MENU
TH EN

01.1.011 อนุกรมณิกา บรรพ

ภาพพระฤๅษีพราหมณ์-ฮินดูในไนมิษาอรัญ, พัฒนาไว้เมื่อ 13 กรกฎาคม 2567.
01.1.011 อนุกรมณิกา บรรพ01, 02, 03, 04, 05.
First revision: Jul.12, 2024
Last change: Aug.22, 2024
สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง และปริวรรตโดย
อภิรักษ์ กาญจนคงคา.
 
หน้าที่ 1
       อนุกรมณิกา หรืออนุกรมณี (अनुक्रमणिका - Anukramaṇikā) หมายถึง ดัชนี บริเฉทสาระสำคัญต่าง ๆ ของมหาภารตยุทธ, A list of content, an index,  มี 1 อัธยายะ (अध्याय - adhyāya - บท) มี 210 โศลก เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการเพิ่มเติมในภายหลัง โดยจะกำหนดความเป็นมาของการบรรยายเรื่องและสรุปเหตุการณ์หลัก ๆ .
 
 
อัธยายะที่ 1

 
       โอม! ขอวันทาต่อพระนารายณ์และพระนร01. ซึ่งเป็นเทพบุตรผู้สูงศักดิ์และต่อพระแม่สรัสวตี02. จึงต้องเอ่ยคำว่า ชยะ03.

       อุกรศรวะ04. บุตรโลมหรรษณะ05.และเป็นบุตรแห่งสูตะ06. ผู้เรียนรู้เรื่องปุราณะ07. มักเป็นที่รู้จักในนามซัลติ08. มีความอ่อนน้อมถ่อมตน, วันหนึ่ง อุกรศรวะได้เข้าไปหาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีนามว่า กุลปติ09. ผู้ให้คำปฏิญาณอันเคร่งครัดได้อุทิศตนบูชาเป็นเวลาถึง 12 ปีซึ่งกำลังนั่งอยู่อย่างสบายใจ ซึ่งท่านเป็นเซานกะ10. บำเพ็ญพรตในป่าไนมิษา11. ซึ่งเหล่านักพรตซึ่งศิษยานุศิษย์ที่รายล้อมต่างประสงค์ที่จะสดับเรื่องราวอันอัศจรรย์จากอุกรศรวะ, เมื่อได้รับการต้อนรับจากเหล่านักพรตเหล่านั้นแล้ว ท่านยกมือรับไหว้ และได้สอบถามถึงความก้าวหน้าแห่งการเจริญบำเพ็ญเพียรของบรรดานักพรตเหล่านั้น.

       ครั้นแล้วเหล่านักพรตกลับมานั่งลงอีกครั้ง บุตรของโลมหษณะก็นั่ง ณ ที่ที่เขาได้จัดไว้ให้แล้วด้วยความเคารพอย่างถ่อมตนถ่อมใจ เมื่อเห็นว่าอุกรศรวะได้นั่งสบายคลายจากความเหนื่อยล้าแล้ว, ฤๅษีตนหนึ่งจึงเริ่มสนทนาถามท่านว่า "โอ้ เจ้าซัลตินัยน์ตาดอกบัวเอ๋ย เจ้ามาจากไหนฤๅ บอกฉัน ใคร่ขอถามเจ้าโดยละเอียด และท่านใช้เวลาไปอยู่ที่ไหนมา."
หมายเหตุ คำอธิบาย

01. พระนารายณ์และพระนร (नारायण and नर - Nārāyaṇa and Nara) - ป็นคู่เทพในศาสนาฮินดู นร-นารายณ์เป็นอวตารพี่น้องชายฝาแฝดของพระวิษณุเทพผู้พิทักษ์บนโลก ซึ่งทำงานเพื่อรักษาธรรมะหรือความชอบธรรม ในแนวคิดเรื่องนร-นารายณ์ วิญญาณมนุษย์ นรคือสหายชั่วนิรันดร์ของพระนารายณ์อันศักดิ์สิทธิ์ บางคัมภีร์กล่าวว่าพระนารายณ์หรือพระวิษณุอวตารมาเป็นพระกฤษณะ พระนรอวตารมาเป็นพระอรชุน.
02. พระแม่สรัสวตี (सरस्वती - Sarasvatī) - ทรงเป็นเทพีแห่งความรู้ ดนตรี น้ำไหล ความอุดมสมบูรณ์และความมั่งคั่ง ศิลปะ คำพูด ภูมิปัญญา และการเรียนรู้ของชาวฮินดู พระนางเป็นหนึ่งในตรีเทวี พร้อมด้วยเทพธิดาลักษมีและปารวตี พระนางเป็นเทพองค์หนึ่งของภารตะ (भरत - Bhārata) ซึ่งได้รับความเคารพนับถือในศาสนาเชนและศาสนาพุทธด้วย การกล่าวถึงพระแม่สรัสวดีที่เก่าแก่ที่สุดที่ทราบกันคือเทพธิดาอยู่ในฤคเวท พระนางยังคงมีความสำคัญในฐานะเทพธิดาตั้งแต่สมัยพระเวทจนถึงยุคปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้วพระนางจะมีสี่กร (ซึ่งมีสัญลักษณ์สี่อย่าง ได้แก่ หนังสือ ลูกประคำ หม้อน้ำ และเครื่องดนตรีที่เรียกว่าวีนา (vīṇā - वीणा)).
03. ชยะ หรือ ชัย (जया - Jaya) หมายถึงชัยชนะ และเป็นชื่อของมหาภารตยุทธฉบับดั้งเดิมที่สั้นกว่า. คำเอ่ยอธิษฐานนี้ สามารถตีความได้สองแบบ หนึ่ง) เป็นชัยชนะตามตัวอักษร หรือ สอง) บทบรรยายมหาภารตยุทธ.
04. อุกรศรวะ (उग्रश्रव - Ugraśrava) - บุตรชายของโลมหรรษณะ
05. โลมหรรษณะ (लोमहर्षण - Lomaharṣaṇa) - บ้างก็เรียก โรมหรรษณะ (Romaharṣaṇa) (रोमहर्षण - โลมหรรษณะ Loma = hair, Haryana = thrill = ผมหรือขนตั้ง ผมหรือขนชี้)
ท่านเป็นหนึ่งในห้าศิษย์เอกของมหาฤๅษีวฺยาส ท่านเป็นบิดาของอุกรศรวะ. [ห้าศิษย์เอก ประกอบด้วย โลมหรรษณะ {บ้างก็เป็นฤๅษีศุกะ (शुक - Śuka)}, ไพละ (पैल -Paila), ไวศัมปายนะ (वैशंपायन - Vaiśampāyana), ไชยมินิ (जैमिनि - Jaimini), และ  สุมันตุ (सुमन्तु- Sumantu)].
06. สูตะ (सूत - Sūta) เป็นบุตรชายที่กำเนิดจากบิดาวรรณะกษัตริย์กับมารดาวรรณะพราหมณ์ ซึ่งกำหนดอาชีพไว้ให้เป็นคนขับรถม้า เทียมม้า มักจะเป็นกวีและมักจะพูดจาหยาบกระด้าง.
07. ปุราณะ (पुराण - Purāṇa) เป็นคัมภีร์โบราณอันศักดิ์สิทธิ์ เรียบเรียงโดย มหาฤๅษีวยฺาส มีจำนวน 18 ปุราณะหลัก ๆ รายละเอียดดูใน
คัมภีร์ปุราณะ 1.
08. ซัลติ (सौति - Sauti or Souti) - นักเล่าเรื่องมืออาชีพที่ท่องไปในภารตวรรษ (भारतवर्ष - Bhāratavarṣa) ไปชุมนุมกับปราชญ์ในป่าไนมิษา ซัลติในที่นี้หมายถึงบุตรชายของโลมหรรษณะ ก็คืออุกรศรวะ.
09. กุลปติ (कुलपति - Kulapati) - หัวหน้า, ซึ่งที่นี้หมายถึง นักพรตผู้ซึ่งเลี้ยงดูและสั่งสอนศิษย์ 10,000 คน.
10. เซานกะ (शौनक - Śaunaka) - หัวหน้าของเหล่าบรรดาฤๅษีผู้ยิ่งใหญ่ในป่าไนมิษา.
11. ป่าไนมิษา หรือ ไนมิษารัณย์ (नैमिषारण्य - Naimiṣa or Naimiṣāraṇya) - เป็นป่าโบราณ อยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโกมาติ (Gomati River) ซึ่งเป็นสาขาย่อยของแม่น้ำคงคา รัฐอุตตรประเทศ ภารตะ ในปัจจุบัน.


