นความจริงแท้สมบูรณ์ อันเป็นคำถามที่มีความโน้มเอียงของผู้ปุจฉา. เขาต้องมีจิตวิญญาณแห่งความอยากรู้อยากเห็นเพื่อสืบเสาะหาความจริงในทุกสรรพสิ่ง มีจินตนาการที่เร้าร้อนที่สามารถจำแนกความจริงออกมาจากข้อมูลจำนวนมากที่ขาดการปะติดปะต่อให้เห็นชัดได้ และมีอุปนิสัยชอบทำสมาธิซึ่งไม่อาจยินยอมให้จิตใจเขาเลือนหายไป. เงื่อนไขประการที่สอง คือ การระงับความปรารถนาในผลแห่งการกระทำไม่ว่าจะเป็นในปัจจุบันและอนาคต. ต้องละทิ้งความปรารถนาอันเล็กน้อย แรงจูงใจส่วนตัวและผลประโยชน์ทางปฏิบัติทั้งหมด. การตรวจทานหรือค้นหาคำตอบในใจที่ได้ไตร่ตรองไซร้เป็นจุดมุ่งหมายของตนเอง. การใช้ภูมิปัญญาอย่างถูกต้องนั้นคือการเข้าใจกับสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่ดีและไม่ดี. ปราชญ์นั้นเป็นนักธรรมชาติวิทยาที่ควรติดตามความเคลื่อนไหวของสิ่งต่าง ๆ โดยปราศจากการโอ้อวดความดีหรือดูแคลนความชั่วในนามของอคติบางอย่างของเขา. ปราชญ์ต้องยืนอยู่นอกเหนือชีวิตและมองดูมัน. ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเขาต้องรักปัจจุบันหรืออนาคต. จากนั้นเขาก็สามารถเดิมพันหมดหน้าตักไว้กับความคิดที่แจ่มชัดและการตัดสินใจที่ซื่อสัตย์ และพัฒนาการมองจักรวาลอย่างไร้ตัวตนด้วยการทุ่มเทให้กับความจริง. เพื่อที่จะเข้าถึงอารมณ์นี้ เขาต้องยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนกรานในเงื่อนไขที่สาม ที่ซึ่งผู้ศึกษารับคำสั่งให้รับไว้ซึ่งความสงบ ความยับยั้งชั่งใจ การเสียสละ ความอดทน ความสงบในจิตใจ และความศรัทธา. มีเพียงจิตใจที่ได้รับการฝึกฝนและควบคุมร่างกายได้สมบูรณ์เบ็ดเสร็จเท่านั้นที่สามารถสืบรู้และตรึกตรองได้อย่างไม่รู้จบตราบเท่าที่ชีวิตยังคงอยู่ โดยไม่ละสายตาจากวัตถุแม้สักนาทีเดียวหรือปล่อยให้สิ่งล่อใจทางโลกบดบังมัน. ผู้แสวงหาความจริงแท้ต้องมีความกล้าที่จำเป็น ในการสูญเสียสิ่งทั้งปวงเพื่อเข้าถึงจุดสูงสุดของเขา. ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่เขาจะต้องได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก รวมถึงการสำรวจตนเองโดยไม่ต้องมีความเวทนาปรานี  อันจะช่วยให้ผู้แสวงหาบรรลุถึงปลายสุดแห่งเสรีภาพได้ ความปรารถนาในโมกษะ (मोक्ष - Mokṣa - Liberation) หรือการปลดปล่อยเป็นเงื่อนไขประการที่สี่. บุคคลผู้มีสภาวะจิตใจด้านอภิปรัชญานั้น เป็นผู้ที่ละแล้ว
.
46
ซึ่งความปรารถนาทั้งปวงและฝึกจิตตน จักกลืนกินความปรารถนาเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น เพื่อบรรลุถึงจุดสิ้นสุดหรือเข้าถึงความเป็นนิรันดร์. ชาวภารตะให้ความเคารพอย่างสูงต่อปราชญ์เหล่านี้ พวกเขาภูมิใจในองค์ความรู้และพลังแห่งภูมิปัญญา ที่ซึ่งเหล่าชนภารตะบูชาพวกเขา. ดวงวิญญาณของผู้พยากรณ์ ผู้ซึ่งมีความปรารถนาอันแรงกล้าต่อความจริงแท้ ได้ใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะเข้าใจความลี้ลับของโลกมนุษย์ และเผยแพร่ออกมานั้น ได้ใช้เวลาทั้งกลางวัน และช่วงกลางคืนที่มิอาจข่มตาหลับได้ นับเป็นปราชญ์อย่างแท้จริง. ปราชญ์เหล่านี้เข้าใจประสบการณ์แทนมนุษยชาติ และด้วยเหตุนี้ เหล่าชนภารตะจึงรู้สึกขอบคุณพวกเขาตลอดไป.

สวนลอยแห่งบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon), ที่มา: worldhistory.org, วันที่เข้าถึง 13 มิถุนายน 2564.
1.
       การเคารพอดีตถือเป็นลักษณะนิสัยอีกประการหนึ่งของชาติ. มีความแน่วแน่ทางอารมณ์ ความภักดีอันยืนหยัดไม่ย่อท้อต่อการสูญเสียใด ๆ ในหนทางอันยาวไกลแห่งยุคสมัย. เมื่อต้องเผชิญกับวัฒนธรรมใหม่หรือความรู้ที่ขยายออกไปอย่างกระทันหัน ชาวภารตะมิได้ยอมจำนนต่อการล่อลวงในห้วงเวลาดังกล่าว ทว่ายังยึดมั่นในความศรัทธาดั้งเดิมของตน โดยผนวกสิ่งใหม่ไปยังสิ่งเก่าให้มากที่สุด. เสรีนิยมเชิงอนุรักษ์นี้ เป็นความลับแห่งความสำเร็จของวัฒนธรรมและอารยธรรมภารตะ. อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลกที่แก่เก่าจากไปตามอายุขัย  ก็มีแต่อารยธรรมภารตะนี่แหละที่ยังคงอยู่ได้. ความอลังการของอารยธรรมอียิปต์นั้น สามารถเรียนรู้ได้จากรายงานการศึกษาของนักโบราณคดี และการอ่านอักษรเฮียโรกลิฟิกเท่านั้น จักรวรรดิบาบิโลนซึ่งมีความมหัศจรรย์ทางด้านวิทยาศาสตร์ การชลประทาน และทักษะทางวิศวกรรม ซึ่งทุกวันนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าซากปรักหักพัง วัฒนธรรมโรมันอันยิ่งใหญ่พร้อมด้วยสถาบันทางการเมืองและแนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายและความเท่าเทียมกันนั้น ก็เป็นเรื่องของอดีตไปแล้วเป็นส่วนใหญ่. อารยธรรมภารตะซึ่งแม้จะประเมินไว้ต่ำที่สุดก็มีอายุกว่า 4,000 ปี ยังคงดำรงคุณลักษณะที่สำคัญเอาไว้. อารยธรรมของเธอ01. ย้อนหลังไปถึงสมัยพระเวท มีทั้งความเยาว์วัยและการแก่ชราในคราเดียวกัน. เธอได้ฟื้นคืนความเยาว์วัยเมื่อใดก็ตามที่กระแสประวัติศาสตร์เรียกร้อง. เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นโดยรู้ตัว. แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว และตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงนั้นก็เป็นเพียงชื่อใหม่ของวิธีคิดแบบเก่าเท่านั้น. ในฤคเวท02. เราจะเห็นถึงจิตสำนึกทางศาสนาของผู้รุกรานชาวอารยัน ได้สังเกตแนวคิดของผู้คนในดินแดน. ในอรรถรเวทนั้น เราจะพบเทพจักรวาลที่มีความคลุมเครือได้ถูกเพิ่มเติมเข้ากับเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ ไฟและลมที่ชาวอารยันบูชาจากแม่น้ำคงคาถึงเฮลเลสปอนท์03. ถือว่าเป็นการฟื้นฟูอุปนิษัทหรือ
---------------
หมายเหตุ คำอธิบาย

01. ในทางภาษาศาสตร์ มีการแบ่งคำนามเป็นเพศชาย-หญิง ภารตะหรืออินเดียนั้น ถือเป็นเพศหญิง.
02. ฤคเวท (
ऋग्वेद - Ṛgveda - ṛc = praise, verse and veda = knowlege.) อันเป็นหนึ่งในสี่พระเวท ซึ่งพระเวทประกอบด้วย
ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท และอรรถรเวท.
03. เฮลเลสปอนท์ (Hellespont) หรือช่องแคบดาร์ดาแนลล์ (Dardanelles) หรือช่องแคบกัลลิโพลี (Strait of Gallipoli) อันเป็นช่องแคบทางด้านตะวันตกของทูร์เคียปัจจุบัน อยู่ริมทะเลเอเจียน ซึ่งจะเชื่อมต่อไปช่องแคบบอสฟอรัส อิสตันบูล และต่อไปยังทะเลดำ.
.
47
ค่อนข้างจะเป็นการตระหนักรู้ถึงบางสิ่งที่พบในบทสวดแห่งพระเวท. ในภควัทคีตานั้น อ้างว่าสรุปคำสอนของอุปนิษัท01. ไว้. ในมหากาพย์ต่าง ๆ นั้น เรามีจุดบรรจบกันของแนวคิดทางศาสนาซึ่งแนวคิดสูงสุดกับการบูชาธรรมชาติในยุคแรก. การเคารพจิตวิญญาณอันน่าเกรงขามของมนุษย์ยุคเก่ากาล ทำให้เราประสบความสำเร็จในสิ่งใหม่ ๆ1. วิญญาณเดิมยังคงอยู่ แม้ว่ารูปแบบเก่าจะไม่คงอยู่ก็ตาม. แนวโน้มที่จะคงรูปแบบเดิมไว้ ได้ทำให้เกิดคำกล่าวที่เป็นที่นิยมว่าภารตะนั้นนิ่งเฉย. จิตใจของมนุษย์ไม่เคยหยุดนิ่ง แม้ว่าจะไม่ยอมละเมิดอดีตโดยเด็ดขาดก็ตาม.

       การเคารพอดีตนี้ ทำให้เกิดความต่อเนื่องทางความคิดของชาวภารตะ ซึ่งยุคสมัยต่าง ๆ ได้เรียงร้อยกันด้วยการเคารพนบนอบตามธรรมชาติ. วัฒนธรรมฮินดูนั้นเป็นผลผลิตของยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงที่กระทำขึ้นโดยรุ่นต่อรุ่นหลายร้อยรุ่น ซึ่งบางรุ้นนั้นยาวนาน และน่าเบื่อหน่าย ในขณะที่บางรุ่นสั้น รวดเร็ว และหรรษา ซึ่งแต่ละรุ่นได้เพิ่มบางสิ่งบางอย่างที่มีคุณภาพให้กับประเพณีอันรุ่มรวยที่ยิ่งใหญ่ซึ่งยังคงดำเนินอยู่ แม้ว่ามีร่องรอยของอดีตที่ตายแล้วก็ตาม. ความก้าวหน้าของปรัชญาภารตะนั้น เปรียบได้กับเส้นทางน้ำที่ไหลพลิ้วอย่างเริงร่าจากแหล่งกำเนิด ท่ามกลางยอดเขาทางตอนเหนือ ไหลรินผ่านหุบเขาอันมีร่มเงาและลงสู่ที่ราบลุ่ม และพัดพาลำธารเล็ก ๆ ด้วยกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก จนกระทั่งไหลพุ่งอย่างสง่างามและทรงพลังผ่านดินแดนและเหล่าผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากชะตากรรม ราวแบกบรรทุกเรือนับพันลำไว้บนอก. ใครจะไปรู้เล่าว่าเมื่อใดที่สายธารอันยิ่งใหญ่ยังคงเชี่ยวกรากและปรีดิ์เปรมจะไหลลงสู่มหาสมุทร พระผู้เป็นบิดาของทุกสายธารหรือ.

