MENU
TH EN

10. เสาปติกบรรพ

10. เสาปฺติกบรรพ - บรรพ (ที่ฝ่ายปาณฑพ) กำลังหลับไหล
First revision: Jul.26, 2022
Last change: Nov.17, 2022
สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง แปล และปริวรรตโดย
อภิรักษ์ กาญจนคงคา.
1.
       ในปัจฉิมยาม ณ ราตรีนั้น นักรบฝ่ายเการพซึ่งยังมีชีวิตเหลืออยู่เพียง 3 คน คือ กฤตวรมัน กฤปาจารย์ และ อัศวัตถามา ก็ได้เล็ดลอดเข้าไปในค่ายที่พักของฝ่ายปาณฑพ ซึ่งทุกคนกำลังอยู่ในสภาพหลับสนิทด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการรบ ทั้งนี้โดยไม่มีใครได้พะวงสงสัยเลยว่า ฝ่ายเการพจะละเมิดกติกาการรบถึงกับลอบเข้าไปทำร้ายคู่ต่อสู้ในยามวิกาลเช่นนั้นได้.

       บุคคลแรกที่อัศวัตถามาสามารถล้างแค้นได้สาสมแก่ใจคือ ธฤษฏะทฺยุมัน เชษฐาของนางเทฺราปที ซึ่งเป็นผู้ใช้ดาบเข้าฟันเศียรพระอาจารย์ โทฺรณะ บิดาของอัศวัตถามาขาดกระเด็นออกจากร่างในตอนรบวันแรก ๆ ดังได้พรรณนามาแล้ว ราตรีนี้ธฤษฏะทฺยุมันกำลังหลับสนิท เพราะฉะนั้น จึงถูกอัศวัตถามาสังหารได้โดยง่ายดาย และต่อจากนั้น บุตรชายทั้ง 5 คนของนางเทฺราปที อันได้แก่ ประติวินธัย ศรุตโสม ศรุตเสน ศตานีกะ และ ศรุตกรรม กับอีกคนหนึ่งคือ ศิขัณฑิน ผู้เป็นต้นเหตุแห่งการตายของนักรบผู้เฒ่าภีษมะ ก็ถูกอัศวัตถามาสังหารเสียจนสิ้นชีวิตไปด้วยเช่นเดียวกัน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนักรบทั้งหมดนี้นอนอยู่ในกระโจมเดียวกันกับธฤษฏะทฺยุมัน.

---------------
01. "เสาปฺติก" เป็นคำคุณศัพท์แปลว่า ซึ่งกำลังนอนหลับ ในบรรพนี้ ฝ่ายเการพได้ลอบเข้าไปทำร้ายฝ่ายปาณฑพในขณะที่ฝ่ายปาณฑพกำลังนอนหลับ เพราะฉะนั้น จึงมีชื่อว่า เสาปฺติกบรรพ.
1.
2.
211
       เป็นเคราะห์ดีที่องค์ยุธิษฐิระและอนุชาอีก 4 องค์ รวมทั้งพระกฤษณะและสาตฺยกีด้วย นอนอยู่ในกระโจมอื่น จึงรอดปลอดภัยมาได้ ถึงแม้อัศวัตถามา กฤปาจารย์ และกฤตวรมันจะได้พยายามค้นหาตัวสักเท่าไร ๆ ก็ไม่พบ ประกอบกับดวงอรุณได้เริ่มทอแสงขึ้นมาเสียก่อน อัศวัตถามากับพวกจึงต้องรีบล่าถอยออกจากบริเวณค่ายที่พักของฝ่ายปาณฑพไป แต่ก่อนที่จะถอยออกมา นักรบทั้งสามก็ยังไม่ลืมที่จะจุดไฟเผาค่ายของฝ่ายปาณฑพให้วอดวายเป็นเถ้าถ่านไปจนหมดสิ้น นับได้ว่าก่อความเสียหายให้แก่ฝ่ายปาณฑพอย่างสุดที่จะพรรณนา.