 
หน้าที่ 2
       ซัลติกล่าวว่า: 'ราชปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่และเจ้าแผ่นดิน จานาเมจยะ01, โอรสแห่งท้าวปรีกษิต02 ได้จัดให้มีพิธีบวงสรวงงูขึ้น. ณ ที่นั่น ฤๅษีไวศัมปายนะ03 กล่าวท่องเรื่องราวอันมหัศจรรย์และศักดิ์สิทธิ์ที่เรียบเรียงโดยมหาฤๅษีกฤษณะ ไทวปายนะ04. หลังจากได้สดับเรื่องราวอันหลากหลายเกี่ยวกับมหาภารตยุทธแล้ว ข้าฯ ก็เดินทางไปยังสถานที่แสวงบุญและลำน้ำศักดิ์สิทธิ์หลายต่อหลายแห่ง. ในที่สุดข้าฯ ก็มาถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า สมันตปัญจกะ,05 อันเป็นที่สักการะของผู้ถือกำเนิดสองครั้ง. นี่คือดินแดนที่เมื่อนานมาแล้วมีสงครามเกิดขึ้นระหว่างเหล่าพี่น้องวรรณะกษัตริย์พวกกุรุ06 และพวกปาณฑพ07 และเหล่ากษัตริย์รัฐน้อยใหญ่ทั้งปวงในผืนโลก. หลังจากนั้นข้าฯ ก็อยากพบพวกท่าน จึงได้มาอยู่ตรงหน้านี้. โอ ข้าแต่เหล่าปราชญ์ผู้เป็นที่เคารพ! พวกท่านได้ส่องแสงเหมือนไฟของพระอาทิตย์ยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้. ในความเห็นของข้าฯ นั้น พวกท่านเป็นเหมือนพระพรหมของข้าฯ พวกท่านบริสุทธิ์จากการได้ประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์และการทำสมาธิ และพวกท่านได้รักษาไฟแห่งการบูชายัญไว้.
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. จานาเมจยะ หรือ ชนเมชยะ (जनमेजय - Janamejaya), ชื่อนี้แปลว่า "ชนะตั้งแต่เกิด". พระองค์เป็นโอรสของท้าวปรีกษิต, ได้ขึ้นครองบัลลังก์ตั้งแต่พระชนม์ยังเยาว์ เนื่องจากพระบิดาได้เสด็จสิ้นพระชนม์ก่อนเวลาอันควร. เมื่อพระองค์เจริญวัยขึ้นและทรงทราบว่าพระบิดาถูกราชาแห่งอสรพิษ ทักษกะ (तक्षक - Takṣka) สังหาร. พระองค์จึงตัดสินพระทัยถวายเครื่องบูชาเพื่อฆ่างูทั้งหมดในโลก. การสังเวยประสบความสำเร็จเพียงบางส่วน ด้วยเพราะงูส่วนใหญ่ถูกกำจัดเสียสิ้นแล้ว. เนื่องจากการแทรกห้ามไว้ของมหาฤๅษีวฺยาส การสังเวยจึงไม่สมบูรณ์ และจอมอสรพิษ ทักษกะก็รอดพ้นจากชะตากรรมนี้ไปได้.

พิธีบวงสรวงงู โดยกษัตริย์ชนเมชยะ, พัฒนาเมื่อ 22 กรกฎาคม 2567.

02. ท้าวปรีกษิต (परीक्षित् - Parīkṣit), เป็นหลานชายของอรชุน และเป็นบุตรของอภิมันยุ (अभिमन्यु - Abhimanyu).
03. ฤๅษีไวศัมปายนะ (वैशंपायन - Vaiśampāyana) เป็นหนึ่งในศิษย์ที่เฉลียวฉลาดของมหาฤๅษีวฺยาส.
04. ฤๅษีกฤษณะ ไทวปายนะ เวทวฺยาส หรือ วฺยาสเทวะ (कृष्णद्वैपायन वेदव्यास - Kṛṣṇa Dvaipāyana Vedavyāsa or yāsadev)
ที่ได้ชื่อนี้เพราะจำแนกพระเวทไว้ เวทวฺยาส หรือ วฺยาสเทวะ เป็นชื่อฉายา และมีปราชญ์มากกว่าหนึ่งตนที่ใช้ฉายานี้ด้วย.ชื่อฉายาของเวทวฺยาสนี้คือ กฤษณะ ไทวปายนะ: ชื่อกฤษณะ เพราะมีผิวคล้ำ และไทวปายนะ เพราะเกิดบนเกาะ (द्वीप - ทวีป - Dvīpa) แห่งแม่น้ำยมุนา (यमुना नदी) นั่นเอง และ อายน (อา+ยานะ - आयन - āyana) แปลว่า การมาถึงหรือการเกิด การเข้าไปสู่ (ราศี).
05. สมันตปัญจกะ (समन्तपञ्चक - Samantapañcaka) เป็นสถานที่อาบชำระล้างอันศักดิ์สิทธิ์ที่ปรศุราม (ดูใน
ปรศุรามาวตาร หรือ นารายณ์อวตารที่ 6) สร้างขึ้น และมีแม่น้ำห้าสายอันมีโลหิตไหลผ่าน และในปลายยุคและต้นยุคของทวาปรยุคและกลียุค (ดูในคัมภีร์ปุราณะ 1 หน้าที่ 5) เหล่าวรรณะกษัตริย์เการพ (कौरव - the Kauravas) และปาณฑพ (पाण्डव - the Pāṇḍavas) ได้ทำสงครามใหญ่ ณ ที่แห่งนี้ ตามคำแนะนำของพลภทราม หรือพลราม (बलभद्रराम - Balabhadrarāma or Balarāma) เชษฐาของพระกฤษณะได้เลือกสมันตปัญจกะเป็นสนามรบ และทุรโยธน์ (दुर्योधन - Duryodhana) ก็ถูกสังหาร ณ ที่แห่งนี้ (ดูใน 09. ศัลยบรรพ)
06. พวกกุรุ (कुरु - The Kurus) เป็นชื่อของชนเผ่าอินโดอารยันและอาณาจักรของพวกกุระในอารยธรรมพระเวทแห่งภารตวรรษ 
(भारतवर्ष - Bhāratavarṣa) อาณาจักรนี้ปัจจุบันตั้งอยู่ในรัฐหรยาณา (हरियाणा - Haryana - Hariyāṇā) ภีษมะ (भीष्म - Bhīṣma) คือผู้พิทักษ์ของบรรดาพวกกุรุ และเหล่าพี่น้องเการพ (The Kauravas, कौरव - Kaurava - เการพ) มีจำนวน 101 คน ดูใน 01.1.001 รายละเอียดบรรพที่ 1 อาทิบรรพ: เหล่าบุตรและบุตรีแห่งฝ่ายเการพ ซึ่งเป็นลูกหลานของเผ่ากุุรุ .
07. พวกปาณฑพ (पाण्डव - The Pāṇḍavas) เป็นโอรสทั้งห้าของท้าวปาณฑุ (पाण्डु - Pāṇḍu) โดยมเหสีสองคนของพระองค์คือ นางกุนตี (कुन्ती - Kuntī) และมาทรี (माद्री - Mādrī) ชื่อของพวกเขาเหล่าภราดาเจ้าชายคือ ยุธิษฐิระ (युधिष्ठिर - Yudhiṣṭhira) ภีมะ (भीम - Bhīma) อรชุน (अर्जुन - Arjuna) นกุล (नकुल - Nakula) และสหเทพ (सहदेव - Sahadeva) เหล่าภราดาทั้งห้าแต่งงานกับหญิงคนเดียวกันชื่อนางเทฺราปที (द्रौपदी - Draupadī) เหล่าพี่น้องได้ร่วมกันต่อสู้และได้รับชัยชนะในสงครามครั้งใหญ่กับพวกกุรุที่เรียกว่าเหล่าพี่น้องเการพอันเป็นลูกพี่ลูกน้องของพวกเขา ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในนามสงครามที่ทุ่งคุรุเกษตร (कुरुक्षेत्र - Kurukṣetra) กรรณะ (कर्ण - Karṇa) อนุชาต่างมารดาที่แปลกแยกของพวกปาณฑพได้ต่อสู้กับพวกปาณฑพ และในที่สุดก็ถูกอรชุนสังหาร.