       นักคิดชาวภารตะจำนวนมากมองว่าปรัชญาภารตะทั้งหมดเป็นระบบแห่งการเปิดเผยอย่างต่อเนื่อง. พวกเขาเชื่อว่าแต่ละอารยธรรมกำลังสร้างความคิดอันศักดิ์สิทธิ์อกมา ซึ่งเป็นธรรมชาติของมัน.2 มี

 ---------------
1. ข้อมูลทางบรรณานุกรม: “การอ้างว่าสิ่งใหม่เป็นสิ่งเก่านั้น เป็นคุณลักษณะทั่วไปของการเคลื่อนไหวอันยิ่งใหญ่ในระดับต่าง ๆ. การปฏิรูปศาสนาถือว่าเป็นการกลับไปหาพระคัมภีร์ การเคลื่อนไหลของกลุ่มอีแวนเจลิคัล (Evangelical movement- ขบวนการเกี่ยวกับคำสอนของพระเยซู) ในอังกฤษ ถือเป็นการหวนกลับไปหาพระกิตติคุณ การเคลื่อนไหวของคริสตจักรชั้นสูงเป็นการหวนคืนสู่คริสตจักรในยุคแรก. แม้แต่การปฏิวัติในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการละเมิดอดีตครั้งใหญ่ที่สุดในอดีต ก็ยังถือว่าอุดมคติที่จะหวนคืนไปหาคุณธรรมของสาธารณรัฐโรมัน หรือความเรียบง่ายของมนุษย์ปถุชน”, (กิลเบิร์ต เมอร์เรย์, สี่ขั้นของศาสนาที่ยิ่งใหญ่, หน้า 58).
2. ชาวกรีกเรียกคุณสมบัติพิเศษของแต่ละคนว่า "ธรรมชาติ" และชาวภารตะเรียกว่า "ธรรมะ".

หมายเหตุ คำอธิบาย
01. อุปนิษัท (उपनिषद् - upaniṣad) รายละเอียดดูใน
อุปนิษัท: สรุปสาระสำคัญ.  
.
.
48
มีจุดมุ่งหมายที่อยู่ภายใน ซึ่งกำหนดชีวิตของแต่ละเผ่าพันธุ์มนุษย์ ให้มุ่งสู่การพัฒนาที่สมบูรณ์. มุมมองต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในภารตวรรษนั้น ถือเป็นกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ต้นเดียวกัน. ทางลัดและทางตันได้รับการปรับประสานให้เข้ากับเส้นทางหลักในการก้าวไปสู่ความจริงแท้. วิถีที่คุ้นเคยซึ่งระบบดั้งเดิมทั้งหก01. ได้รับการปรับประสานเข้าด้วยกัน เช่นเดียวกับที่มารดาชี้นิ้วไปยังดวงจันทร์ให้ทารกพูดถึงมันว่าเป็นวงกลมที่ส่องสว่างอยู่บนต้นไม้ ซึ่งเด็กก็เข้าใจได้ดี โดยมิต้องกล่าวถึงระยะทางอันยาวโยชน์ที่แยกโลกออกจากดวงจันทร์ ซึ่งทำให้เด็กสับสน แม้ว่าจะมีแง่มุมความคิดที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ก็เป็นไปให้เหมาะกับความกะปลกกะเปลี้ยที่แตกต่างกันในความเข้าใจของมนุษย์. พระโพธจันทโรทัย02 อันเป็นละครแนวปรัชญา ได้กล่าวว่าระบบทั้งหกของปรัชญาฮินดูนั้น มิได้แยกจากกัน แต่ได้สร้างสง่าราศีของพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันที่ไร้การสร้างสรรค์จากมุมมองที่แตกต่างกัน. เหล่าระบบปรัชญาทั้งหกได้ก่อตัวเป็นศูนย์รวมของรังสีที่กระจัดกระจาย ซึ่งความเป็นมนุษย์ในหลายแง่มุมนั้น ได้สะท้อนมาจากพระสุริยะอันเรืองรอง. ในคัมภีร์สรรพทรรศนะสังเคราะห์ของมาธวะ03 (ค.ศ.1380/พ.ศ.1923) ได้ร่างระบบความคิด 16 ระบบ เพื่อแสดงให้เห็นชุดความคิดที่ค่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนมาสิ้นสุดที่ อทไวตะ เวทานตะ (ไม่เป็นคู่นิยม หรือ อทวิภาวะ หรือ อทวินิยม). ด้วยจิตวิญญาณของเฮเกล04 เขามองว่าประวัติศาสตร์ของปรัชญาภารตะนั้น เป็นความพยายามที่ก้าวหน้าไปสู่แนวคิดที่ชัดเจนเกี่ยวกับโลก. ความจริงจะถูกเผยทีละน้อยในระบบที่ต่อเนื่องกัน และความจริงแท้อันสมบูรณ์จะสะท้อนออกมาก็ต่อเมื่อ ปรัชญาชุดหนึ่งได้เสร็จสมบูรณ์แล้วเท่านั้น. ในอทไวตะ เวทานตะนั้น มีลำแสงจำนวนมากที่นำมารวมเป็นหนึ่งเดียว. วิชญาณภิกขุ05 นักบวชและนักคิดในพุทธศตวรรษที่ 21 นั้น ยึดมั่นว่าทุกระบบล้วนมีอำนาจ1 และประสานความสอดคล้องกันโดยการแยกแยะความจริงเชิงอภิปรัชญา และมองเห็นสางขยะเป็นการแสดงออกุคงความจริงขั้นสุดท้าย ปราชญ์มธุสูทนะ สรสวตี06 ได้เขียนไว้ในปรสธานภีทะ07 ว่า : “ขอบเขตสูงสุดของเหล่ามุนีทั้งมวล ผู้ประพันธ์ระบบที่แตกต่างเหล่านี้ คือการสนับสนุนเห็นพ้องกับทฤษฎีมายา การออกแบบเพียงประการเดียวของเหล่ามุนีนี้คือ การสถาปนาการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าสูงสุดพระองค์เดียว แก่นแท้เพียงประการเดียวสำหรับเหล่ามุนีนั้น ไม่อาจที่จะเข้าใจผิดได้ เนื่องด้วยความรอบรู้ของพวกเขา. ครั้นเมื่อเหล่ามุนีเห็นว่าผู้ซึ่งไล่ล่าติดตามวัตถุภายนอกนั้น ไม่สามารถเจาะลึกถึงความจริงแท้สูงสุดได้ภายในคราวเดียว
---------------
1. สรวากมปรามาณยะ (सर्वागमप्रामाण्या - Sarvāgamaprāmāṇya) เป็นงานของสำนักแนวคิดนยายะ Nyaya-Manjari of Jayanta Bhatta กล่าวถึงจุดยืนประการหนึ่งซึ่งไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดมาก พระคัมภีร์ทุกศาสนามีความถูกต้องเท่าเทียมกัน.
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. ระบบดั้งเดิมทั้งหก รายละเอียดดูในแทรก 1 ของ ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 2.001

หน้าปกหนังสือ พระโพธจันทโรทัย, ประพันธ์โดย กฤษณะ มิศระ แปลเป็นภาษาอังกฤษโดย Dr. Sita K. Nambiar, เมื่อ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2555 โดยสำนักพิมพ์ Motilal Banarsidass ภารตะ.
1.
02. พระโพธจันทโรทัย (प्रबोधचन्द्रोदयम् - The Prabodhacandrodaya) หมายถึง พระจันทร์ที่ตื่นขึ้น (Rise of The Moon of Intellect) จากหนังสือ Prabodhacandrodaya ประพันธ์โดย กฤษณะ มิศระ (Kṛṣṇa Misŕa หรือ श्रीकृष्णामिश्र - Śrīkṛṣṇamiśra) ผู้ประพันธ์บทละครนี้ คาดว่าน่าจะอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 หรือช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 11 หรือต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 ในบทละคร ตัวละครเช่น วิเวก (विवेक - Viveka - การเลือกปฏิบัติ ความรอบคอบ - Discrimination, discretion) ศานติ (शान्ति - Śānti - สันติศรัทธา (श्रद्धा - Śraddhā) และ กรุณา (करुणा - Karuṇā - ความสงสาร) เป็นต้น เป็นตัวแทนเชิงสัญลักษณ์ของความรู้สึกและความคิดของมนุษย์ บทละครนี้ประกอบด้วย 6 องก์ ในบทละครเป็นการวิวาทะกันระหว่างวิเวกและมหาโมหะ (महामोहा - Mahāmoha) ถูกแสดงโดยผู้ประพันธ์ในเชิงสัญลักษณ์เพื่อแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ระหว่างคุณธรรมและความชั่วร้าย โดยคุณธรรมได้รับชัยชนะเหนือความชั่วร้าย ในบทละครนี้มีองค์ประกอบเชิงเสียดสี ผู้ประพันธ์วิพากษ์วิจารณ์ข้อบกพร่องของกลุ่มคนต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในสังคม, จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ MOTILAL BANARSIDASS, เดลลี ภารตะ พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2514 เป็นละครแนวปรัชญาที่มีการกำหนด บทบาทตัวละครไว้น่าสนใจ ตัวละครหลักคือ ปุรุษ (Puruṣa) มีตัวละครที่เกี่ยวข้อง เช่น ตัวละครเกี่ยวกับภาพลวงตา หรือ มายา (माया - Delusion) คือ
  • จารวาก (चार्वाक - Cārvāka - Materialist) – his great friend,
  • กาม (काम - Kāma - Concupiscence - ราคะ), โกรธ (क्रोध - Krodha - Anger), โลภ (लोभा - Lobha - Greed), ดังภะ (दण्डभा - Daṃbha - Deceit - หลอกลวง), อหังการ์ (अहङ्कार - Ahaṃkāra - Egoism) – his ministers,
  • มิจฉาทิฏฐิ (मिथ्यादृष्ट् - Mithyādṛṣṭ - Error) – his wife,
  • วิภรามาวตี (विभ्रमावती - Vibhramāvatī - Confusion) – his wife’s friend,
  • รติ (रति - Rati - Pleasure) – Kāma’s wife,
  • หิงสา (हिंसा - Hiṃsā - ความรุนแรง - Violence) – the wife of Krodha,
  • ทฤษณา (तृष्णा - Tṛṣṇā - Desire) – the wife of Lobha.
มีตัวละครเกี่ยวกับวิเวก (Viveka) คือ:
  • มติ (मति - Mati - Reason) – his wife,
  • สังโทษะ (संतोष - Saṃtoṣa - Contentment) – his friend,

คัมภีร์สรรพทรรศนะสังเคราะห์ โดยมาธวอาจารยะ, ที่มา: www.amazon.com, วันที่เข้าถึง: 25 พฤษภาคม 2568.
1.
03. คัมภีร์สรรพทรรศนะสังเคราะห์ของมาธวะ (Mādhava’s Sarvadarśanasaṁgraha) อ้างอิงจาก "Rediscovering India", Indian Philosophy Library, SARVA-DARSANA SAMGRAHA, แปลเป็นภาษาอังกฤษโดย GOUTH A.E. COWELL E.B. Vol.9, 1987, สำนักพิมพ์ COSMO PUBLICATIONS พิมพ์ที่ นิวเดลี รายละเอียดดูได้ใน สรรพทรรศนะสังเคราะห์ 1 - บทนำและระบบจารวาก
04. เกออร์ค วิลเฮ็ล์ม ฟรีดริช เฮเกล (Georg Wilheim Friedrich Hegal) (27 สิงหาคม พ.ศ.2313 – 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2374) นักปรัชญาชาวเยอรมัน สำนักคิดจิตนิยม (idealism) รายละเอียดดูใน D11. เกออร์ก เฮเกล.
05. วิชญาณภิกษุ (विज्ञानभिक्षु  - Vijñānabhikṣu) รายละเอียดดูในหน้าที่ 1 ของ 02B. บรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ.
06. ปราชญ์มัทสุธาณะ สรสวตี (मधुसूदन सरस्वती - Madhusūdana Sarasvatī) รายละเอียดดูในหน้าที่ 1 ของ 02B. บรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ.
07. ปรสธานภีทะ (प्रस्थानभेद - Prasthānabheda) รายละเอียดดูในหน้าที่ 1 ของ 02B. บรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ.