       ครั้นแล้ววันที่ 18 อันเป็นวันสุดท้ายแห่งมหาภารตะยุทธก็ได้มาถึง...

       จากค่ายของฝ่ายปาณฑพ อัศวัตถามา กฤปาจารย์ และกฤตวรมัน ก็รีบรุดไปหาทุรโยธน์ ซึ่งกำลังนอนตะโพกแหลกอยู่ด้วยความเจ็บปวด ณ ริมหนองน้ำแห่งนั้นนั่นเอง พอเห็นหน้าทุรโยธน์ อัศวัตถามาก็กล่าวปลอบใจขึ้นว่า.

       "ทุรโยธน์เพื่อนรัก! ท่านอย่าได้เสียใจไปเลย เราสามารถล้างแค้นให้แก่ท่านและตัวเราเองได้แล้ว บัดนี้ แม้ฝ่ายเราจะเหลือเพียงแค่ 3 คน แต่ฝ่ายปาณฑพก็เหลือเพียง 7 คนเท่านั้น คือ ปาณฑพทั้ง 5 พระกฤษณะ และสาตฺยกี นอกจากนั้นแล้ว เรายังได้เผาค่ายทหารของฝ่ายปาณฑพวอดวายไปจนหมดสิ้น เพราะฉะนั้น ขอท่านจงไปสู่สุคติให้สมกับที่ได้ถือกำเนิดมาในตระกูลกษัตริย์เถิด".

       ทุรโยธน์แย้มสรวลด้วยความพอพระทัย แล้วตรัสเป็นครังสุดท้ายว่า.

       "เราขอบใจเพื่อนมาก! สิ่งใดที่เพื่อนสามารถทำให้แก่เราได้ สิ่งนั้นแม้ทูลกระหม่อมปู่ภีษมะ กรรณะ หรือแม้แต่พระอาจารย์โทฺรณะบิดาของเพื่อน ก็ไม่สามารถทำให้แก่เราได้ เรามีความพอใจยิ่งนัก บัดนี้ เราหลับตาตายได้แล้ว!" กล่าวจบ ทุรโยธน์หายใจเฮือกสุดท้ายแล้วก็สิ้นชีวิตด้วยความสงบ.

       ฝ่ายกษัตริย์เหล่าปาณฑพ เมื่อได้ทราบข่าวการตายของลูกชายทั้ง 5 รวมทั้งธฤษฏะทฺยุมัน และศิขัณฑินแล้ว ก็ให้เกิดความเศร้าโศกยิ่งนัก ท้าวยุธิษฐิระถึงกับทรงพระกันแสง แล้วตรัสขึ้นว่า.

       "อนิจจาเอ๋ย! ลูกพ่อทั้งห้า! เจ้าต้องตายเพราะความประมาทของพวกพ่อแท้ ๆ กรรณะเองยังไม่สามารถทำอันตรายเจ้าได้เลย! ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะยังความหายนะให้ได้มากเท่ากับความประมาท! พวกเจ้านั้นเปรียบได้กับพ่อค้าพาณิชย์ผู้ร่ำรวย เสียแรงที่มีอุตสาหะข้ามน้ำข้ามทะเลมาได้โดยปลอดภัย แต่แล้วก็กลับมาสิ้นชีวิตลงในลำธารเล็ก ๆ ตื้น ๆ นี้เอง ทั้งนี้ก็เพราะความประมาทของพวกพ่อแท้ ๆ ".

1.
2.

212
       นางเทฺราปทีนั้น พอได้ทราบข่าวการตายของลูก ๆ ทั้งห้า ก็ถึงกับสิ้นสติสมประดีล้มลงบนพื้นดิน พอฟื้นขึ้นมาได้ นางก็คร่ำครวญกับองค์ยุธิษฐิระด้วยอัสสุชลอันนองพักตร์ว่า.

       "เจ้าพี่ต้องตามไปฆ่าอัศวัตถามาให้หม่อมฉันให้ได้ มิฉะนั้น หม่อมฉันจะไม่ขอมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป!".