 
หน้าที่ 3
โอ้ พวกท่านถือกำเนิดขึ้นสองครั้ง01 พวกท่านอยู่เหนือสิ่งที่กังวลสิ่งที่พึงใส่ใจทั้งหมด. เอ ข้าฯ กล่าวอะไรนี่? ข้าฯ ควรกล่าวถึงประวัติศาสตร์ของเหล่ากษัตริย์ในหมู่มนุษย์ เหล่าปราชญ์ และจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ดีหรือไม่?

       เหล่าฤๅษีก็กล่าวตอบว่า 'จงเล่าเรื่องโบราณที่จอมปราชญ์ไทวปายนะได้เล่าให้เจ้าฟัง เรื่องที่เหล่าทวยเทพและเหล่าพราหมฤๅษี02 ที่ได้สดับแล้วบูชา และเรื่องราวที่เต็มไปด้วยถ้อยคำและการจำแนกอันน่าอัศจรรย์และเป็นเรื่องราวชั้นยอดที่มีความหมายละเอียดอ่อน เป็นตรรกะที่ประดับไว้กับแก่นแท้ของพระเวท.03 ประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ของภารตะนั้นงดงามทั้งในภาษาและความหมาย และรวมถึงงานที่ได้รังสรรค์ทั้งหมดอื่น ๆ ด้วย. ศาสตร์04 ทั้งหมดที่ได้เพิ่มเติมเข้าไป และองค์ประกอบอันศักดิ์สิทธิ์ของฤๅษีวฺยาสผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้นำมาเพิ่มเสริมเข้าไปในพระเวททั้งสี่นี้ด้วย. เราต่างปรารถนาที่จะได้สดับการสะสม (บุญ) อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งขจัดความกลัวต่อบาป เฉกเช่นกับที่ฤๅษีไวศัมปายนะท่องถวายเครื่องบูชาต่อกษัตริย์ชนเมชยะ.'

       ซัลติกล่าวว่า: "ข้าฯ ขอนอบน้อมบูชาพระอีศาน05 องค์เดิม ทรงเป็นที่เคารพบูชาของทุกคนและผู้ถวายเครื่องบูชาทั้งหมด. พระองค์ทรงเป็นความจริงไม่เสื่อมสลาย เป็นพราหมณ์ผู้ไม่ปรากฎและเป็นพราหมณ์ผู้ปรากฎอันนิรันดร์. พระองค์ทรงดำรงอยู่และไม่ดำรงอยู่. ข้าฯ ขอสักการะพระหริ06 ผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์ทั้งที่เคลื่อนไหวและไม่เคลื่อนไหว เป็นเจ้าแห่งประสาทสัมผัส. ข้าฯ ขอสักการะพระวิษณุผู้บริสุทธิ์และปราศจากบาป ผู้คู่ควรแก่การบูชา และผู้ทรงคุณธรรมและคุณงามความดี.

       "ข้าฯ จะสาธกถึงความคิดตรึกตรองอันศักดิ์สิทธิ์ของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือกันทั่วโลก มหาฤๅษีวฺยาสผู้มีวัตรปฏิบัติอันดีเลิศ. กวีบางท่านได้ขับขานเรื่องราวนี้มาก่อน. และขณะนี้ก็มีกวีท่านอื่น ๆ กำลังสอนถึงประวัติศาสตร์นี้กันอยู่.

หมายเหตุ คำอธิบาย
01. หมายถึงสามวรรณะแรก (वर्ण - varṇa): พราหมณ์ (ब्राह्मण - Brāhmaṇas), กษัตริย์ (क्षत्रिय - Kṣatriyas) และไวศยะหรือแพศย์ (वैश्य - Vaiśyas). การเกิดสองครั้ง (ทวิชา - द्विजा - Dvijā  - หากจะสื่อเป็นภาษาไทยแล้ว น่าจะตรงกับคำว่าทวิชาติยังใช้สำหรับพวกวรรณะพราหมณ์เป็นการเฉพาะ. การเกิดครั้งที่สองหมายถึงการถวายด้ายศักดิ์สิทธิ์ {สายธุรำ หรือ สายยัชโญปวีต (ยัชญะ = พิธีบูชายัญต่าง ๆ , อุปวีต = สายที่คล้องด้านบน) รวมแปลว่าสายที่คล้องแล้วทำให้ผู้คล้องมีสิทธิ์ในยัชญพิธีกรรม - พรหมสูตร}. สามวรรณะแรกล้วนมีสิทธิที่จะได้รับสิทธินี้.
02. พราหมฤๅษี (
ब्राह्मर्षि - Brāhmaṛṣi) หมายถึงปราชญ์ผู้มีความรู้เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด (พระพรหม - ब्रह्मन् - Brahman).
03. พระเวท (
वेद - The Vedas) ประกอบสี่คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์: ฤคเวท (ऋग्वेद - Ṛg-Veda), สามเวท (सामवेद - Sāma-Veda), ยชุรเวท (यजुर्वेद - Yajur Veda) และ อรรถรเวท (अथर्ववेद - Atharva Veda).
04. ศาสตร์ หรือ ศาสตรา (
शास्त्र - Śāstra) หมายถึง อาวุธ ส่วนในบริบทนี้หมายถึง คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์.
05. พระอีศาน (
ईशान - Īśāna) หมายถึง ผู้ปกครอง เจ้านาย ขุน เจ้า. อีศานเป็นชื่อหนึ่งของพระศิวะ (शिव - Śiva) {ทิกบาล หรือ ทิศปาลกะ (दिक्पाल - dikapāla) พระผู้ปกปักษ์รักษาทิศตะวันออกเฉียงเหนือ}, พระวิษณุ (विष्णु - Viṣṇu), แม้แต่พระอาทิตย์ (सूर्य - Sūrya - สูรย์), ซึ่งในที่นี้นั้นมีความหมายทั่วไป รายละเอียดดูใน A03. บทนำ - เหล่าเทพเจ้า
06. พระหริ (
हरि - Hari) เป็นชื่อรองหรือฉายา (epithets) ของพระวิษณุ แปลว่า ผู้พราก (บาป) ไป.