1.
2.
49
เหล่ามุนีจึงเสนอทฤษฎีต่าง ๆ ให้แก่เขาเหล่านั้น เพื่อไม่ให้พวกเขาตกอยู่ใต้ความเป็นอเทวนิยม01. ความเข้าใจผิดเกี่ยววัตถุสิ่งของซึ่งเหล่ามุนีมีความเห็นอยู่นั้น และแสดงให้เห็นว่าเขาเหล่านั้นได้ถูกกำหนดแบบมาเพื่อเสนอหลักคำสอนที่แย้งกับพระเวท เหล่าผู้คนจึงเริ่มมองหลักคำสอนเฉพาะของสำนักต่าง ๆ เหล่านี้ด้วยความชอบเป็นพิเศษ และด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นผู้ยึดมั่นในระบบต่าง ๆ .”1 นักวิจารณ์พิเคราะห์เกือบทั้งหมด2 พยายามจะปรับระบบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกัน. ความแตกต่างอยู่ที่สิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นความจริงเท่านั้น. ผู้ปกปักรักษาปรัชญานยายะ เช่น อุทัยนาจารย์03 ได้เฝ้ามองมายังปรัชญานยายะ และผู้มีแนวคิดเทวนิยมดังเช่นรามานูชาจารย์04 ที่ถือว่าลัทธิเทวนิยมนั้นเป็นความจริงแท้. สอดคล้องกับจิตวิญญาณของวัฒนธรรมภารตะที่คิดว่ากระแสแนวคิดอันหลากหลายที่ซึมซับผ่านแทรกในแผ่นพื้นธรณีนั้น จะปล่อยเป็นน้ำไหลผ่านลงสู่เพียงหนึ่งน้ำนที จะท่วมท้นกลายเป็นเมืองแห่งพระผู้เป็นเจ้า.

       ตั้งแต่แรกเริ่ม ชาวภารตะตระหนักดีว่าความจริงแท้นั้นมีหลายแง่มุม และมุมมองที่แตกต่างกัน ก็มีความจริงแท้ในแง่มุมต่าง ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่. ดังนั้นชาวภารตะจึงอดทนและเปิดรับมุมมองอื่น ๆ . เขาไม่หวั่นไหวที่จะยอมรับแม้แต่หลักคำสอนที่เป็นอันตราย ตราบใดที่พวกเขาเหล่าชนภารตะมีหลักตรรกะรองรับ. เขาไม่ยอมให้ความตายบังเกิดขึ้น หากยังสามารถช่วยได้ แม้เพียงจุดเล็ก ๆ เศษเสี้ยวแห่งจารีตประเพณีก็ตาม แต่ก็จะพยายามยอมรับมันให้ได้ทั้งหมด. เราพบกรณีการปฏิบัติที่อดกลั้นเช่นนี้หลายกรณีในระหว่างการศึกษาของเรา. แน่นอนว่ามีอันตรายเกิดขึ้นจากทัศนคติเช่นนี้. บ่อยครั้งที่สิ่งนี้ได้นำเหล่าภารตะคุรุมีทัศคติที่คลุมเครือ ยอมรับอย่างเพิกเฉยเย็นชา และยึดมั่นในลัทธิที่ไร้เหตุผล.
 
 
III
 
างอย่างที่ต้องจ่ายไปเกี่ยวกับรัชญาารตะ
 
       ข้อกล่าวหาหลักที่ต่อต้านปรัชญาภารตะ อาทิ การมองโลกในแง่ร้าย ความหยิ่งยโสดื้อรั้น ความเฉยเมยต่อจริยธรรม และการไม่ก้าวรุดหน้า.

       นักวิจารณ์ปรัชญาและวัฒนธรรมภารตะแทบทุกท่าน ต่างวิจารณ์ความมองโลกในแง่ร้ายของปรัชญาและวัมนธรรมภารตะ.3 อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถเข้าใจ

---------------
1. ดูใน มัวร์02 อ.ส.ด. (อักษรสันสกฤตดั้งเดิม) เล่มที่ 4 บทที่ 1 และ 2.
2. สรรพทรรศนะสามรสยะ (सर्वदर्शनासाम्रस्य - Sarvadarśanasāmrasya)
อยู่ระหว่างการสืบค้น...!!!

3. ไชลี่ย์, ในงาน Administrative Problems (หน้าที่ 67), ยืนยันว่าปรัชญาของอินเดียเกิดจาก “ความเกียจคร้านและความปรารถนาที่จะพักผ่อนชั่วนิรันดร์.”
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. อเทวนิยม (atheism) คือ ทรรศนะที่ไม่เชื่อว่ามีพระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในกฎธรรมชาติ.
02. มัวร์ (Dr. John Muir) เป็นผู้มีความรู้ในภาษาสันสกฤต ภารตวิทยา และเป็นผู้พิพากษาในอินเดีย {ชาตะ: กลาสโกว์ สก็อตแลนด์ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2353 (ค.ศ.1810) – มรณะ: อดินเบอระ สก็อตแลนด์ 7 มีนาคม พ.ศ.2425 (ค.ศ.1882)} ผลงานสำคัญคือในปี พ.ศ.2404 (ค.ศ.1861) “Original Sanskrit Texts on the Origin and Progress of the Religion and Institutions of India.”
03. อุทัยนาจารย์ (उदयन - Udayana หรือ उदयनाचार्य - Udayanācārya) รายละเอียดดูในหน้าที่ 1 ของ 02B. บรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ.
04. รามานูชาจารย์ (
रामानुज - Rāmānuja) รายละเอียดดูในหน้าที่ 1 ของ 02B. บรรดาเหล่าปราชญ์ภารตะ.
.
.
50
ได้ว่าจิตใจของมนุษย์สามารถคาดเดาได้อย่างอิสระและปรับเปลี่ยนชีวิตได้อย่างไร ในเมื่อชีวิตเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและความรู้สึกสิ้นหวังที่จะเอาชนะ. โดยปริยายแล้ว ขอบเขตและเสรีภาพของความคิดภารตะไม่สอดคล้องกับการมองโลกในแง่ร้ายขั้นสุดยอด. ปรัชญาภารตะเป็นปรัชญาที่มองโลกในแง่ร้ายแล้วไซร้ หากการมองโลกในแง่ร้ายนี้หมายถึงความรู้สึกที่ไม่พึงใจกับสิ่งที่เป็นอยู่หรือมีอยู่. ในความหมายนี้ ปรัชญาล้วนมองโลกในแง่ร้าย. ความทุกข์ในโลกก่อให้เกิดปัญหากับปรัชญาและศาสนา. ระบบศาสนาที่เน้นการไถ่บาปจะแสวงหาหนทางหนีจากชีวิตที่เราดำเนินอยู่บนโลก. แต่ในสาระสำคัญ ความจริงไม่ได้เป็นสิ่งชั่วร้าย. ในปรัชญาภารตะ คำว่า “สัต01 เดียวกันนี้บ่งบอกถึงทั้งความจริงและความสมบูรณ์แบบ. ความจริงและความดี หรือจะพูดให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ ความเป็นจริงและความสมบูรณ์แบบนั้นไปด้วยกันได้. ความจริงนั้นมีค่าสูงสุดเช่นกัน และนี่คือพื้นฐานของการมองโลกในแง่ดีทั้งหมด. ศาสตราจารย์โบซานเกต์02 เขียนไว้ว่า: "ข้าพเจ้าเชื่อในการมองโลกในแง่ดี แต่ข้าพเจ้าขอเสริมว่าไม่มีการมองโลกในแง่ดีนั้นไม่คุ้มค่าเลยหากมองโลกในแง่ร้ายเกินไปและไปถึงจุดที่เหนือกว่านั้น ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่านี่คือจิตวิญญาณที่แท้จริงของชีวิต และถ้าผู้ใดเห็นว่ามันเป็นอันตราย และเป็นข้ออ้างในการยอมจำนนต่อความชั่วร้ายโดยไม่มีเหตุผล ข้าพเจ้าขอตอบว่าความจริงทั้งปวงที่ละเอียดถี่ถ้วนมีความเสี่ยงที่จะนำไปปฏิบัติ."1 นักคิดชาวภารตะต่างมองโลกในแง่ร้าย เพราะมองว่าระเบียบโลกเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายและโกหกหลอกลวง พวกเขามองโลกในแง่ดีเพราะพวกเขารู้สึกว่ามีทางออกจากระเบียบโลกโดยจะเข้าไปสู่ขอบเขตของความจริง ซึ่งก็คือความดีด้วยเช่นกัน.

       (review again from here) กล่าวกันว่าปรัชญาภารตะนั้นไม่มีค่าอะไรเลย หากไม่ได้เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ และปรัชญาที่แท้จริงไม่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยเพียงแต่ยอมรับหลักคำสอนเท่านั้น. วิถีความคิดของชาวอินเดียจะเป็นคำตอบสำหรับข้อกล่าวหานี้. ระบบของปรัชญาหลายระบบได้ถกเถียงกันถึงปัญหาของความรู้ ที่มา และความถูกต้องของความรู้เป็นเบื้องต้นในการศึกษาปัญหาอื่น ๆ . เป็นความจริงที่พระเวทหรือศรุตนั้น โดยทั่วไปแล้วถือว่าเป็นแหล่งความรู้ที่เชื่อถือได้. แต่ปรัชญาจะกลายเป็นเรื่องที่ดื้อรั้น ก็ต่อเมื่อคำยืนยันของพระเวทถูกมองว่าเหนือกว่าหลักฐานของความรู้สึกและข้อสรุปของเหตุผล.
---------------

1. อุดมคติทางสังคมและสากล (Social and International Ideas), หน้าที่ 43 เปรียบเทียบหรือข้อมูลทางบรรณานุกรมของโชเพินเฮาเออร์03 "การมองโลกในแง่ดีนั้น เมื่อมันไม่ใช่แค่คำพูดที่ไร้ความคิดเช่นได้ปิดบังอะไรไว้ เพียงแต่เป็นคำที่อยู่ใต้หน้าผากของพวกเขา ไม่เพียงแต่จะดูไร้สาระเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีคิดที่ชั่วร้ายจริง ๆ เป็นการเยาะเย้ยอันขมขื่นของมนุษยชาติที่ทุกข์ยากเกินบรรยาย"
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. สัต (सत् - Sat) - มีอยู่ ดำรงอยู่ จริง จำเป็น ใช่แล้ว เหมาะสม ดีที่สุด น่านับถือ.
02. ศาสตราจารย์ เบอร์นาร์ด โบซานเกต์
 (Professor Bernard Bosanquet) ชาตะ 14 มิ.ย. พ.ศ.2391 (ค.ศ.1848) มรณะ 8 ก.พ. พ.ศ.2466 (ค.ศ.1923) ท่านเป็นนักปรัชญาสำนักอังกฤษและนักทฤษฎีทางการเมือง งานของท่านมีอิทธิพลต่อระบบการเมืองและนโยบายด้านสังคม.
03. อาร์ทัวร์ โชเพินเฮาเออร์ (Arthur Schopenhauer) ชาตะ 22 ก.พ. พ.ศ.2331 (ค.ศ.1788) มรณะ 21 ก.ย. พ.ศ.2403 (ค.ศ.1860) เป็นนักปรัชญาชาวเยอรมันที่เป็นที่รู้จักกันดีในความแจ่มแจ้งทางปรัชญาและทุทรรศนนิยมของความไม่มีพระเจ้า เมื่ออายุ 25 ปีโชเพินเฮาเออร์พิมพ์ปริญญานิพนธ์ มูลบัญญัติสี่ประการของเหตุผล (Über die vierfache Wurzel des Satzes vom zureichenden Grunde) ที่เป็นปรัชญาที่พิจารณาคำถามที่ว่าเหตุผลเพียงอย่างเดียวจะสามารถให้คำตอบเกี่ยวกับโลกได้หรือไม่ งานชิ้นที่มีอิทธิพลที่สุดของโชเพินเฮาเออร์ Die Welt als Wille und Vorstellung (The World as Will and Representation) เน้นบทบาทของแรงบันดาลใจ (motivation) ของมนุษย์ที่โชเพินเฮาเออร์เรียกว่า "เจตจำนง" (Will) การวิจัยของโชเพินเฮาเออร์นำไปสู่การสรุปว่าความต้องการทางอารมณ์, ทางร่างกาย และทางเพศ เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะตอบสนองได้อย่างเต็มที่ ฉะนั้นโชเพินเฮาเออร์จึงนิยมวิถีชีวิตที่ลดความต้องการของมนุษย์ เช่น การบำเพ็ญเพียร การปฏิเสธตัวเอง ที่คล้ายคลึงกับปรัชญาของศาสนาพุทธและเวทานตะ.