       "เทฺราปทีน้องรัก! อัศวัตถามาเป็นพราหมณ์โดยกำเนิด แล้วก็เป็นลูกชายของพระอาจารย์โทฺรณะของพวกเราอีกด้วย น้องจะให้พี่ไปเอาชีวิตอัศวัตถามามาได้อย่างไร" ธรรมบุตรยุธิษฐิระตรัสด้วยพักตร์และสำเนียงอันเศร้าสลด.

       "ถ้าเช่นนั้น เจ้าพี่ต้องเสด็จไปบังคับให้อัศวัตถามามอบ ทิพยมณี ซึ่งประดับอยู่บนเศียรของมันให้แก่พวกเรา หม่อมฉันจึงจะถือว่าลูกชายทั้ง 5 ของหม่อมฉันมิได้ตายไปเปล่า ๆ "01. นางเทฺราปทีทูลวอนสวามี.

       ครั้นแล้ว ยุธิษฐิระพร้อมทั้งอนุชาทั้ง 4 และพระกฤษณะก็คว้าศัสตราวุธ รีบออกติดตามตัวอัศวัตถามาไปในป่า.

       หลังจากเที่ยวค้นหาอยู่พักใหญ่ กษัตริย์ทั้ง 6 (ภราดาปาณฑพทั้ง 5 และพระกฤษณะ) ก็ไปถึงอาศรมของฤๅษีวฺยาส ซึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา.

       ขณะนั้น พระฤๅษี วฺยาส กำลังสนทนาอยู่กับพระมุนี นารทะ โดยมีอัศวัตถามาหนีร้อนไปพึ่งเย็นอยู่ในอาศรมด้วย.

       พอเห็นปาณฑพเดินเข้ามาในบริเวณพร้อมกับพระกฤษณะ อัศวัตถามาก็ตกใจ รีบคว้าอาวุธผลุนผลันออกไปประจันหน้า.

       อารามที่กลัวว่า ฝ่ายตรงข้ามคงจะติดตามเอาชีวิตตนเป็นแน่แท้ อัศวัตถามาจึงรีบหยิบอาวุธซึ่งมีชื่อว่า อีษิกา อัสตร02. ออกมาแล้วขว้างไปยังกลุ่มปาณฑพพร้อมกับออกวาจาสิทธิ์ว่า "จงทำลายเผ่าพันธุ์ของพวกปาณฑพให้สิ้นสันตติ!".
---------------

01. เรื่องพิศดารมีอยู่ว่า อัศวัตถามามีทิพยมณีซึ่งเป็นทั้งเครื่องประดับและเครื่องรางป้องกันตัวอยู่บนศีรษะ หากเจ้าตัวถอดทิพยมณีนี้ออกเมื่อใด ก็หมายความว่า เมื่อนั้นเขายอมแพ้และจะไม่สามารถสู้รบกับใครได้อีกต่อไป.
02. อีษิกา แปลว่า ศร หรือ จรวด อสฺตฺร แปลว่า อาวุธ.

1.
2.
213
       พระกฤษณะซึ่งประทับยืนเคียงข้างฝ่ายปาณฑพ ก็รีบรับสั่งให้อรชุนปล่อยอาวุธของตนชื่อ พรหมศาสตร์01. ออกไปต่อสู้กับอาวุธของอัศวัตถามาทันที.

       ในบัดดล อาวุธวิเศษของอัศวัตถามาและอรชุนต่างก็ส่งเสียงหวือหวาแหวกอากาศไปต่อสู้กันบนท้องฟ้าอย่างน่าหวาดเสียว ประกายไฟซึ่งเกิดจากการกระทบกับระหว่างอาวุธทั้งสอง ก่อให้เกิดแสงสว่างไสวและเสียงดังครื้นครั่นไปทั่วอาณาบริเวณ ประหนึ่งว่าฟากฟ้าจะแตกแยกออกเป็นเสี่ยง ๆ ฉะนั้น.