 
หน้าที่ 4
ถึงกระนั้น ก็มีคนอื่น ๆ ก็จะขับขานประวัติศาสตร์ดังกล่าวบนโลกใบนี้อย่างแน่นอนในอนาคต. ตลอดทั้งสามโลกนี้เป็นคลังองค์ความรู้ที่ยิ่งใหญ่. เหล่าผู้ที่เกิดสองครั้งนั้น จะมีรายละเอียดและรูปแบบประกอบ. ประดับประดาด้วยถ้อยคำและการใช้สำนวนอันงดงาม มีความเป็นมนุษย์และศักดิ์สิทธิ์. ประดับดาด้วยของสูงนับไม่ถ้วนและเป็นที่รักของผู้รอบรู้.

พระพรหม, พัฒนาเมื่อ 24 มิ.ย.2567

       'เมื่อจักรวาลไร้ความสว่างและแสงส่อง ตลอดจนทุกสิ่งก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดโดยรอบ ไข่ (Garbhā) อันน่าทึ่งก็ถือกำเนิดขึ้น. นี่คือเมล็ดพันธุ์อันไม่สิ้นสุดของทุกฝ่ายทุกแง่มุม ไข่ใบใหญ่นี้ถูกสร้างขึ้นในทุกต้นยุคสมัย. กล่าวกันว่าในเหตุการณ์อันศักดิ์สิทธิ์นี้จะปรากฎพรหมัน01 ผู้เป็นนิรันดร์ขึ้น. ซึ่งจะยืนยันและก่อความรุ่งโรจน์ - ยอดเยี่ยมเหนือจินตนาการและสมดุลอย่างสมบูรณ์แบบในทุกแห่งหน. นี่เป็นสาเหตุที่ละเอียดอ่อนและไม่ปรากฎชัด. มันเป็นสิ่งที่มีอยู่และไม่มีอยู่จริง. จากที่นี้ก็เป็นการถือกำเนิดของพระผู้เป็นเจ้าและเพียงพระประชาปติ02 ผู้เดียวเท่านั้น ที่ทรงนามว่าพระพรหม พระผู้ดูแลทวยเทพ. พระประชาปติยังเป็นที่รู้จักกันดีในนามพระสธาณุ03 พระมนู04 พระกะ (Ka) และพระปรเมษฏิน05. พระทักษะ06 ถือกำเนิดจากพระองค์, (ยังมี) บุตรชายแห่งพระประเชตัส07. (ยังมี) บุตรชายทั้งเจ็ดของพระทักษะ และ (ยังมี) จากพระประชาปติอีก 21 คน. พระองค์ผู้ซึ่งเหล่าปราชญ์ทราบดีว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ไม่สามารถหยั่งรู้ได้ ก็ถือกำเนิดขึ้นเช่นเดียวกับเหล่าพระวิศวเทพ08 เหล่าพระอาทิตยา09 เหล่าพระวสุ10 และเทพฝาแฝดพระอัศวิน11. บรรดายักษ์12 เหล่าสาธยเทพ,13 เหล่าปีศาจ,14 เหล่าอสูรกูหักค์15 และเหล่าปิตฤ16 ถือกำเนิดขึ้น หลังจากนั้นก็มีบรรดาพรหมฤๅษี17 ผู้ศักดิ์สิทธิ์อันสูงส่งตามมา. จากนั้นก็มีราชฤๅษี18 จำนวนมากถือกำเนิดขึ้น พร้อมด้วยคุณสมบัติอันประเสริฐ. ท้องน้ำ สรวงสวรรค์ ผืนโลก กระแสลม ท้องฟ้า ทิศต่าง ๆ ปี ฤดูกาล เดือน ปักษ์ กลางวันและกลางคืน ดำเนินไปตามลำดับ. โลกได้เห็นทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น. เมื่อโลกจมดิ่งอยู่ในความเสื่อมของยุคสมัย ทุกสิ่งที่มองเห็น ทั้งที่เคลื่อนไหวได้และคงที่ ก็จะถูกนำมารวมกันอีกครั้ง. เมื่อฤดูกาลเปลี่ยนไป สัญญาณของฤดูกาล (ใหม่) ก็ปรากฏขึ้น. เช่นเดียวกับจุดเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง. โดยไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด วงล้อแห่งการดำรงอยู่ก็หมุนไปอย่างนิรันดร์ในโลกนี้ ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์และการทำลายล้าง.
หมายเหตุ คำอธิบาย
01. พรหมัน (ब्रह्मन् - Brahman) หรือ ปรมาตมัน (परमात्मन् - Paramātman) หมายถึงวิญญาณสูงสุด อย่ากับคำว่าพราหมณ์ (ब्राह्मण - Brāhmaṇa) แม้ว่าจะมีรากศัพท์เหมือนกัน.
02. พระประชาปติ (प्रजापति - Prajāpati) หมายถึงพระผู้สร้างโลก ซึ่งมีเทพหลายองค์ โดยพระพรหมมุ่งหวังจะให้การสร้างโลกเป็นเรื่องง่าย จึงสร้างพระประชาปติจำนวน 20 องค์ (บ้างก็ว่า 21 องค์) ประกอบด้วย พระพรหม (Brahmā), พระรุทร (Rudra), พระมนู (Manu), พระทักษะ (Dakṣa), พระภฤคุ (Bhṛgu), พระธรรม (Dharma), พระทปะ (Tapa), พระยมะ มรีกิ (Yama Marīci), พระอังกิรสะ (Aṅgiras), พระอตริ (Atri), พระปุลาสตยะ (Pulastya), พระปุลหะ (Pulaha), พระกรตุ (Kratu), พระวสิษฏะ (Vasiṣṭha), พระปรเมษฏี (Parameṣṭhī), พระสูรย์ (Sūrya), พระกันดระ (Candra), พระคารทมะ (Kardama), พระคโรธะ (Krodha) และ พระวิกรีตะ (Vikrīta). (อ้างถึงอัธยายะที่
384???, ศานติ บรรพ).
03. พระสธาณุ (स्थाणु - Sthāṇu) หมายถึงพระศิวะ, บุตรแห่งพระพรหม. หนึ่งในสิบเอ็ดของพระรุทร (ด้วยมหาภารตะและปุราณะต่าง ๆ มีการเรียบเรียงด้วยฤๅษีหลายตนหลายยุค จึงมีคำอธิบายที่แตกต่างกันไป แต่ก็ประมวลรวมเป็นมหาภารตะหนึ่งเดียว).
04. พระมนู (मनु - Manu) รายละเอียดดูใน หมายเหตุ คำอธิบาย 02 หน้าที่ 5 ของ
คัมภีร์ปุราณะ 1.
05พระปรเมษฏี หรือ พระปรเมษฏิน (परमेष्ठी - Parameṣṭhī หรือ परमेष्ठिन् -
 Parameṣṭhin) เป็นชื่อรองของเทพหลายองค์ อาทิ พระพรหม พระศิวะ พระวิษณุ พญาครุฑ พระอัคนี เป็นต้น.
06. พระทักษะ (दक्ष - Dakṣa
) แปลว่าผู้มีความสามารถ คล่องแคล่ว หรือซื่อสัตย์ เป็นหนึ่งในพระประชาปติ ผู้ทำหน้าที่รังสรรค์ และยังเป็นฤษีผู้ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ท่านเป็นชายที่มีร่างกายกำยำ ใบหน้าหล่อเหลา หรือบ้างก็ศีรษะเป็นแพะ.
07. พระประเชตัส (प्रचेतस् - Pracetas) แปลว่าผู้รู้แจ้ง เป็นคำในตำนานฮินดูที่มีคำจำกัดความหลายประการ อาทิ, เป็นฉายาหรืออีกชื่อหนึ่งของพระวรุณ, เป็นหนึ่งในสิบของเหล่าประชาปติ, บุตรแห่งสุวรรณะ ผู้ให้ธรรมบัญญัติ เป็นชื่อเรียกของกลุ่มบุคคลในพระเวท เป็นต้น.
08. เหล่าพระวิศวเทพ (विश्वदेवस् - Viśvadevas) เป็นบุตรของพระวิศวะ (विश्व -Viśva) ซึ่งแต่งงานกับหนึ่งในธิดาของพระทักษะ. กล่าวกันว่าเหล่าพระวิศวเทพได้จุติมายังโลกมนุษย์เนื่องจากต้องคำสาปของพระฤๅษีวิศวามิตร (विश्वामित्र - Sage Viśvāmitra) โดยเป็นบุตรชายทั้งห้าของนางเทฺราปที กับเหล่าภราดาปาณฑพ, บุตรทั้งห้านี้ เรียกว่า อุปปาณฑพ หรือ ปาณฑวบุตร (उपपाण्डव - the Upapāṇḍavas - Junior Paāṇḍavas หรือ पाण्डवपुत्र - Pāṇḍavaputra). และได้กลับยังสวรรค์หลังจากถูกอัศวัตถามา (अश्वत्थामा - Aśvatthāmā) สังหารในตอนกลางคืนขณะกำลังหลับไหล.
เทวีอทิติ (นมัสการพระพรหมที่กำลังให้พร) ภาพเขียนราวคริสต์ศตวรรษที่ 19 จาก Saraswati Mahal Library Collection เมืองตันจอร์ อินเดีย, ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง 30 มีนาคม 2566.
 