.
.
51
ถ้อยแถลงของพระเวท คือ อาปตวจนะ01 หรือคำกล่าวของปราชญ์ซึ่งเราถูกเรียกร้องให้ยอมรับ หากเรารู้สึกเชื่อว่าผู้ที่ฉลาดนั้น มีวิธีการที่ดีกว่าที่เรามี ในการตัดสินเรื่องที่เป็นปัญหา. โดยทั่วไปแล้ว ความจริงของพระเวทนั้น ได้กล่าวถึงประสบการณ์ของผู้พยากรณ์ ซึ่งต้องคำนึงถึงความจริงแท้อย่างมีเหตุผลด้วย. ประสบการณ์โดยสัญชาตญาณเหล่านี้สถิตอยู่ในความเป็นไปได้ของทุก ๆ คน หากพวกเขาต้องการที่จะมีมัน.1 การอ้อนวอนไปยังพระเวทนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการอ้างถึงมาตรฐานพิเศษทางปรัชญาใด ๆ . หลักธรรมสำหรับคนธรรมดาสามัญนั้นก็คือประสบการณ์ของผู้มีใจบริสุทธิ์. เป็นความจริงที่ว่า เมื่อเราก้าวย่างไปถึงขั้นของข้อคิดเห็นที่มีขึ้นภายหลัง เรามีสถานะที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในเชิงปรัชญา เมื่อการคาดการณ์ได้กลายเป็นการป้องกันทางวิชาการของหลักคำสอนอันเป็นที่ยอมรับ. ระบบเริ่มแรกเดิมทีนั้น ยังเรียกตนเองว่าเป็นนักวิพากษ์วิจารณ์และก็อ้างตนว่าเป็นผู้ให้ความเห็นเกี่ยวกับคัมภีร์เก่า แต่ไม่มีแนวโน้มเลยที่พวกเขาจะเป็นนักปราชญ์ เนื่องจากอุปนิษัทที่พวกเขามองหาแรงบันดาลใจนั้นมีหลายด้าน.2 หลังจากความขัดแย้งทางปรัชญาในคริสต์ศตวรรษที่แปด ได้กลายเป็นประเพณีและมีลักษณะทางวิชาการ และเราก็พลาด (ประเด็นด้าน) เสรีภาพในยุคก่อนหน้า. เหล่าผู้สถาปนาสำนัก (ปรัชญา) ต่าง ๆ นั้น ได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญ ดังนั้นการกังขาในความคิดเห็นของเขาดูจะเป็นเรื่องขาดความศักดิ์สิทธิ์และดูต่ำทรามสักหน่อย. ข้อเสนอพื้นฐานนั้นได้รับการตัดสินเพียงครั้งเดียว และหน้าที่ของคุรุก็เป็นเพียงถ่ายทอดความเชื่อต่าง ๆ ของสำนัก ซึ่งเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงของสมองของคุรุและเวลาที่ต้องการ. เรามีข้อโต้แย้งที่สดใหม่สำหรับข้อสรุปที่ได้กล่าวมาแล้ว เหตุผลใหม่เพื่อเผชิญกับปัญหาใหม่ และการรังสรรค์ของเก่าขึ้นใหม่ โดยการเปลี่ยนส่วนหน้าเล็กน้อยหรือบิด (เบือน) ด้วยวิภาษวิธี. มีการทำสมาบัติทำสมาธิน้อยลงที่เกี่ยวกับปัญหาชีวิตในเชิงลึก และอภิปรายถกเถียงมากขึ้นกับปัญหาที่เป็นสิ่งประดิษฐ์เทียม ๆ . สมบัติพัสถานที่เรามีอยู่เดิมนั้นอุดตันเราด้วยความมั่งคั่งอันเป็นภาระ และปรัชญาก็หยุดเคลื่อนไหวและบางครั้งก็พบว่ายากที่จะสูดอากาศหายใจให้เต็มปอด. มีข้อกล่าวหาในเรื่องการไม่แสวงหากำไรที่ร้องขึ้นกันทั่วไปแย้งกับปรัชญาอินเดียทั้งมวล ซึ่งอาจจะมีบางประเด็นเมื่อนำมาประยุกต์กับการบรรยายของเหล่านักวิพากษ์วิจารณ์ ผู้ซึ่งไม่ได้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับแรงดลใจจากชีวิตและความงดงามที่เหล่าปราชญ์รุ่นก่อนเป็น แต่นักวิภาษวิธีที่เชี่ยวชาญต่างตระหนักถึงพันธกิจเพื่อมนุษยชาติ. ทว่าแม้ภายใต้ความชราอันเป็นเปลือกกระพี้ที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้นั้น
---------------
1. ดูใน S.B.V.S., หนังสือหายากของ V.S. (Sacred Book of V.S.), บทที่ 3 บรรพที่ 2 บรรทัดที่ 24.
2. วิศวโตมุกคา
02
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. อาปตวจนะ (आप्तवचन - āptavacana) หมายถึง การได้รับข้อความ หรือ สิทธิอำนาจ การเปิดเผย.
02. วิศวโตมุกคา (Viśvatomukhāḥ) หันหน้าไปทางโลก- (World-facing) (สู่โลกอันเป็นโลกียะ).

.
.
52
จิตวิญญาณยังคงอ่อนเยาว์ และจากนั้นก็ผลิแตกออกและแตกหน่อออกมาเป็นสิ่งสดเขียวและอ่อนโยน. มีมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นเฉกเช่น ศังกราจารย์ หรือ มาธวะ01 ผู้เรียกตนว่าผู้ออกความเห็น (อรรกถาจารย์) กระนั้นก็ยังซึมซาบหลักการทางจิตวิญญาณซึ่งชี้นำการเคลื่อนไหวของโลก.

       ปรัชญาอินเดียมักถูกต่อต้านว่าไม่มีจริยธรรม. “ในทางปฏิบัติแล้ว ไม่มีปรัชญาทางจริยธรรมอยู่ภายในพรมแดนด้านแนวคิดของชาวฮินดู.”1 อย่างไรก็ตามข้อกล่าวหานี้ไม่สามารถคงอยู่ได้ ความพยายามที่จะเติมเต็มทั้งชีวิตด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณนั้นเป็นเรื่องปกติ. ถัดไปก็คือการจำแนกความจริงแท้ พระธรรมเป็นแนวคิดที่สำคัญที่สุดของชาวอินเดีย. ศาสนาอันมีเนื้อหาเกี่ยวกับจริยธรรมที่แท้จริงก็คือ พระพุทธศาสนา ศาสนาเชน และศาสนาฮินดูก็ไม่ได้ด้อยกว่าศาสนาอื่น. ความสมบูรณ์ทางจริยธรรมเป็นก้าวแรกสู่ความรู้อันศักดิ์สิทธิ์.
ที่มา: https://storylog.co/story/590d83323a2d222a22214e2e, วันที่เข้าถึง 10 พฤศจิกายน 2564.
.
        กล่าวกันว่าปรัชญาในอินเดียยังคงสถิตนิ่ง แสดงถึงการทำงานอันมิรู้จบในการนวดฟางเก่า ๆ . (กระบวนการทำงานที่ดูธรรมดา พื้น ๆ สงบนิ่ง และไม่รู้จบ) “ตะวันออกที่ไม่เปลี่ยนแปลง” นั้น หมายความว่าเวลาของอินเดียได้หยุดโบยบินและยังคงนิ่งอยู่ตลอดไป. หากมันหมายความว่ามีอัตลักษณ์พื้นฐานอยู่ในบรรดาปัญหาต่าง ๆ ดังนั้นความไม่รุดก้าวไปข้างหน้าประเภทนี้เป็นคุณลักษณะทั่วไปของการพัฒนาทางปรัชญาทั้งหมด. มีปัญหาเดิม ๆ ของพระผู้เป็นเจ้า เสรีภาพ ความเป็นอมตะ และการแก้ปัญหาอันไม่พึงใจแบบเดิม ๆ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา. แม้ว่ารูปแบบของปัญหาจะเหมือนเดิม แต่เนื้อหาสาระตัวปัญหาได้เปลี่ยนไป. มีความแตกต่างกันทั้งหมดในโลกระหว่างพระผู้เป็นเจ้าในบทสวดของพระเวทกำลังดื่มโสม และความสมบูรณ์ของศังกราจารย์. สภาวการณ์ต่าง ๆ ที่ซึ่งปรัชญาต้องมีการปรับแต่งตนเองในแต่ละรุ่นนั้น ความพยายามที่จะจัดการกับเหล่าปัญหาจำต้องมีการปรับตัวปรัชญาให้ทันกาล (เป็นปัจจุบัน). หากการคัดค้านนั้นได้หมายความว่าไม่มีความแตกต่างเชิงพื้นฐานมากนัก ระหว่างวิธีการแก้ปัญหาที่ได้ให้ไว้ในพระคัมภีร์เก่าแก่ของอินเดียกับผลงานด้านศาสนาคริสต์ต่าง ๆ ของเพลโต ก็แสดงให้เห็นเพียงว่าพระวิญญาณอันเป็นสากลซึ่งเปี่ยมด้วยความรักองค์เดียวกันนี้ นาน ๆ ครั้งได้ส่งวรสารและเปล่งสุรเสียงออกมา. เรื่องราวศักดิ์สิทธิ์อันเป็นแก่นสารได้ไหลชโลมลงมาสู่เราครั้งเก่ากาลในยุคต่าง ๆ ที่สมดุล มีสีสันตามเชื้อชาติและประเพณี. ถ้ามันหมายความว่ามีความคารวะบางประการในอดีตที่กระตุ้นให้ปราชญ์อินเดียเทไวน์ใหม่ลงในขวดเก่า ซึ่งเราได้เกริ่นไปแล้วว่านี่
---------------
1. ฟาควาร์, วารสารฮิบเบิร์ต, ตุลาคม พ.ศ.2464, หน้า 24.
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. มาธวะ (Mādhava) แปลว่า ผู้นำมาซึ่งฤดูใบไม้ผลิ.
.
.
53
เป็นลักษณะเฉพาะของจิตใจชาวอินเดีย. วิถีที่จะเติบโตก็คือการนำคุณธรรมความดีทั้งหมดที่ผ่านไปแล้วมาเพิ่มเสริม. นี่คือการสืบสานความเชื่อของบรรพชนและดัดแปลงไปตามจิตวิญญาณแห่งกาลเวลา. หากปรัชญาความคิดอินเดียเป็นเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ เพราะไม่คำนึงถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ก็คือความไร้ประโยชน์ซึ่งสิ่งเก่าทั้งหมดมีอยู่ในสายตาของสิ่งใหม่. การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของปรัชญามากเท่ากับวิพากษ์วิจารณ์นี้. ทฤษฎีที่ปฏิวัติในมุมมองด้านวิทยาศาสตร์อย่างมากของพวกเขา ด้านวิวัฒนาการทางชีววิทยาและความสัมพันธ์ทางกายภาพนั้น  ไม่ได้กระทบต่อหลักปรัชญาต่าง ๆ ที่ได้รังสรรค์ขึ้นแต่อย่างใด เพียงได้รับการยืนยันว่ามีสาขาวิทยาการใหม่ ๆ เกิดขึ้น.