       ฤๅษีวฺยาสและพระนารถมุนีตกใจเป็นอย่างยิ่ง นักบวชทั้งสองรีบวิ่งจากกุฏิออกไปยืนกั้นกลาง พร้อมทั้งพยายามโบกมือโบกไม้เท้าให้ทั้งสองฝ่ายหยุดรบ ในที่สุดฤๅษีวฺยาสตะโกนขึ้นอย่างสุดเสียงว่า.

       "หยุดนะเจ้า! จงหยุดรบเดี๋ยวนี้! ที่นี่เป็นศาสนสถาน หาใช่เป็นสนามรบไม่ จงเรียกอาวุธของเจ้ากลับคืนเข้าที่เก็บเสียเดี๋ยวนี้!".

       แต่อัศวัตถามาได้ยอมปฏิบัติเช่นนั้นไม่ ผลก็คือ อีษิกา อัสตร อาวุธวิเศษของอัศวัตถามา ได้แหวกอากาศตามวาจาสิทธิ์ของเจ้าของ ไปเข้าครรโภทรของนางอุตตรา ชายาของอภิมันยุ ซึ่งขณะนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่พอดี.

       ฤๅษีวฺยาสและพระมุนีนารทะ ไม่พอใจในความดื้อรั้นของอัศวัตถามาเป็นอย่างมาก นักบวชทั้งสองได้เข้าไปบริภาษติเตียนอัศวัตถามาต่าง ๆ นานาและในที่สุดได้แนะนำให้ถอดทิพยมณี ซึ่งสวมไว้บนศีรษะออกมอบให้แก่ฝ่ายปาณฑพเสีย การรบพุ่งจะได้ยุติลง.

       อัศวัตถามาไม่กล้าขัดขืนคำแนะนำของผู้ทรงศีลทั้งสอง จึงถอดทิพยมณีออกจากศีรษะยื่นให้ภีมะ แล้วตนก็เดินหายลับเข้าป่าไป ทั้งนี้เป็นสัญญาณยอมรับการพ่ายแพ้ ไม่ขอสู้รบอีกต่อไป.
---------------

01. ในมหากาพย์ รามายณะ หรือ รามเกียรติ์ ก็มีศร "พรหมศาสตร์" ของพระราม.

1.
2.

214
       เมื่อได้ทิพยมณีจากศีรษะของอัศวัตถามาตามความปรารถนาของนางเทฺราปทีแล้ว  ยุธิษฐิระกับน้อง ๆ จึงพากันกลับไปยังที่พัก.

       ภีมะยื่นมณีอันมีค่ายิ่งยวดนั้นให้แก่นางเทฺราปที พลางพูดว่า.

       "เทฺราปทีน้องรัก! นี่คือสิ่งที่น้องต้องการ อัศวัตถามาผู้ทำลายชีวิตลูก ๆ ของน้อง ได้หลบลี้หนีหน้ายอมแพ้เราเข้าป่าไปแล้ว ทุรโยธน์ก็สิ้นชีพแล้ว ส่วนทุหศาสันนั้นพี่ก็ได้ดื่มเลือดสมดังคำสาปแช่งของน้องแล้ว".

       นางเทฺราปทีรับทิพยมณีอันมีค่าไว้ด้วยความพอใจและสำนึกคุณ แล้วก็นำไปถวายแด่องค์ยุธิษฐิระ.

       ขอกลับไปกล่าวถึงอาวุธวิเศษ อีษิกา อัสตร ของอัศวัตถามา ซึ่งแหวกอากาศไปเข้าครรโภทรของนางอุตตรา ชายาของอภิมันยุที่ได้พรรณนาค้างไว้.

       เพราะคำสั่งให้ไป "ทำลายเผ่าพันธุ์ของปาณฑพให้สิ้นสันตติ" และเพราะขณะนั้นทารกในครรภ์นางอุตตราเป็น "สันตติ" ของปาณฑพ อีษิกา อัสตร จึงไปเข้าครรโภทรของนางอุตตรา.