09. เหล่าพระอาทิตยา (आदित्य - Āditya) หมายถึง ลูกหลานของเทวี "อทิติ" (अदिति - Aditi) ซึ่งเป็นตัวแทนของความไม่สิ้นสุด ไร้ขอบเขต, ชื่ออาทิตยา หากเป็นเอกพจน์จะหมายถึง เทพแห่งดวงอาทิตย์ พระสูรย์. โดยทั่วไปแล้วเหล่าพระอาทิตยาจะมีสิบสององค์ประกอบด้วย พระวิสวัน (विवस्वन् - Vivasvan - सूर्य - Sūrya), พระอารยมัน (अर्यमन्‌ - Aryaman), พระตวัษฏะ (त्वष्ट - Tvaṣṭa), พระสวิตฤ (सवितृ - Savitṛ) ดูหน้าที่ 81 ของ ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 1.004 - ยุคพระเวท: บทสวดแห่งฤคเวท (ต่อ 1), พระภคะ (भग - Bhaga), พระธาตา (धाता - Dhātā), พระมิตระ (Mitra) ดูหน้าที่ 71 ของ ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 1.003 - ยุคพระเวท: บทสวดแห่งฤคเวท, พระวรุณ (वरुण - Varuṇa), พระอัมศะ (अंश - Aṃśa), พระปูษัน (पूषन् - Pūṣan) ดูหน้าที่ 81 ของ ปรัชญาอินเดีย เล่มที่ 1.004 - ยุคพระเวท: บทสวดแห่งฤคเวท (ต่อ 1), พระอินทร์ (इन्द्र - Indra) และพระวิษณุ (विष्णु - Viṣṇu ในรูปแบบของพราหมณ์วามน - Vamana).
10. เหล่าพระวสุ (वसु - Vasu) เป็นกลุ่มเทพในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่เกี่ยวข้องกับไฟและแสงสว่าง เป็นเทพบริวารของพระอินทร์และต่อมาก็เป็นของพระวิษณุ ในมหาภารตยุทธกล่าวว่า เป็นบุตรของพระมนูหรือพระธรรม กับธิดาของพระทักษะ กลุ่มเทพวสุนี้มีแปดองค์. ประกอบด้วย ธรา (Dharā - Earth), อาปะ (Āpa - Water),
  อัคนี, อนล (Anala/अग्नि - Agni/Pavaja - Fire), อนิล (अनिल - Anila - Wind), ปรัตยุษ (Pratyūsha - Sun), ประภาส (प्रभास - Prabhāsa - Sky/Ether), โสม (सोम - Soma - Moon), ทรุวะ (ध्रुव - Dhruva - Motionless/Polaris).
เทพฝาแฝดพระอัศวินมีพระพักตร์เป็นม้ากำลังนั่งบนรถ ตามคติโบราณไทยที่ได้รับจากภารตวรรษ, เก็บเป็นแฟ้มรวบรวมไว้เมื่อ 1 มกราคม พ.ศ.2503 ไม่ทราบชื่อจิตรกร, ที่มา: en.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง 30 มีนาคม 2566
 
11. เทพฝาแฝดพระอัศวิน (अश्विन्  - Aśvin - The Aśvins) แปลว่า ผู้ครอบครองม้า เป็นเทพเจ้าตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นโอรสของพระสูรย์ (Sūrya) และนางสัญญา (Sanjna) พระอัศวินเป็นเทพเจ้าฝาแฝดที่มีศีรษะเป็นม้า และมีร่างกายเป็นมนุษย์ องค์หนึ่งมีพระนามว่า นาสัตยอัศวิน (Nasatyas - ความกรุณา) อีกองค์หนึ่งมีพระนามว่า ทัศรอัศวิน (Darsras - ความรู้แจ้ง) เทียบได้กับเทพเจ้าตามเทพปกรณัมกรีก เช่น โฟบอส (Phobos) และ ดีมอส (Deimos), ฮิปนอส (Hypnos) และ ทานาทอส (Thanatos) เป็นต้น ในมหาภารตยุทธ นางมาทรี ชายาของท้าวปาณฑุได้ขอโอรสจากเทพเจ้าทั้งหลาย โดยที่พระนางมีบุตรกับพระอัศวินสองคน คือ นกุล (เกิดจากพระนาสัตยอัศวิน) และ สหเทพ (เกิดจากพระทัศรอัศวิน).
12. ยักษ์ (यक्ष - Yakṣa) บรรดายักษ์ (Yakṣas) ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแบบพระเวท ถือว่า ยักษ์ (ยักษา - ยักษ์เพศชาย, ยักษี หรือ ยักขินี - นางยักษ์) เป็นตัวแทนของกลุ่มสิ่งมีชีวิตลึกลับ โดยมีท้าวกุเวร (
कुबेर Kubera) เป็นจ้าวผู้เป็นใหญ่เหนือรากษส และกินนร, บ้างครั้งก็จัดให้ยักษ์อยู่ในชั้นเดียวกับเทพที่เป็นคนธรรพ์ (the Gandharvas , गन्धर्व - Gandharva - นักดนตรี), เป็นภูติผีปีศาจประเภทหรือ หรือผู้มีร่างกายใหญ่โต.
13. สาธยะ (साध्य - Sādhya) เหล่าสาธยเทพ (Sādhya​s) หมายถึงกลุ่มเทพเจ้ารองในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ตามคัมภีร์ปุราณะ เหล่าสาธยเทพเป็นบุตรของธรรมะ (Dharma) และนางสัธยะ (Sadhya) ซึ่งนางเป็นธิดาของพระทักษะ ตามคัมภีร์ต่าง ๆ เหล่าสาธยเทพมีจำนวนสิบสองหรือสิบเจ็ดองค์ โดยอธิบายว่าเป็นศูนย์รวมของพิธีกรรมและบทสวดในพระเวท กล่าวกันว่าเหล่าสาธยเทพนี้สถิตประทับอยู่กับเหล่าเทพ หรือสถิตอยู่ในบริเวณระหว่างสวรรค์และโลก. ในอัคนี ปุราณะได้แสดงรายชื่อเหล่าสาธยเทพสิบสององค์ไว้ดังนี้ มนัส (Manas), มันตา (Mantā), ปราณ (Prāṇa), นร (Nara), อปานะ (Apāna), วีรยาน (V
īrayān), วิภู (Vibhu), หยะ (Haya), นยะ (Naya), หงสะ (Haṁsa), นารายณะ (Nārāyaṇa), และ ประภู (Prabhu).
14. ปีศาจ (पिशाच -Piśāca) เหล่าปีศาจ (The Piśācas) เป็นปีศาจที่กินเนื้อสดเป็นอาหาร ในมหาภารตยุทธได้กล่าวถึง โดยอาศัยอยู่ในวังของท้าวกุเวร หรือพระพรหม, ปีศาจนี้ได้ต่อสู้เคียงข้างฆโฏตกัจ (घटोत्कच - Ghaṭotkacha) และบ้างปีศาจนี้ก็รับใช้ฝ่ายเการพ โดยทำหน้าที่เป็นม้าศึกของปีศาจอลัมบุษา (अलम्बुषा - Alambuṣā).
15. กูหักค์ (गुह्यक - Guhyaka) เหล่าอสูรกูหักค์ (Guhyaka) เป็นยักษ์ หรืออสูรที่ติดตามท้าวกุเวร.
16. ปิตฤ (पितृ - Pitṛ) เหล่าปิตฤ (Pitṛs) หมายถึง บิดา บรรพชน เทพบรรพชน.
17. พรหมฤๅษี (ब्रह्मर्षि - Brahmarṣi) หมายถึง ฤๅษีหรือนักพรตที่อยู่ท่ามกลางเหล่าพราหมณ์ ส่วนบรรดาพรหมฤๅษี (Brahmarṣis) นั้น หมายถึงเจ็ดนักพรต (सप्तर्षि - สัปตฤษี - Saptarṣi) ซึ่งสัปตฤษีนี้ แปรเปลี่ยนไปตามแต่ละยุคแต่ละมนูหรือมันวันทระ มนูปัจจุบันคือ พระมนูไววัสวัต (वैवस्वत मनु  - Vaivasvata Manu - รายละเอียดดูในหมายเหตุ คำอธิบายหน้าที่ 5 ของ
ปุราณะ 1 ) มีสัปตฤษีอันประกอบด้วย วสิษฐ์ (वसिष्ठ - Vashiṣṭa แปลว่า ฉลาดหลักแหลมเป็นเลิศ - most excellent), กัศยปะ (कश्यप - Kaśyapa หมายถึง เต่า - turtle ในภาษาสันสกฤต), อัตริ (अत्रि -
Atri), ชมทัคนี (ชัม-ทัก-นี - जमदग्नि - Jamadagni - เปลวไฟใหญ่ - great fire), โคตมะ (गौतम - Gautama), วิศวามิตร (विश्वामित्र - Viśvāmitra),และ ภรัทวาช (भरद्वाज - Bharadvāja) หรือมีมหาฤๅษีที่เป็นหัวหน้า นำโดยฤๅษีภฤคุ (भृगु - Bhṛgu - ซึ่งเป็นปฐมฤๅษี - आदि-र्षि - Adi-rṣi) ซึ่งได้สดับฟังพระเวทจากพระพรหม. โดยทั่วไปแล้วในพระเวท ในวรรณกรรมพราหมณ์-ฮินดู และสังหิตา ไม่ค่อยระบุชื่อของฤๅษีเหล่านี้นัก พระเวทถือว่าฤๅษีทั้งเจ็ดเป็นบรรพชนที่สำคัญของศาสนาพระเวท.
18. ราชฤๅษี (राजर्षि - Rājarṣi) หมายถึง ฤๅษีที่มีเชื้อพระวงศ์ เป็นวรรณะกษัตริย์ ส่วนพรหมฤๅษีก็ถือกำเนิดมาจากวรรณะพราหมณ์ ราชฤๅษีนี้ได้รับสถานะจากการพร่ำศึกษาเหล่าเรียนพระเวท สังหิตา อิติหาส ฯ ต่าง ๆ .