       ภาระของความไปไม่ถึงไหนหรือความไม่คงที่ จะเกิดขึ้นกับเราในขั้นตอนที่มีนักวิพากษ์วิจารณ์ที่ยิ่งใหญ่ได้วิจารณ์ขึ้น. งานในอดีตจะหนักอึ้งขึ้น ความคิดริเริ่มถูกระงับ และผลงานของเหล่าปราชญ์ เปรียบได้กับผู้ศึกษาในยุคกลาง จำนนต่ออำนาจและประเพณีในแบบเดียวกัน และการรุกคืบของอคติทางเทววิทยาแบบเดิม ๆ ก็เริ่มต้นขึ้น. ปราชญ์อินเดียสามารถทำได้ดีกว่าเพราะมีอิสระที่มากขึ้น. เพื่อให้การพัฒนาทางด้านปรัชญาได้มีชีวิตชีวาต่อไป เพื่อรักษากระแสพลังสร้างสรรค์ให้ดำเนินต่อไป (จำต้องมี) การเชื่อมโยงกับชีวิตที่เคลื่อนไหวนี้สามารถเอื้ออำนวยความอิสระทางความคิดที่แท้จริงอันเป็นสิ่งจำเป็นไว้. ซึ่งบางทีปรัชญาอินเดียได้สูญเสียความแข็งแกร่งและพลัง เมื่อโชคชะตาทางการเมืองของเธอพบกับความพ่ายแพ้ ก็อาจได้รับแรงบันดาลใจและแรงกระตุ้นใหม่ ๆ จากยุคที่เพิ่งจะเริ่มขึ้นต้น. หากปราชญ์อินเดียผสมผสานความรักของสิ่งเก่ากาลเข้ากับความกระหายในสิ่งที่เป็นความจริง ปรัชญาอินเดียก็อาจมีอนาคตที่รุ่งโรจน์เหมือนเช่นอดีต. 
 .
 .
IV
 
คุณค่าของการศึกษารัชญาอินเดีย
 
       มันไม่ได้เป็นเพียงชิ้นส่วนของการสำรวจโบราณวัตถุที่ความคิดของอินเดียควรค่ากับการศึกษา. การคาดการณ์ของปราชญ์เฉพาะ (บางนิกายหรือลัทธิ) หรือความคิดในยุคอดีตนั้นไม่ไร้ค่า. ไม่มีสิ่งใดที่ชายและหญิงจะปล่อยให้พลังสูญเสียไปโดยสิ้นเชิง. ในความคิดของชาวอารยันในยุคพระเวท เราจะพบเห็นถึงการต่อสู้ภายในจิตใจอันทรงพลัง
.
.
54
ด้วยปัญหาสูงสุดในการจัดวาง (กรอบและแนวความคิด) ไปยังผู้ใคร่ครวญ. จากคำกล่าวของเฮเกิล: “ในความหมายที่แท้จริงแล้ว ประวัติศาสตร์ของปรัชญานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับอดีต แต่อยู่กับนิรันดร์และตามความเป็นจริงปัจจุบัน และผลลัพธ์ที่ได้นั้นดูคล้ายคลึงกัน ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์แห่งความคลาดเคลื่อนทางสติปัญญาของมนุษย์ แต่เป็นวิหารของเทพเจ้าที่แสดงลำดับขั้นต่าง ๆ ของตรรกะอันถาวรในความคิดของเหล่ามวลมนุษยชาติ”.1 ประวัติความคิดของอินเดียนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นตั้งแต่แรก เป็นเพียงเป็นการสืบสานความคิดที่น่าสะพึงกลัวอันตามติดกันมาอย่างรวดเร็ว.

       ช่างง่ายดายที่จะสร้างกีฬาแห่งปรัชญา เนื่องจากยังมีผู้ที่พึงใจที่จะอยู่ท่ามกลางสิ่งที่มีเหตุมีผลและคิดในทางที่เลอะเทอะ ปัญหาทางปรัชญาจะมีลักษณะที่ไม่เป็นจริงและมีรสแห่งความไร้สาระ. นักวิจารณ์ที่คิดตรงข้ามมองว่าข้อขัดแย้งของปรัชญานี้ เป็นการสับตรรกะอย่างสิ้นเปลือง และการจัดการทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับปริศนาเช่น "ไก่กับไข่อย่างไหนเกิดก่อนกัน"2 ปัญหาที่อภิปรายในปรัชญาอินเดีย ทำให้เหล่าชนงุนงงตั้งแต่ต้นเรื่อง แม้ว่าจะไม่เคยได้รับการแก้ไขให้เป็นที่พอใจแก่ทุกคนก็ตาม. ดูเหมือนว่าจะมีความต้องการอันจำเป็นของมนุษย์หรือความปรารถนาที่จะรู้ถึงธรรมชาติของจิตวิญญาณและพระผู้เป็นเจ้า. เหล่าผู้ครุ่นคิดทุกคน เมื่อได้ใคร่ครวญถึงความจริงที่ว่า พวกเขาได้ถูกกวาดไปอย่างไม่หยุดไล่ไปตามโค้งใหญ่ของการกำเนิดไปสู่ความตาย กระแสแห่งชีวิตได้เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งซึ่งดันสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่สามารถสอบถามอะไรได้ อะไรคือจุดประสงค์ทั้งหมดนั้น โดยรวมแล้ว นอกเหนือจากเหตุการณ์เล็กน้อยที่ทำให้เสียสมาธิในระหว่างทางเท่านั้นหรือ. ปรัชญาไม่ใช่เรื่องแปลกของอินเดีย แต่เป็นความสนใจใคร่รู้ของมนุษย์.

       หากเราละทิ้งปรัชญาทางวิชาชีพ ซึ่งอาจดูเป็นธุรกิจที่ไร้ประโยชน์ ในอินเดีย เรามีการพัฒนาความคิดเชิงตรรกะที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในอินเดีย. งานของปราชญ์อินเดียนั้นมีคุณค่ามากต่อการพัฒนาความรู้ของมนุษย์ เราจึงตัดสินงานของเหล่าปราชญ์ว่าคู่ควรแก่การศึกษา แม้ว่าเราจะพบข้อผิดพลาดอย่างชัดแจ้งก็ตาม. หาก (เราพบ) ความวิปริตที่บ่อนทำลายปรัชญาแล้ว (เราก็) ควรละทิ้งไปเสีย. ท้ายที่สุด ความคงอยู่ของความจริงอย่างถาวรอาจได้รับการยอมรับว่า

---------------
1. ตรรกะ, หน้าที่ 137., การแปลของวอลเลซ.
2. ท้ายที่สุดแล้ว คำถามนี้ไม่ได้ซ้ำซากหรือไร้เดียงสาอย่างที่คิด. ดูในหนังสือของ ซามวล บัตเลอร์ 'โชคหรือเล่ห์เหลี่ยม'.

.
.
55
เป็นผลงานที่ทรงประสิทธิผลต่อความคิดของมนุษย์ แม้แต่เรื่องที่เกี่ยวกับนักคิดที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลกตะวันตก เช่น เพลโตและอริสโตเติล ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่นัก. เป็นเรื่องง่ายที่จะยิ้มให้กับโคลงอันวิจิตรงดงามของเพลโตหรือความดื้อรั้นที่น่าเบื่อหน่ายของเดส์การต01 หรือประสบการณ์เชิงประจักษ์อันแห้งผากของฮูม02 หรือความขัดแย้งอันน่าสับสนของเฮเกิล และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราได้ประโยชน์จากการศึกษาผลงานของเหล่าปราชญ์นี้. ถึงกระนั้น แม้ความจริงอันสำคัญยิ่งของนักคิดชาวอินเดียเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่หล่อหลอมประวัติศาสตร์ของจิตใจมนุษย์ แต่ก็มีการสังเคราะห์ถึงแนวคิดที่เป็นระบบที่หยิบยกขึ้นมาโดย บาทรายณะ03 หรือ ศังกราจารย์ ซึ่งจะยังคงเป็นจุดสังเกตของความคิดมนุษย์และอนุสรณ์สถานของอัจฉริยบุคคล.1 

       สำหรับผู้ศึกษาชาวอินเดียที่ได้ศึกษาปรัชญาอินเดียเพียงอย่างเดียวนั้น ก็สามารถให้มุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับอดีตของอินเดียได้. ในปัจจุบัน โดยเฉลี่ยแล้วชาวฮินดูมองว่าระบบในอดีตของพวกเขา ได้แก่ พระพุทธศาสนา ลัทธิอทไวตะ ลัทธิทไวตะ นั้น ล้วนมีค่าควรและยอมรับเหตุผลได้เท่าเทียมกัน. ผู้เขียนระบบ (ระบบปรัชญาทั้งหก หรือ ษาฑทรรศนะ) ได้รับการบูชาเป็นพระผู้เป็นเจ้า. การศึกษาปรัชญาอินเดียจะนำไปสู่การกระจ่างของสถานการณ์ การรับเอาทัศนะที่สมดุลมากขึ้น และการปลดปล่อยจิตใจจากความรู้สึกที่ถูกกดข่มของความสมบูรณ์แบบของทุกสิ่งที่มีแต่เก่ากาล. อิสรภาพจากพันธนาการไปสู่การมีอำนาจ (อย่างอิสระ) นี้ เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การดิ้นรน. เมื่อภูมิปัญญาที่ (เคย) ตกเป็นทาสนั้นอิสระขึ้นมา ความคิดริเริ่มและความพยายามสร้างสรรค์อาจเป็นไปได้อีกครั้ง. อาจเป็นความโทมนัสสำหรับชาวอินเดีย

---------------
1. มีนักวิชาการชาวตะวันตกหลายท่านได้ตระหนักถึงคุณค่าของปรัชญาอินเดีย. "ในทางกลับกัน เมื่อเราได้ศึกษาความเคลื่อนไหวทางกวี และปรัชญาตะวันออกด้วยความสนใจแล้ว เหนือสิ่งอื่นใดในอินเดียซึ่งเริ่มแพร่หลายในยุโรป เราได้พบความจริงแท้ที่มากหลายและความจริงแท้ที่ลึกซึ้ง การทำเช่นนี้ชั่งตรงข้ามกับความถ่อมตัวของผลลัพธ์ที่ได้ ที่ซึ่งบางครั้งแล้วบรรดาหัวกะทิชาวยุโรปก็นิ่งงัน ต่อการที่เราถูกบังคับให้งอเข่าไปยังเบื้องตะวันออก และได้เห็นดินแดนแห่งปรัชญาสูงสุดอันเป็นแหล่งกำเนิดแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์" (วิคเตอร์ คาซิน). "หากข้าพเจ้าถามตัวเองจากวรรณคดีใดแล้ว พวกเราอยู่ที่นี่ในยุโรป พวกเราได้รับการเลี้ยงดูบ่มเพาะแทบเฉพาะในความคิดของชาวกรีกและโรมัน เชื้อชาติเซมิติกกลุ่มหนึ่ง ก็คือชาวยิว อาจจะน้าวดึงแนวทางที่แก้ไขที่ต้องการมากที่สุดตามลำดับ เพื่อทำให้ชีวิตภายในของเรามีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ครอบคลุมมากขึ้น เป็นสากลมากขึ้น ซึ่งอันที่จริงแล้ว เพื่อให้เป็นมนุษย์ที่แท้ ไม่ใช่เพียงแค่ชีวิต (ในโลก) นี้เท่านั้น แต่เป็นชีวิตที่แปรสภาพและเป็นนิรันดร์ - อีกครั้ง ข้าพเจ้าควรชี้มายังอินเดีย" (มัคส์ มึลเลอร์).04  "ในบรรดาชาติที่มีปรัชญาและอภิปรัชญาของตน ควบคู่ไปกับการชอบมาแต่เดิมในการแสวงหาปรัชญานี้ เช่นในปัจจุบันก็มีการแสดงคุณลักษณะเฉพาะของชาวเยอรมัน และในสมัยโบราณก็มีความแตกต่างที่น่าภาคภูมิใจของกรีก ฮินดูสถาน ซึ่งคงเป็นอันดับแรกในช่วงเวลาหนึ่ง" (อ้างแล้ว.).