       พระกฤษณะซึ่งประทับอยู่ในที่เกิดเหตุ ทรงพระดำริว่า หากไม่เข้าช่วยแก้ไขสถานการณ์แล้วไซร้ กลุ่มภราดาปาณฑพคงจะสูญสิ้นผู้สืบสกุลเป็นแน่ พระองค์จึงทรงเอ่ยโอษฐ์ประทานพรไว้ว่า.

       "อาวุธอีษิกาของอัศวัตถามา จะไม่ยังผลร้ายใด ๆ ให้เกิดแก่โอรสของอภิมันยุ ซึ่งอยู่ในอุทรของนางอุตตรา และโอรสนั้นจะเป็นผู้สืบสันตติวงศ์แห่งราชตระกูลปาณฑพด้วย".

       เหตุการณ์ได้เป็นไปตามพรที่พระกฤษณะได้ประทานไว้ ดังจะปรากฎในบรรพต่อไป.

       โอรสของอภิมันยุและนางอุตตราองค์นี้ทรงพระนามว่า ปรีกฺษิต ซึ่งต่อมาเมื่อท้าวยุธิษฐิระทรงสละราชสมบัติเสด็จออกป่า ปรีกฺษิต ก็ได้เสวยไอศูรย์เป็นกษัตริย์ขึ้นครองราชบัลลังก์แห่งนครหัสตินาปุระเป็นเวลา 60 ปี.

       ส่วนอัศวัตถามาผู้เดินหายลับเข้าป่าไปนั้น ก่อนจะจากกัน พระกฤษณะได้ประกาศิตคำสาปไว้ว่า.

1.
2.
215
       "เนื่องจากท่านเป็นคนใจดำอำมหิต ไม่เชื่อฟังผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ เช่นท่านฤๅษีวฺยาสและท่านนารทมุนี มิหนำซ้ำยังสามารถฆ่าแม้แต่ทารกในครรภ์ได้ เราจึงขอสาปให้ท่านต้องมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์นี้เป็นเวลาถึง 3,000 ปี โดยไม่มีใครคบหาสมาคมหรือพูดจาด้วย ท่านจะต้องระหกระเหินหลบลี้หนีหน้าอยู่แต่ในป่าเขาลำเนาไพร เนื่้อตัวของท่านจะเน่าเฟะเต็มไปด้วยเลือดและหนองส่งกลิ่นเหม็นไปตลอดกาล โรคภัยไข้เจ็บจะรุมรบกวนท่าน และท่านจะหาความสุขในชีวิตไม่ได้เลยแม้แต่สักชั่วขณะหนึ่ง".

 
จบบรรพที่ 10: เสาปฺติกบรรพ


แหล่งอ้างอิง:
01จาก. "The Illustrated Mahabharata: A Definitive Guide to India's Greatest Epic," ISBN: 978-0-2412-6434-8, สำนักพิมพ์เพนกวิน แรนดัม เฮ้าส์, พ.ศ.2560, พิมพ์และเข้าเล่มในประเทศจีน, www.dk.com.
02จาก. "มหาภารตยุทธ," แปลและเรียบเรียงโดย กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย, ISBN 974-85553-1-3, พิมพ์ครั้งที่สอง มกราคม 2533, สำนักพิมพ์บริษัท เคล็ดไทย จำกัด.
03จาก. "The Mahābhārata," An abridged translation by JOHN D. SMITH, ISBN: 978-0-140-44681-4, สำนักพิมพ์เพนกวิน บุ๊คส์, พ.ศ.2552. สหรัฐอเมริกา. www.penguin.com.
04จาก. "The Mahabharata: Complete 18 volume," Veda Vyasa, Kisari Mohan Ganguli, แปล (เป็นภาษาอังกฤษ) [พ.ศ.2426-2439], ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2564 โดยสำนักพิมพ์ ซานซานิ.


 
info@huexonline.com