 
หน้าที่ 5
       'ขอยกตัวอย่างโดยสังเขปของการสร้างหรือรังสรรค์โลกขึ้นดังนี้, มีทวยเทพถือกำเนิดขึ้น 33,333 องค์. เหล่าบุตรของพระวิวัสวัต01 อันศักดิ์สิทธิ์ คือ พระพฤหัทภานุ02, พระจักษุ04, พระอัตมะ05, พระวิภาวสุ06, พระสวิตฤ07, พระฤๅษีฤจิกะ08, พระอรกะ09, พระภานุ10, พระอาศาวหะ11, และพระรวี12. ในบรรดาบุตรทั้งหมด พระมหา13 เป็นน้องสุดท้อง และบุตรชายของเขาชื่อพระเทวภรตะ14 ซึ่งรู้จักกันว่าพระสุภราช14. พระสุภราชมีบุตรที่มีชื่อเสียงสามคน คือ พระทัศโยติ15 พระศัตชโยติ16 และพระสหัสรัชโยติ17 ซึ่งบุตรแต่ละคนก็ให้กำเนิดบุตรอีกมากมาย. พระทัศโยติผู้ยิ่งใหญ่มีบุตรหมื่นคน. พระศัตชโยติผู้ครองตนนั้นมีบุตรมากกว่าพระทัศโยติถึงสิบเท่า และพระสหัสรัชโยติมีก็มีบุตรมากกว่าพระศัตชโยติถึงสิบเท่า. บรรพชนของพวกกุรุ พวกยาดู18 และพวกภรต19 เชื้อสายต้นวงศ์ของยยาติ20 อิกษวากุ21 และราชฤษีทั้งมวลล้วนสืบเชื้อสายมาจากพวกเขา. สรรพชีวิตต่าง ๆ มากมายก็ได้รับการประดิษฐ์รังสรรค์ขึ้น รวมทั้งสถานที่พำนักอาศัยแก่พวกสรรพชีวินเหล่านี้ด้วย.

       'มีการสร้างความลึกลับแห่งองค์ความรู้ทั้งสาม ประกอบด้วย พระเวท โยคะ22 และวิญญาณ23 ขึ้น เช่นเดียวกับ ธรรมะ อรรถะ และกามะ24. ฤๅษีได้เห็นศาสตร์ต่าง ๆ แทรกด้วยธรรมะ อรรถะ และกามะ และกฎแห่งการประพฤติปฏิบัติในโลก. ท่านเห็นประวัติศาสตร์โบราณและอธิบายทั้งหมด และศรุติ25 คัมภีร์อีกด้วย. ศรุติคัมภีร์นี้มีสัญลักษณ์ของสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ทุกสิ่งอยู่ที่นี่. เมื่อได้กลั่นกรององค์ความรู้อันยิ่งใหญ่นี้แล้ว ฤๅษีก็สรุปองค์ความรู้ทั้งหมดทั้งที่เป็นแบบย่อและแบบรายละเอียด เพื่อเป็นคลังองค์ความรู้สำหรับเก็บรักษาภูมิปัญญาของโลกนี้ไว้. บางท่านอ่านภารตะจากเรื่องของพระมนู26 บางท่านก็อ่านจากเรื่องของอาสติกะ27 และบางท่านก็อ่านจากเรื่องของอุปริจระ28. พราหมณ์บางท่านก็อ่านคัมภีร์ทั้งเล่ม. ผู้ที่ได้ศึกษามาดีได้แสดงความรู้เกี่ยวกับสังหิตา29 โดยแสดงความคิดเห็นกับประมวลคัมภีร์นี้. บางท่านก็ชำนาญในการอธิบาย บางท่านก็จดจำเรื่องราวได้ดี.

       หลังจากทำความเพียรบำเพ็ญตบะแล้ว หลังจากจำแนกพระเวทอันเป็นนิรันดร์ไว้เป็นหมวดหมู่แล้ว บุตรชายของนางสัตยวตี30 ก็ได้เรียบเรียงประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์นี้ขึ้น. พระพรหมฤๅษีผู้รอบรู้ ผู้เป็นบุตรของฤๅษีปราศรมุนี31 ก็ได้ปฏิบัติตามคำปฏิญาณอันบริสุทธิ์.