 มัคส์ มึลเลอร์ Max Müller (Friedrich Max Müller) ที่มา: sriramakrishna.in, วันที่เข้าถึง 27 พฤศจิกายน 2564.
นักอักษรศาสตร์ และนักบูรพคดีศึกษา ชาวเยอรมัน (6 ธันวาคม พ.ศ.2366 - 28 ตุลาคม พ.ศ.2443) 
1.
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. เดส์การต หรือ เดส์กะร์ต์ (Descartes) หรือ เรอเน เดการ์ต (René Descartes) เป็นนักปรัชญา และนักคณิตศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงในต้นยุคสมัยใหม่ของอารยธรรมตะวันตก โดยนอกจากจะเป็นผู้ที่บุกเบิกปรัชญาสมัยใหม่แล้ว เดการ์ตยังเป็นผู้บุกเบิกวิชาเรขาคณิตวิเคราะห์ โดยเป็นผู้คิดค้นระบบพิกัดแบบคาร์ทีเซียนซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาด้านแคลคูลัสต่อมา เดการ์ตได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยใหม่ แนวคิดของเขามีผลต่อนักคิดร่วมสมัยไปถึงนักปรัชญารุ่นต่อ ๆ มา โดยรวมเรียกว่าปรัชญากลุ่มเหตุผลนิยม (rationalism) ซึ่งเป็นแนวคิดปรัชญาหลักในยุโรปสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 (ที่มา: th.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง 25 พฤศจิกายน 2564.)
02. เดวิด ฮูม (David Hume) ชาวสก็อต (ชาตะ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2254 มรณะ 25 สิงหาคม พ.ศ.2319) เป็นนักประสบการณ์นิยม ท่านมีแนวคิดทางปรัชญาอย่างถึงรากถึงแก่น ผลงานที่สำคัญคือ ความเรียงว่าด้วยธรรมชาติของมนุษย์ (A Treatise of Human Nature).
03. บาทรายณะ (बादरायण - Bādarāyaṇa) ภารตะมหาคุรุ คาดว่ามีอายุอยู่ระหว่างพุทธศักราชที่ 43-343 หรือ 500-200 ปีก่อนคริสตกาล ผลงานของท่านคือ พรหมสูตรที่มีหลากหลาย ท่านเขียนงานพื้นฐานของเวทานตสูตร กล่าวได้ว่าท่านเป็นผู้ก่อตั้งระบบปรัชญาเวทานตะขึ้น.
04. มัคส์ มึลเลอร์ (Max Müller or Friedrich Max Müller) ซึ่งพระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) เรียกท่านว่า "โมกษะมูลาจารย์", ที่มา: ส.ธรรมยศ จากหนังสือ "REX SIMEN SIUM หรือ พระเจ้ากรุงสยาม" หน้าที่ 23 สำนักพิมพ์ศรีปัญญา, นนทบุรี, พิมพ์ครั้ง พ.ศ.2563  
.
.
56
ปัจจุบัน ที่ได้ทราบรายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคแรกในประเทศตน. ชายชราจะปลอบใจตนด้วยเรื่องราวในวัยเด็ก และวิธีที่จะลืมปัจจุบันที่ไม่ดีด้วยการอ่านถึงสิ่งที่งดงามต่าง ๆ ในอดีต.
 
V
 
ช่วงเวลาแห่งวามคิดของชาวอินเดีย
 
      จำเป็นที่จะต้องให้เหตุผลบางประการสำหรับชื่อ "ปรัชญาอินเดีย" เมื่อเรากำลังถกถึงปรัชญาของชาวฮินดูที่แตกต่างจากชุมชนอื่น ๆ ที่มีสถานที่ของพวกเขาในอินเดียด้วยนั้น. เหตุผลที่ชัดเจนที่สุดคือ (หนังสือเล่มนี้ สามารถ) ใช้งานได้ทั่วไป. ชาวอินเดียส่วนใหญ่ในทุกวันนี้เป็นชาวฮินดู. และในที่นี่เรากังวลกับประวัติศาสตร์ของชาวอินเดียที่คิดขึ้นจนถึงราวพุทธศักราช 1500-1600 หรือหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อโชคชะตาของชาวฮินดูเชื่อมโยงกับผู้ที่ไม่ใช่ชาวฮินดูมากขึ้นเรื่อย ๆ . 

       เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของความคิดอินเดีย ชนชาติที่แตกต่างกันในแต่ละรุ่นได้นำของขวัญของพวกเขามาด้วย ทว่าพลังแห่งจิตวิญญาณอินเดียก็มีอิทธิพลต่อเหล่าชนชาตินี้ด้วยเช่นกัน. เป็นไปไม่ได้ที่เราจะแน่ใจถึงพัฒนาการตามลำดับเหตุการณ์ที่แน่นอนได้ แม้ว่าเราจะพยายามมองความคิดของชาวอินเดียจากมุมมองทางประวัติศาสตร์ก็ตาม. หลักคำสอนของสำนักแนวคิดบางแห่งนั้น มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมของสำนักตน ซึ่งต้องนำมาพิจารณาร่วมกัน. มิฉะนั้นบรรดาสำนักแนวคิดเหล่านี้ก็จะเลิกสนใจเรา และก็จะกลายเป็นประเพณีที่ดับสูญไป. ระบบปรัชญาแต่ละระบบเป็นคำตอบสำหรับคำถามในเชิงบวก ซึ่งความเก่ากาลได้กำหนดไว้สำหรับแต่ละปรัชญาเอง และเมื่อพิจารณาจากมุมมองของตัวเองก็จะเห็นความจริงบางอย่างขึ้น. ปรัชญาไม่ใช่ชุดของข้อเสนอที่ได้สรุปไว้หรือเป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน แต่เป็นการแสดงออกและวิวัฒนาการทางจิตใจที่เราต้องมีชีวิตอยู่ และที่เราต้องมีชีวิตอยู่นั้น หากเพื่อต้องการทราบว่าระบบต่าง ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างไร. เราต้องตระหนักถึงความเป็นปึกแผ่นของปรัชญากับประวัติศาสตร์ ชีวิตที่มีภูมิปัญญากับสภาพสังคม1. วิธีการทางประวัติศาสตร์กำหนดให้เราไม่เข้าข้าง
---------------

1. ในกรอบคิดของวอลเตอร์ แพเตอร์นั้น. "เมื่อเห็นต้นสนที่บิดเบี้ยวประหลาด ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งแปลก ๆ ในธรรมชาติบนสนามหญ้าในประเทศอังกฤษ หากเราเปลี่ยนแนวคิดว่า ท่ามกลางพลังแห่งการแย่งชิงของกระแสน้ำอัลไพน์ที่หล่อหลอมการเติบโตอย่างแท้จริง รังสรรค์ให้เป็นสิ่งมีชีวิต ความจำเป็น ตรรกะของความเหมาะสม เมื่อสัมพันธ์กันอย่างถูกต้องกับสภาวะแวดล้อมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความจริง" (เพลโต และเพลโตนิยม, หน้าที่ 10).
.
.
57
ในการโต้เถียงของสำนักแนวคิด  แต่ติดตามการพัฒนาด้วยความเย็นชาและเคร่งครัด.

       ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่อย่างดีพร้อมตามความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของมุมมองทางประวัติศาสตร์ เราก็รู้สึกเสียใจจากการละเลยลำดับเวลาของงานเขียนเกือบทั้งหมด เราไม่สามารถระบุวันที่อันสัมพันธ์กันของระบบได้อย่างแม่นยำ. ธรรมชาติของชาวอินเดียโบราณนั้นไม่เป็นไปตามประวัติศาสตร์หรืออาจเป็นปรัชญาที่ล้ำลึกมาก ซึ่งเรารู้เกี่ยวกับปรัชญามากกว่าปราชญ์. นับแต่เวลาประสูติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ลำดับเหตุการณ์อยู่บนรากฐานที่ดีกว่า. รุ่งอรุณแห่งพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นพร้อมกับการขยายอำนาจของพวกเปอร์เซียไปยังแถบลุ่มน้ำสินธุ (The Indus) ภายใต้ราชวงศ์อคีเมนิเด (Achæmenidæ - ออกเสียง ak′ē-men′i-dē) ในเปอร์เซีย. กล่าวกันว่าเป็นแหล่งความรู้ที่เก่าแก่ที่สุดของอินเดียทางตะวันตกที่ได้รับจากเฮคาเตอุส01 และเฮโรโดตุส02.

       ต่อไปนี้ขอแบ่งปรัชญาอินเดียอย่างกว้าง ๆ ไว้ดังนี้:

       (1) ยุคพระเวท (957-57 ปีก่อนพุทธศักราช หรือ 1500 ปีก่อนคริสตกาล - 600 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลาของการตั้งถิ่นฐานของชาวอารยันและการขยายตัวและการแพร่กระจายของวัฒนธรรมและอารยธรรมอารยันทีละน้อย. เป็นเวลาที่เห็นการเติบโตของสำนักศึกษาในป่าเขาลำเนาไพร อันเป็นจุดเริ่มต้นของอุดมคติที่สูงส่งของอินเดีย. เราสามารถแยกแยะได้ว่าเป็นชั้นของความคิดที่ต่อเนื่องกัน มีความหมายโดยมนต์ของบทสวด บรรดาพวกพราหมณ์ และคัมภีร์อุปนิษัท. ในแง่มุมทางเทคนิคของคำนั้น ความคิดเห็นที่หยิบยกขึ้นในยุคนี้ไม่ได้ถือว่าเป็นปรัชญา. เป็นยุคของการจัดรวมกลุ่ม ซึ่งความเชื่อทางไสยศาสตร์และความคิดยังขัดแย้งกันอยู่. แต่เพื่อให้เกิดระเบียบและความต่อเนื่องในเรื่องนั้น เราจำเป็นที่จะต้องเริ่มด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับแนวคิดบทสวดของฤคเวท และอภิปรายถึงมุมมองของคัมภีร์อุปนิษัท.

       (2) ยุคมหากาพย์ (ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน 57 ปี - พ.ศ.343 หรือ 600 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ.200) แผ่ขยายมีพัฒนาการในช่วงระหว่างคัมภีร์อุปนิษัทระยะแรกและยุคทรรศนะหรือระบบต่าง ๆ ของปรัชญา. มหากาพย์รามายาณะและมหาภารตะยุทธได้ทำหน้าที่เป็นยานในการถ่ายทอดข่าวสารใหม่ที่เกี่ยวกับวีรบุรุษและความเป็นเทพในรูปของมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์กัน. ในช่วงเวลานี้ เรายังมีแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ด้านประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนาและภควัทคีตา. มีระบบศาสนาของพระพุทธศาสนา เชน ไศวนิกาย ไวษณพนิกาย ขึ้นในยุคนี้. การพัฒนาความคิดเชิงนามธรรมมาถึงจุดสูงสุด