หมายเหตุ คำอธิบาย

พระวิวัสวัตหรือพระสูรย์ (สุริยะ), วิหารพราหมณ์ในกรุงนิวเดลี ภารตะ, ที่มา: fr.wikipedia.org, วันที่เข้าถึง 1 สิงหาคม 2567.

01. พระวิวัสวัต หรือ พระวิวัสวัน หรือพระสูรย์ (विवस्वत् - Vivasvat or Vivasvan or सूर्य - Sūrya god) หมายถึงพระอาทิตย์ หรือเป็นชื่อของพระมนูองค์ปัจจุบัน (พระมนูไววัสวัต).
02. พระพฤหัทภานุ (बृहद्भानु - Bṛhadbhānu) แปลว่า ไฟ. หรือ ฤๅษีผู้มีความรู้กว้างขวางในพระเวทและเวทางคะ03 อ้างถึง วนบรรพ มหาภารตยุทธ.
03. เวทางคะ {वेदाङ्ग - คัมภีร์ - Vedāṅga - หกส่วนของพระเวท อันเป็นศาสตร์เสริม ประกอบด้วย ศึกษา (शीक्ष - śīkṣa - สัทศาสตร์  - phonetics or articulation and pronunciation), กัล์ป (कल्प -
 kalpa - ความคิดทางสังคม หรือ พิธีกรรม - social thought or rituals), ไวยากรณ์ (व्याकरण - vyākaraṇa - grammar), นิรุกตะ (निरुक्त - nirukta - นิรุกติศาสตร์, exposition of words, etymology), ฉันท์ (छन्द - สัมผัส - chandas or Chhanda - metrics or prosody), โยธิษะ บ้างก็เรียก ชฺโยติษะ (ज्योतिष - jyotiṣa - ดาราศาสตร์ตามแบบพระเวท - Vedic astronomy), อลังการศาสตร์ (अलंकारशास्त्र - alaṃkāraśāstra - วาทศาสตร์ - study of figures of speech).
04พระจักษุ (चाक्षुष - Chakṣus) มีปรากฎในครุฑะ ปุราณะ (गरुड पुराण - Garuḍa Purāṇa) รายละเอียดดูในหน้าที่ 1 ของ
คัมภีร์ปุราณะ 1.
05. พระอัตมะ (आत्मा - Atma)
06. พระวิภาวสุ (विभावसु - Vibhāvasu) เป็นฤๅษีที่ยุธิษฐิระภราดาคนโตของเหล่าพี่น้องปาณฑพได้ให้ความเคารพมาก, อ้างถึงวนบรรพ มหาภารตยุทธ. และหมายถึง สิ่งส่องสว่างจ้า พระอาทิตย์ ไฟ พระจันทร์ เทพแห่งไฟ.
07. พระสวิตฤ (सवितृ - Savitṛ) ทรงเป็นบิดาของสาวิตรี (सावित्री - Sāvitrī - สาวิตรีผู้เป็นภรรยาของกษัตริย์และสตรีผู้ชอบธรรม กล่าวถึงในมหาภารตยุทธ ศานติบรรพ อัธยายะที่ 234 โศลกที่ 24 สาวิตรีผู้นี้ถวายต่างหูสองข้างเป็นทาน และบรรลุสวรรค์) ในคัมภีร์พระเวททรงเป็นพระอาทิตย์ ลูกหลานของเทวีอทิติ ชื่อสวิตฤนั้น สื่อถึง "ผู้ผลักดัน ผู้ปลุกเร้า ผู้ทำให้มีชีวิต".
08พระฤๅษีฤจิกะ (ऋचीक - Ṛchīka
) ท่านเป็นบุตรของอาทิฤๅษีภฤคุ (भृगु - Bhṛgu) อ้างตามมหาภารตยุทธ. แต่ในปุราณะอื่น ๆ และแม้แต่ในมหาภารตยุทธบ้างบรรพ (อาทิบรรพ - กล่าวว่าท่านเป็นบุตรของผู้นำเผ่าภฤคุ) ก็มีข้อมูลแตกต่างกันไป.
09. พระอรกะ (अर्का - Arka) สัญชัยที่เล่าเรื่องมหาภารตยุทธให้ท้าวธฤษราษฎร์ฟังนั้น ได้มีการกล่าวถึงกษัตริย์โบราณที่ชื่อพระอรกะ ซึ่งครั้งหนึ่งมั่งคั่งและมีอำนาจ แต่ท้ายสุดก็พบกับความตาย.
10. พระภานุ (भानु - Bhanu) บ้างก็ว่าเป็นอีกฉายาหนึ่งของพระสูรย์.
11. พระอาศาวหะ (आशावह - Āśāvaha) มาจากสองคำ อาศา แปลว่าความหวังที่สร้างแรงบันดาลใจ, (ว)หะ แปลว่า บุตรแห่งสวรรค์.
12. พระรวี (रवि - Ravi) แปลว่าพระอาทิตย์.
13. พระมหา (मह्य - Mahya) คำว่ามหาในภาษาสันสกฤตหมายถึงการให้เกียรติอย่างสูง.
14. พระเทวภรตะ (देवभ्रत - Devabhrata) แปลว่าน้องชายแห่งทวยเทพ หรือ พระสุภราช (सुभ्राज - Subhrāja) ซึ่งแปลว่าสองแสงสว่างสดใส บ้างก็เรียกพระสุภราฏ (Subhrāṭ).
15. พระทัศโยติ (दशज्योति - Daśajyoti)
16. พระศัตชโยติ (शतज्योति - Śatajyoti)
17. พระสหัสรัชโยติ (सहस्रज्योति - Sahasrajyoti)
18. ยาดู (यदु - Yādu) ผู้ก่อตั้งยาดูวงศ์ (Yadu Vaṃśa) หรือ ยาทวะวงศ์ (Yādava Vaṃśa) อันเป็นหนึ่งในห้าตระกูลอารยันที่กล่าวถึงในฤค-เวท, ยาดู เป็นเจ้าชายในจันทรวงศ์และเป็นบุตรชายคนโตของยยาติ20 และนางเทวยานี (देवयानी - Devayānī).
19. ภรต (भरत - Bharata) พวกภรต (พะ-ระ-ตะ) มีท้าวภรตเป็นปฐมวงศ์ อันเป็นโอรสของท้าวทุษยันต์ (दुष्यन्त - Duṣyanta) กับนางศกุนตลา (शकुन्तला - Śakuntalā) ท้าวภรตเป็นรัชทายาทแห่งจันทรวงศ์ พระองค์เป็นบรรพชนของวงศ์กษัตริย์โบราณใหญ่ ๆ ที่สำคัญคือ เหล่าวงศ์ปาณฑพหรือปาณฑวะ (
The Pāṇḍavas, पाण्डव - Pāṇḍava) วงศ์เการพ (The Kauravas, कौरव - Kaurava) พฤหัทรทะ (बृहद्रथ - Bṛhadratha) ชราสันธะ (जरासन्ध - Jarāsandha) และวงศ์ภารตะ (The Bhāratas, भारत - Bhārata) เรื่องราวของท้าวภรต ปรากฎในวรรณกรรมสำคัญที่ประพันธ์โดยมหากวีกาลิทาส (कालिदास - Kālidāsa) ดูเพิ่มเติมในหน้าที่ 5 A01. บทนำ - รามายณะ  ชื่อว่า อภิชญานศากุนตลา (अभिज्ञान शाकुन्तलम् - Abhijñānashākuntala).
20. ยยาติ (ययाति - Yayāti) เป็นกษัตริย์จันทรวงศ์ เป็นต้นตระกูลของเผ่ายาดวะ (สืบเชื้อสายมาจากยาดู) และปาณฑวะ.