หมายเหตุ คำอธิบาย
01. เฮคาเตอุส (Hecateus) หรือ Hecataeus นักประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ชาวกรีก (ราว พ.ศ.7-67 หรือ ก่อน ค.ศ.550-476).
02. เฮโรโดตุส (Herodotus) นักเขียน นักภูมิศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก (ราว พ.ศ.59-118 หรือ ก่อน ค.ศ.484-425).
.
.
58
ในสำนักปรัชญาอินเดีย ซึ่งมีทรรศนะ (ระบบปรัชญาด้านพราหมณ์-ฮินดู-The Brahmanical Systems) ขึ้นในยุคนี้. ระบบปรัชญาแทบทั้งหมดล้วนมีจุดเริ่มต้นในช่วงแรกของยุคอรุณรุ่งแห่งพระพุทธศาสนา และเหล่าปรัชญานี้ก็ได้พัฒนาเคียงข้างไปด้วยกันตลอดหลายศตวรรษ ทว่างานปรัชญาที่เป็นระบบของสำนักแนวคิดต่าง ๆ นั้น ยังคงเป็นของยุคหลัง.
เอกสารตัวเขียนภาษาสันสกฤตของสัทธรรมปุณฑรีกสูตร (พระพุทธศาสนา) จากเตอร์กิสถานใต้ในอักษรพราหมี, ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง 4 ธันวาคม 2564.
1.
       (3) ยุคพระสูตร (ตั้งแต่ พ.ศ.200) ได้ถือกำเนิดถัดมา มวลเนื้อหาสารัตถะได้เติบโตมากจนยากที่ควบคุม จนพบว่าจำเป็นต้องจารร่างเขียนเค้าโครงมวลเนื้อหาปรัชญานี้ไว้. การย่อและการสรุปเนื้อหานี้เกิดขึ้นในรูปแบบของพระสูตร. พระสูตรเหล่านี้ยากที่จะทำความเข้าใจหากไม่มีคำอธิบายประกอบ จนกระทั่งคำอธิบายนี้มีความสำคัญมากกว่าตัวพระสูตรเสียเอง. ในยุคนี้ เรามีทัศนคติเชิงวิจารณ์ในการอภิปรายเชิงปรัชญาอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นที่ซึ่งจิตไม่ได้รับสิ่งที่บอกไปอย่างเฉยเมย แต่ครุ่นคิดไปรอบ ๆ สิ่งที่ได้รับทราบนี้ด้วย ก่อให้เกิดการโต้แย้งและมีการตอบคำถามไว้ไม่น้อย. ด้วยสัญชาติญาณการแสวงหาความสุข บรรดานักคิดจึงใช้หลักการทั่วไปบางอย่าง ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขาจะอธิบายทุกแง่มุมของจักรวาลได้. การสังเคราะห์เชิงปรัชญาไม่ว่าจะลึกซึ้งและเฉียบแหลมเพียงใด เราก็ได้รับความเดือดร้อนโดยตลอดจากข้อบกพร่องของการก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ ในแง่มุมด้านศัพท์ของพวกนิยมแนวคิดของค้านท์ (The Kantian)01. โดยปราศจากการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความสามารถของมนุษย์ในการแก้ปัญหาเชิงปรัชญามาก่อน จิตใจก็มองดูโลก (อย่างตกผลึก) และได้ข้อสรุป. ความพยายามก่อนหน้านี้ในการทำความเข้าใจและตีความโลกนี้ ไม่ใช่ความพยายามเชิงปรัชญาอย่างเคร่งครัด เนื่องจากพวกเขามิได้วิตกกับความเข้มงวดใด ๆ เกี่ยวกับความสามารถของจิตใจมนุษย์หรือประสิทธิภาพของเครื่องมือและเกณฑ์วิธีการใช้งาน. ดังที่แคร์ด02 กล่าวไว้ จิตใจก็ "ยุ่งเกินกว่าจะสนใจวัตถุ."1 เมื่อเราก้าวมาศึกษาพระสูตร เราก็มีความคิดและการไตร่ตรอง อิสระจากความประหม่า. ในบรรดาระบบ (ปรัชญา) เองนั้น เราไม่สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า ระบบไหนมาก่อนระบบไหนมาหลัง. มีการอ้างอิงโยงกันตลอด. ปรัชญาโยคะยอมรับปรัชญาสางขยะ. ปรัชญาไวเศษิกะตอบรับทั้งปรัชญานยายะและปรัชญาสางขยะ. ปรัชญานยายะก็อ้างอิงถึงปรัชญาเวทานตะและปรัชญาสางขยะ. ปรัชญามีมางสาก็ตอบรับทั้งโดยตรงและโดยอ้อมถึงการมีอยู่มาก่อนของทุกปรัชญา. ปรัชญาเวทานตะด้วยก็เช่นกัน. ศาสตราจารย์การ์เบ ถือว่าปรัชญาสางขยะเป็นสำนักแนวคิดปรัชญาที่เก่าแก่ที่สุด. ถัดจากนั้น
---------------
1 ปรัชญาวิพากษ์ของค้านท์, เล่มที่ 1. หน้าที่ 2.
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. พวกนิยมแนวคิดของค้านท์ (The Kantian) หมายถึง บรรดาผู้นิยมปรัชญาของ อิมมานูเอล ค้านท์ (Immanuel Kant) (พ.ศ.2267-2347/ ค.ศ.1724-1804) นักปรัชญาชาวเยอรมัน มีแนวคิดด้านปรัชญาแห่งจิตใจ (philosophy of mind) แนวคิดด้านจิตนิยมอุตรวิสัย (transcendental idealism) - ที่กล่าวว่ามนุษย์ใช้แนวคิดบางอย่างที่ติดตัวมาแต่กำเนิด (innate idea) ในการรับรู้ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวในโลก เรารับรู้โลกโดยผ่านทางประสาทสัมผัสประกอบกับมโนภาพที่ติดตัวมานี้ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถล่วงรู้หรือเข้าใจใน "สรรพสิ่งที่แท้" ได้ ความรู้ต่อสรรพสิ่งที่เรามีนั้นจึงเป็นได้แค่เพียงภาพปรากฏ ที่เรารับรู้ได้ผ่านทางประสาทสัมผัสเท่านั้น ญาณวิทยา (epistemology)-ความรู้สามารถสร้างขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ และ จริยธรรม (Ethics).
02. เอ็ดเวิร์ด แคร์ด (Edward Caird) นักปรัชญาชาวสก็อต (23 มีนาคม พ.ศ.2378 - 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2451) เขาสนับสนุนแนวคิดของเฮเกล(สำนักแนวคิดจิตนิยม (idealism) - ความคิดเรื่องจิตหรือจิตวิญญาณ (Geist หรือบางครั้งแทนด้วยคำว่า mind) ในฐานะที่จิตวิญญาณจะแสดงตัวตนออกในรูปของประวัติศาสตร์ ทุกสิ่งดำเนินการไปบนหลักการของวิภาษวิธีหรือหลักคิดที่เชื่อว่าทุกสิ่งมีความขัดแย้งระหว่างบทตั้งต้น (thesis) กับบทแย้ง (antithesis) อันจะนำไปสู่ผลลัพธ์ใหม่หรือบทสรุป (synthesis)
.
.
59
ก็เป็นปรัชญาโยคะ ตามด้วยปรัชญามีมางสาและปรัชญาเวทานตะ ท้ายที่สุดของระบบปรัชญาทั้งหมดคือปรัชญาไวเศษิกะและปรัชญานยายะ. ในยุคพระสูตรนี้ ไม่สามารถแยกความแตกต่างได้ชัดเจนนักจากสำนักศึกษาปรัชญาของผู้ให้ความเห็นที่มีคำอธิบายประกอบ (ระหว่างตัวปรัชญากับคำอธิบายประกอบ). ทั้งสองสิ่งได้ขยาย (องค์ความรู้และแนวคิด) กันออกไปจนถึงปัจจุบัน.

       (4) ยุคสำนักแนวคิดปรัชญา มีขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตศักราช (ตั้งแต่ ราว พ.ศ.343). เป็นไปไม่ได้ที่เราจะขีดวาดเส้นที่ยากและรวดเร็วระหว่างเส้นนี้กับเส้นก่อนหน้า ถึงกระนั้นก็ตามมีชื่อของมหาปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ ดังนี้ กุมาริลละ01 ศังกราจารย์02 ศรีธระ03 รามานูชาจารย์04 มาธวะ05 วาจัสปติ06 อุทัยนะ07 ภาสกระ08 ชยันตะ09 วิชญาณภิกษุ10 และ รกูนาทะ11. ในไม่ช้าวรรณกรรมก็กลายเป็นการโต้เถียงกันอย่างไม่ลดราวาศอก. เราพบกลุ่มผู้ศึกษา นักโต้เถียงที่ส่งเสียงเอะอะโวยวายในทฤษฎีที่ละเอียดอ่อนเกินไป และการโต้เถียง (ในเนื้อหา) ที่ละเอียดยิบ ผู้ต่อสู้กันอย่างดุเดือดไกลเกินกว่าธรรมชาติของจักรวาลเชิงตรรกะ. นักวิชาการชาวอินเดียหลายท่านกลัวการเปิดตำรา ซึ่งมักจะสร้างความสับสนมากกว่าการให้ความรู้แก่เรา. ไม่มีใครปฏิเสธความน่ารักและความกระตือรืนร้นของกลุ่มผู้ศึกษาได้ แทนที่จะใช้ความคิด เรากลับพบคำศัพท์ต่าง ๆ แทนที่จะเป็นการสับเปลี่ยนปรัชญากัน. ความคลุมเครือของความคิด ความละเอียดอ่อนของตรรกะ การไม่ยอมรับอารมณ์ ถือเป็นนักวิพากษ์วิจารณ์ประเภทที่แย่ที่สุด. แน่นอนว่ามีนักวิพากษ์วิจารณ์ที่ดีกว่านั้น ค่อนข้างมีคุณค่าพอ ๆ กับนักคิดในสมัยโบราณ. นักวิจารณ์เช่น ศังกราจารย์ และรามานูชาจารย์ กล่าวถึงหลักคำสอนเก่า และการทบทวนใหม่นั้น ก็มีค่าพอ ๆ กับการค้นพบทางจิตวิญญาณ.

        มีประวัติปรัชญาอินเดียบางส่วนที่เขียนขึ้นโดยนักคิดชาวอินเดีย. ผู้วิพากษ์วิจารณ์ที่มีขึ้นภายหลังเกือบทั้งหมดนั้น ได้ให้มุมมองของตนที่ได้มาจากการสนทนาวิพากษ์เกี่ยวกับหลักคำสอนอื่น ๆ . ด้วยวิธีนี้ นักวิพากษ์วิจารณ์ทุกท่านจึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อให้แนวคิดเกี่ยวกับมุมมองต่าง ๆ . บางครั้งก็มีความเพียรพยายามอย่างสงบมีสติในการจัดการกับระบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง. หัวหน้าผู้จัดทำรายงาน "ประวัติศาสตร์" บางท่าน อาจได้รับการกล่าวถึงในที่นี้. ษาฑทรรศนะสามัคยาจารย์ (Ṣaḍdarśanasamuccaya), หรือสิ่งที่ดีเลิศของหกระบบ (ปรัชญา) อันเป็นงานประพันธ์ของหริภทรา.1,12