21. อิกษวากุ (इक्ष्वाकु - Ikṣvāku) เป็นกษัตริย์องค์แรกของแคว้นโกศล เป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์อิกษวากุ หรือที่รู้จักกันในนามสุริยวงศ์ (सूर्यवंश - Sūryavaṃśa) อันเป็นต้นตระกูลสำคัญและเรื่องราวในรามายณะ.
22. โยคะ (योग - Yoga) การรวมกันระหว่างจิตใจมนุษย์กับพระผู้สูงสุด.
23. วิญญาณ (विज्ञान - Vijñāna) องค์ความรู้ที่ได้มาจากตระหนักรู้ด้วยตนเอง.
24. ธรรมะ อรรถะ และกามะ (धर्म, अर्थ, काम - Dharma, Artha and Kāma - หน้าที่/จริยธรรม, การเจริญเติบโต/หน้าที่การงาน, ประสงค์/แรงจูงใจ) หรือที่เรียกรวมว่า ตรีวรค (त्रिवर्ग - Trivarga) เป็นเป้าหมายของการดำรงอยู่ของมนุษย์ หรือจุดหมายสามประการแห่งความพยายามของมนุษย์.
25. ศรุติ (श्रुति - Śruti) แปลว่า "สิ่งที่ได้ยินมา - that which is heard," เป็นการเปิดเผยจากสวรรค์. ดังนั้นจึงเป็นข้อความที่เชื่อถือได้มากที่สุด. สิ่งเหล่านี้ถูกส่งต่อด้วยปากต่อปากจากรุ่นสู่รุ่น โดยไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมใด ๆ .
26. พระมนู
 (मनु - Manu) ดูในหมายเหตุ คำอธิบาย หน้าที่ 5 ของ
คัมภีร์ปุราณะ 1.  
27. อาสติกะ (आस्तिक - Āstika) เป็นฤๅษีที่ฉลาดและอุทิศตน สำเร็จการศึกษาจากฤๅษีไชยาวณะ (च्यवन - Cyavana) ซึ่งเป็นบุตรชายของอาทิฤๅษีภฤคุ โดยมีบิดาคือ ฤๅษีชรัตการุ (जरत्कारु - Jaratkāru) และ มารดาคือนางมนสา หรือพระมนสาเทวี (मनसा - Manasā) เทวีแห่งงูและนาค.
28. อุปริจระ หรือ อุปริชา (उपरिचर - Uparicara - ผู้เคลื่อนไปในอากาศ) เป็น วสุหรือพระอุปเทวดา (เทพย่อยหรือกึ่งเทพหรือนรเทพ) อ้างตามมหาภารตยุทธ ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งเจดีตามพระบัญชาของพระอินทร์ พระองค์มีบุตรห้าคนจากพระชายา และมีบุตรชายหนึ่งคนจากนางอัปสรชื่ออาทริกาซึ่งถูกสาปให้มาเกิดเป็นปลาบนโลก พระองค์มีบุตรชายหนึ่งคนชื่อมัสยา (ปลา) และลูกสาวหนึ่งคนชื่อสัตยวตี30. ซึ่งเป็นมารดาของพระฤๅษีวฺยาส.
29. สังหิตา (
संहिता - Saṃhitā) เป็น "บทสวดพระเวท” เป็นประเพณีกล่าวปากเปล่าของพระเวท ประกอบด้วยปาฐะหรือ “บทสวด” หรือวิธีการสวดมนต์พระเวทหลายแบบ บทสวดเหล่านี้จะร้องในช่วงเวลาบูชาและยัญพิธี (yajña) ซึ่งเป็นที่มาของพิธีกรรมในยุคพระเวทตอนต้น
.
30. นางสัตยวตี (सत्यवती - Satyavatī) บุตรีของ อุปริจระ หรือ อุปริจรวสุ เกิดจากครรภ์ของชาวประมงที่รู้จักในนามมัตสยาครภา (मत्स्यगर्भा - Matsyagarbhā) นางเป็นมารดาของ ฤๅษีวฺยาส (ชื่อเดิม बादरायण - บาดรายาณะ - Bādarāyaṇa) ก่อนที่นางจะแต่งงานกับท้าวศานตนุ (Śāntanu).
31. ปราศรมุนี (पराशर - Parāśara) เป็นบิดาของฤๅษีวฺยาส เป็นมุนีที่เคยเข้าร่วมพิธีบูชายัญอันยิ่งใหญ่ของพระทักษะ.


 
หน้าที่ 6
ตามคำขอร้องของมารดา และตามคำขอร้องของบุตรผู้ชาญฉลาดของพระแม่คงคา (गङ्गा - Gaṅgā )01 ฤๅษีกฤษณะ ไทวปายนะจึง (ทำภาระหน้าที่ "นิโยค02") เป็นบิดาของโอรสสามคน03 โดยชอบธรรมกับพระชายา04 ของราชาวิจิตรวีรยะ05 (ดูในหน้าที่ 47-49 ของ 01.1 อาทิบรรพ - บรรพแห่งการเริ่มต้น). โอรสทั้งสามแห่งตระกูลเการพนี้เปรียบเสมือนไฟสามดวง. หลังจากที่ได้ให้กำเนิดธฤตราษฎร์ ปาณฑุ และวิทูรแล้ว, ฤๅษีกฤษณะ ไทวปายนะก็กลับไปยังอาศรมเพื่อบำเพ็ญเพียรตามหนทางอันชาญฉลาดอย่างเคร่งครัดต่อไป.

หมายเหตุ คำอธิบาย
01. หมายถึง ภีษมะ (भीष्म - Bhīṣma) หรือ คงคาบุตร (गङ्गापुत्र - Gaṅgāputra)
02. นิโยค (नियोग - Niyoga) ในอินเดียสมัยโบราณมีประเพณีอยู่อย่างหนึ่งคือ หากสตรีคนใดสามีตายโดยไม่มีบุตร พี่ชายหรือญาติที่ใกล้ชิดของสามีที่ตายไปนั้นอาจจะรับเป็นสามีของสตรีคนนั้นได้ ทั้งนี้เพื่อจะได้มีบุตรสืบสกุล ประเพณีนี้ในภาษาสันสกฤตเรียกว่า "นิโยค" และบุตรที่เกิดโดยเงื่อนไขเช่นนี้ เรียกว่า "เกฺษตฺรช" ประเพณีนี้มีปฏิบัติกันในบรรดาชนเผ่ายิวโบราณเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Levirate.
03. หมายถึง ท้าวธฤตราษฎร์ (धृतराष्ट् - Dhṛtarāṣṭra) ท้าวปาณฑุ
(पाण्डु - Pāṇḍu) และมหามติวิทูร (विदुर - Vidura).
04. นางอัมพิกา (अम्बिका - Ambikā) และนางอัมพาลิกา (अम्बालिका - Ambālikā)
05. ราชาวิจิตรวีรยะ (विचित्रवीर्य - Vicitravīrya - ผู้กล้าอันงดงาม) พระอนุชาของภีษมะ.

 
 


แหล่งอ้างอิง:
01. จาก. "The Mahabharata 1," แปลโดย BIBEK DEBROY, ISBN: 978-0-1434-2514-4, สำนักพิมพ์เพนกวิน แรนดอม เฮ้าส์, พ.ศ.2558, ตีพิมพ์ในภารตะ.
02. จาก. "The Mahābhārata," An abridged translation by JOHN D. SMITH, ISBN: 978-0-140-44681-4, สำนักพิมพ์เพนกวิน บุ๊คส์, พ.ศ.2552. สหรัฐอเมริกา. www.penguin.com.
03. จาก. "The Mahabharata: Complete 18 volume," Veda Vyasa, Kisari Mohan Ganguli, แปล (เป็นภาษาอังกฤษ) [พ.ศ.2426-2439], ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2564 โดยสำนักพิมพ์ ซานซานิ.
04. จาก. http://www.wisdomlib.org.
05. จาก. www.purankosh.in


 
info@huexonline.com