---------------
1. มิสเตอร์ บาร์ธกล่าวว่า: "หริภทรา ที่ทราบกันเป็นประเพณีว่าได้อนิจกรรมเมื่อก่อน พ.ศ.14 ปี หรือ ค.ศ.529 นั้น แต่ก็มีหลักฐานที่แน่ชัดกว่านั้นว่าท่านมีชีวิตอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 14 หรือคริสต์ศตวรรษที่ 9 มีผู้กล่าวไว้ไม่น้อยว่าท่านเปลี่ยนจากนับถือพราหมณ์มาเป็นเชน. ท่านยังคงมีชื่อเสียงในฐานะผู้เขียน "หนึ่งพันสี่ร้อยงานประพันธ์-Fourteen Hundred Prabandhas" (บทของผลงาน) และดูเหมือนว่าท่านจะเป็นหนึ่งในปราชญ์กลุ่มแรก ๆ ที่นำภาษาสันสกฤตมายังวรรณกรรมเชิงวิชาการของศาสนาเชน นิกายเศวตัมพร. ด้วยหกระบบนี้ บรรดาพราหมณ์ได้เข้าใจถึง สองมีมางสา สางขยะ และโยคะ นยายะ และไวศษิกะ. ในอีกมุมหนึ่งนั้น หริภทราได้แสดงอรรถาธิบายภายใต้นิกายปรัชญาเหล่านี้ไว้สั้นมากในแปดสิบเจ็ดโศลก แต่ค่อนข้างเป็นกลางในหลักการสำคัญของพุทธมากะ ผู้นับถือเชน และศิษยานุศิษย์ของปรัชญานยายะ
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. กุมาริลละ หรือ กุมาริลละภณ (Kumārila Bhaṭṭa) ประมาณ พ.ศ.1243 หรือ ค.ศ.700 เป็นปราชญ์สำนักปรัชญามีมางสา.
02. ศังกราจารย์ (Śaṁkara) หรือ Adi Shankara ท่านกำเนิดที่เมืองคาลาดี อาณาจักรเชระ ประมาณ พ.ศ.1343 หรือ ค.ศ.ที่ 8 อนิจกรรมที่เมืองเคดาร์นาท อาณาจักรกูรจะระ-ประทิหระ ประมาณ พ.ศ.1393 หรือ ค.ศ.750 เป็นปราชญ์และนักเทววิทยา ผลงานของท่านส่งผลกระทบอย่างมากต่อหลักคำสอนของอทไวตะ เวทานตะ ท่านได้ก่อตั้งสี่อาราม (Mathas) ซึ่งเชื่อกันว่าได้ช่วยพัฒนาฟื้นฟูประวัติศาสตร์ การขยายแนวคิดด้านอทไวตะ เวทานตะ. (ดูเพิ่มเติมใน ที่มา คำศัพท์ และคำอธิบาย ข้อ 02 ข.บทนำ: ภควัทคีตา)
03. ศรีธระ (Śrīdhara) หรือ ศรีธระ อาจารยะ (Śrīdhara Ācāryya) ท่านมีชีวิตในช่วง พ.ศ.1413-1473 หรือ ค.ศ.870-930 ท่านถือกำเนิดแถบเบงกอลตะวันตก เป็นนักคณิตศาสตร์ บัณฑิตด้านภาษาสันสกฤต และนักปรัชญา. 
04. รามานูชะ หรือ รามานูชาจารย์ (Rāmānuja or Ramanujacharya) ท่านกำเนิดที่เมืองศรีเปรัมบูดูร์ (ปัจจุบันคือเมืองทมิฬ นาดู) อาณาจักรโชละ อินเดียใต้ 25 เมษายน พ.ศ.1560 หรือ ค.ศ.1017 อนิจกรรมที่เมืองศรีรันคัม อาณาจักรโชละ พ.ศ.1680 หรือ ค.ศ.1137 สิริ 120 ปี ท่านเป็นปราชญ์อินเดีย นักปฏิรูปสังคม และพัฒนาหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดของประเพณีด้านศรีไวษณพนิกายของศาสนาฮินดู รากฐานทางปรัชญาของท่านเป็นข้อคิดทางวิญญาณที่มีอิทธิพลต่อขบวนการภักติ (Bhakti Movement). (ดูเพิ่มเติมใน ที่มา คำศัพท์ และคำอธิบาย ข้อ 03 ข.บทนำ: ภควัทคีตา)
05. มาธวะ (Madhva หรือ Mādhva) หรือ มาธวะอาจารยะ (Madva Acharya) ท่านถือกำเนิดบนชายฝังตะวันตกของรัฐกรณาฎกะ พ.ศ.1781 หรือ ค.ศ. 1238 และอนิจกรรมในพ.ศ.1860 บ้างก็ว่า พ.ศ.1821 (หรือ ค.ศ.1317 บ้างก็ว่า ค.ศ.1278) สำนักปรัชญาอทไวตะ เวทานตะ.
06. วาจัสปติ (Vācaspati) หรือ วาจัสปติ มิศระ (Vācaspati Miśra) ท่านถือกำเนิดที่เมืองมถิลา (ปัจจุบันคือพิหาร อินเดีย) พุทธศตวรรษที่ 14-15 หรือ คริสต์ศตวรรษที่ 9-10 และอนิจกรรมในพุทธศตวรรษที่ 14-15 หรือ คริสต์ศตวรรษที่ 9-10 สำนักปรัชญาอทไวตะ เวทานตะ.
07. อุทยนะ หรือ อุทัยนะ (Udayana) หรือ อุทยนาจารย์ หรือ อุทัยนาจารย์ (
Udayanācārya) 
 ท่านถือกำเนิดที่เมืองมถิลา (ปัจจุบันคือพิหาร อินเดีย) มีชีวิตอยู่ราว พ.ศ.1518-1593 หรือ ค.ศ.975-1050 เป็นปราชญ์คนสำคัญของปรัชญานยายะ.
08. ภาสกระ (Bhāskara) หรือ ภัสการยาจารย์ (
Bhāskarāchārya) มีชีวิตระหว่าง พ.ศ. 1657-1728 หรือ ค.ศ.1114-1185 ท่านเป็นนักคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ 
09. ชยันตะ (Jayanta) หรือ ชยันตะ ภัฏฏะ (Jayanta Bhaṭṭ
a) มีชีวิตระหว่าง พ.ศ.  หรือ ค.ศ.820-900 ที่เมืองศรีนาคาร์ ท่านเป็นนักประพันธ์บทกลอนชาวแคชเมียร์ (แคชมีริ) เป็นครู นักตรรกะ และที่ปรึกษาของกษัตริย์ เป็นปราชญ์ในสำนักปรัชญานยายะ.
10. วิชญาณภิกษุ (Vijñānabhikṣu) เป็นปราชญ์จากเมืองพิหาร แคว้นมคธ มีชีวิตอยู่ราวพุทธศตวรรษที่ 10-11 หรือคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 มีชื่อเสียงจากการอธิบายให้ความเห็นในสำนักปรัชญาโยคะของปตัญชลิฤๅษี. แนวคิดของเขามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับปรัชญาเวทานตะ โยคะ และสางขยะ และถือว่าท่านมีอิทธิพลสำคัญต่อการเคลื่อนไหวกลุ่มนีโอ-เวทานตะ.
11. รกูนาทะ (Raghunātha) ท่านมีชีวิตอยู่ในช่วง พ.ศ.934-1004 หรือ ค.ศ.1477-1547 แถบเบงกอลตะวันตก เขาได้พัฒนาสำนักปรัชญาขึ้นใหม่ ในกลุ่มแนวคิดปรัชญานยายะ ชื่อว่า Navya Nyāya อันมีแนวคิดว่าสำนักปรัชญานี้เป็นตัวแทนของการพัฒนาขั้นสุดท้ายของตรรกะอย่างเป็นทางการของอินเดีย ไปสู่จุดสูงสุดของพลังการวิเคราะห์.

Haribhadra, ที่มา: thestupa.com, วันที่เข้าถึง 6 ธันวาคม 2564.

.
12. หริภทรา หรือ หริภัทรา (Haribhadra) หรือ อาจารย์ หริภัทรา ซุริ (Aacharya Haribhadra Suri) ท่านเป็นนักพรตในศาสนาเชน นิกายเศวตัมพร (ยังมีข้อขัดแย้งเรื่องวันเกิด) ท่านมีชีวิตในช่วงก่อน พ.ศ.84-14 หรือ ค.ศ.459-529 ท่านประพันธ์หนังสือไว้หลายเล่มด้านโยคะ ศาสนาเปรียบเทียบ โดยได้สรุปวิเคราะห์ทฤษฎีของชาวฮินดู พุทธมามกะ และผู้นับถือเชนไว้.
.
.
60
สมันตภทรา ผู้เป็นนักพรตศาสนาเชน นิกายทิคัมพรในช่วงพุทธศตวรรษที่ 9 หรือคริสต์ศตวรรษที่ 14 นั้น กล่าวกันว่าได้ประพันธ์งานชื่อ อาปตมีมางสา (Āptamīmāṁsā) ซึ่งประกอบด้วยการทบทวนแนวคิดของสำนักปรัชญาต่าง ๆ .1 พระภิกษุในพระพุทธศาสนา ลัทธิมาธยมิกะมีนามว่า ภาววิเวกะ (Bhāvaviveka - บ้างก็เรียกภาวิเวก) ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพันธ์งานที่เรียกว่า ตาร์คัชวาลัย (Tarkajvāla)01 ซึ่งได้วิพากษ์สำนักปรัชญามีมางสา สางขยะ ไวเศษิกะ และเวทานตะไว้. กล่าวกันว่ามีนักพรตในศาสนาเชน นิกายทิคัมพรชื่อ วิทยานันทะ (Vidyānanda) ได้เขียนในงานของเขาที่ชื่อว่า อษัฎสาหศรี (Aṣṭasāhasrī) และมีนักพรตในศาสนาเชน นิกายทิคัมพรอีกท่านหนึ่งชื่อ เมรุตุงคะ (Merutuṅga) ได้เขียนในงานของท่านใน ษาฑทรรศนะวิจารณ์ (Ṣaḍdarśanavicāra) (ราว พ.ศ.1843 หรือ ค.ศ.1300) ได้กล่าววิพากษ์ระบบศาสนาฮินดู. เรื่องราวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของปรัชญาอินเดียคือ สรรพทรรศนะสังเคราะห์02 โดยเวทานติน มาธวะอาจารยา (Vedāntin Mādhavācārya)03 ผู้เป็นที่รู้จักกันดี ท่านมีชีวิตในพุทธศตวรรษที่สิบเก้า (หรือคริสต์ศตวรรษที่สิบสี่) ในอินเดียใต้. ซึ่งผลงานคัมภีร์สรวทรรศนะสังเคราะห์นี้ ได้ถูกส่งมอบหมายให้ศังกราจารย์2 และปรสธานภีทะ04 โดยมหาคุรุมัทสุธาณะ สรัสวตี 05, 3 ซึ่งมีเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ต่อปรัชญาต่าง ๆ .
---------------

ผู้นับถือปรัชญาสางขยะ ผู้นับถือปรัชญาไวเศษิกะ และผู้นับถือปรัชญามีมางสา. ดังนั้นท่านจึงเลือกจัดตั้งสำนักศึกษาปรัชญาของท่านเองและผู้ที่มีความใกล้ชิดกับศาสนาเชน ทำให้ท่านและกลุ่มที่สนับสนุนศรัทธาอยู่ท่ามกลางบรรดาศัตรูที่ยิ่งใหญ่คือ พุทธมามกะและผู้ดำเนินการทางพิธีกรรมของสำนักปรัชญาของฤๅษีไชยมิณิ (ปรัชญามีมางสา). ท้ายที่สุด ท่านหริภทราได้จับคู่กับโลกายัต (Lokāyatikas หรือจารวาก - ดูหน้าที่ 48 ตอนท้าย หมายเหตุและการขยายความ ข้อที่ 2.1), นักวัตถุนิยมที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้า ซึ่งมิใช่เกี่ยวกับนิกายที่มีความคลั่ง และด้วยวิจารณญาณของตนเองเท่านั้น แต่ก็เป็นไปตามความคิดเห็นที่แพร่หลายในสมัยนั้น แม้แต่ในหมู่พราหมณ์" (อินเดียน แอนตีควารี, หน้า 66, พ.ศ.2438).
1. วิทยาภูชานะ, ระบบยุคกลางของตรรกะอินเดีย (Mediæval Systems of Indian Logic), หน้า 23.
2. ข้อมูลอาจจะไม่ถูกต้อง ดู คีธ : ตรรกะอินเดีย, หน้า 242, เอ็น. 3.
3. ดู มัคส์ มึลเล่อร์, ระบบทั้งหก, หน้า 75 ถึง 84.  

หมายเหตุ คำอธิบาย
01. ตาร์คัชวาลัย (Tarkajvāla) แปลว่า เปลวไฟแห่งเหตุผล (The Flame of Reason).
02. สรรพทรรศนะสังเคราะห์ (Sarvadarśanasaṁgrahaดูหน้าที่ 48 ตอนท้าย หมายเหตุและการขยายความ ข้อที่ 2
03. เวทานติน มาธวะอาจารยา (Vedāntin Mādhavācārya) (ดูหน้าที่ 48 ตอนท้าย หมายเหตุและการขยายความ ข้อที่ 2) ซึ่งท่านมีชีวิตระหว่าง พ.ศ.1839- 1929 หรือ ค.ศ.1296-1386.
04. ปรสธานภีทะ (Prasthānanabheda) ดูหน้าที่ 48 ตอนท้าย หมายเหตุและการขยายความ ข้อ 6)
05. มหาคุรุมัทสุธาณะ สรัสวตี (Madhusūdana Sarasvatī) (ดูเพิ่มเติมใน ที่มา คำศัพท์ และคำอธิบาย ข้อ 24 ค.บทนำ: ภควัทคีตา)
.
.
.


 
humanexcellence.thailand@gmail.com