MENU
TH EN
Title Thumbnail & Hero Image: ภาพได้พัฒนาเมื่อ 4 สิงหาคม 2568.
ปรัชญาสโตอิก 1
First revision: Aug.4, 2025
Last change: Aug.8, 2025
สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง แปล และปริวรรตโดย
อภิรักษ์ กาญจนคงคา.
1.
ก.
บทนำ

       ในทศวรรษที่ผ่านมามีผู้ประพันธ์งานด้านปรัชญาสโตอิกท่านหนึ่งA ได้ค้นพบลัทธิสโตอิกและไม่เคยหยุดฝึกฝน. แนวคิดแบบสโตอิกได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของท่านไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้ท่านมีความยืดหยุ่นทางอารมณ์ มีมุมมองเชิงบวก และปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงชุมชนของท่านให้ดีขึ้น. ท่านได้รับประโยชน์เหล่านี้จากการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน. ท่านได้เรียนรู้วิธีการสร้างทักษะสโตอิกจากหนังสือหลากหลายเล่ม ชุมชนออนไลน์ และการลองผิดลองถูก. ท่านคาดว่าหนังสือที่ท่านประพันธ์จะช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้า ได้เร็วกว่าที่ท่านเคยทำ โดยมอบเส้นทางที่ชัดเจนในการดำเนินชีวิต.

       ท่านเป็นโรควิตกกังวลมาตั้งแต่ปลายวัยรุ่น. เป็นเวลาหลายปีที่โรคนี้ไม่ได้รับการรักษาและส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์และชีวิตการทำงานของท่าน. ในช่วงอายุ 30 ต้น ๆ ท่านได้ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญและได้เรียนรู้แนวทางปฏิบัติต่าง ๆ จากการบำบัดพฤติกรรมทางปัญญา (Cognitive Behavioral Therapy - CBT) ซึ่งได้ผลและกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในชีวิตจิตใจของท่าน. ลัทธิสโตอิกดึงดูดท่านในช่วงแรกเพราะมุมมองแบบสโตอิกมีความคล้ายคลึงกับการบำบัดที่ท่านเคยปฏิบัติ. ต่อมาท่านได้เรียนรู้ว่าทั้งสองมีความเชื่อมโยงกันทางประวัติศาสตร์ ความแตกต่างคือ CBT ช่วยให้เกิดความสงบในความคิดของท่าน ในขณะที่ลัทธิสโตอิกให้ทิศทางแก่ความคิดเหล่านั้น. สโตอิกช่วยให้ท่านเลือกได้ว่าท่านอยากเป็นใคร และมอบหนทางให้ท่านกลายเป็นคนแบบนั้น. กระบวนการนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ให้ผลตอบแทน และคุ้มค่าแก่การแบ่งปัน.

       ปรัชญาสโตอิกกล่าวว่า เราสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ด้วยงานประพันธ์ตาม A. นี้ เราจะได้เรียนรู้ที่จะมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่เราควบคุมได้ เพื่อให้การกระทำของเราส่งผลกระทบ และเราจะไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้. เราจะเปิดใจและยอมรับผู้อื่นมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีความกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อตัวเองและความเชื่อของเรา. ชีวิตทางอารมณ์ของเราจะได้รับประโยชน์เมื่อเราปลูกฝังความคิดเชิงบวกและเอาชนะความคิดเชิงลบ. เราจะกลายเป็นตัวตนที่ดีที่สุดของเราเอง และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างกลมกลืน.

       ท่าน (ตาม A.) เป็นครูสอนมาเกือบตลอดชีวิตที่เป็นผู้ใหญ่. เมื่อท่านเริ่มศึกษาลัทธิสโตอิก ท่านรู้สึกเป็นธรรมชาติที่จะแบ่งปันสิ่งที่ได้เรียนรู้. ท่านเริ่มต้นด้วยบล็อก Immoderate Stoic ต่อมาท่านได้สร้างพอตแคสต์ชื่อ Good Fortune เพื่อยกย่องหนึ่งในคำพูดโปรดของมาร์คัส ออริเลียส หรือ ออเรลิอุส (Marcus Aurelius) ที่ว่า "นี่คือกฎที่ควรจำไว้ในอนาคต เมื่อสิ่งใดล่อลวงให้เรารู้สึกขมขื่น: ไม่ใช่ 'นี่คือความโชคร้าย' แต่ 'การอดทนต่อสิ่งนี้อย่างคุ้มค่าคือโชคดี.'" "Here is the rule to remember in the future, When anything tempts you to be bitter: not, 'This is a misfortune' but 'To bear this worthily is good fortune.'" ทั้งสองข้อนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากชุมชนสโตอิก และยังคงช่วยเหลือผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างมีปรัชญา คำสอนของท่านมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติ ลัทธิสโตอิกจะช่วยเราได้อย่างไร ณ ที่นี้ ณ เวลานี้.
มาร์คัส ออริเลียส พัฒนาขึ้นเมื่อ 18 กันยายน 2567.
1.
       ข้อมูลในบล็อกนี้ก็เช่นกัน เราไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านปรัชญามาก่อนก็ได้รับประโยชน์จากคำสอนเหล่านี้ได้. ในยุคที่ปรัชญาสโตอิกพัฒนาขึ้น ปรัชญาช่วยให้ผู้คนมีชีวิตที่มากมาย. ครูบาอาจารย์ของปรัชญาสโตอิกได้วางรากฐานทางจริยธรรมสำหรับการกระทำในโลกที่มักจะสับสนและท้าทาย ปรัชยาสโตอิกช่วยให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วง. เราจะได้เรียนรู้ที่จะควบคุมชีวิตทางจิตใจและอารมณ์ของตนเอง เราจะได้ฝึกฝนทักษะที่จำเป็นในการกำหนดทิศทางการกระทำของเราไปในทางบวก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวเราและทุกคนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย. หากเราสนใจที่จะได้รับเครื่องมือที่จะช่วยให้เรามีความสุขได้ในทุกช่วงเวลาของชีวิต เรามาถูกทางแล้วครับ.   
---------------
A จาก Natta, Matthew Van. The Beginner's Guide to Stoicism: Tools for Emotional Resilience and Positivity. Althea Press. 2019, ISBN: eBook 978-1-64152-722-4, Kindle Edition, California, United States.
1.
2.
ข.
       ปรัชญาสโตอิกจะฝึกฝนเราในวิธีคิดแบบใหม่ ท่าน (A) จะพาเราผ่านกระบวนการนีไปทีละขั้นตอน. แต่ละบทจะต่อยอดจากบทก่อนหน้า. เราจะได้รับรากฐานที่มั่นคงก่อนที่จะได้รับข้อมูลเพิ่มเติม ทุกบทประกอบด้วยบทเรียนเชิงปฏิบัติ เราจะได้รับเครื่องมือทางจิตใจที่มีประโยชน์ตั้งแต่เริ่มต้น และเมื่อเราเรียนรู้ต่อไป การใช้งานเครื่องมือเหล่านั้นจะยิ่งชัดเจนและทรงพลังยิ่งขึ้น.

       ส่วนที่หนึ่ง: รากฐาน (Foundations) นำเสนอภาพรวมของปรัชญาสโตอิกและเจาะลึกประวัติศาสตร์. เราจะได้รับบริบทที่จำเป็นต่อการเข้าใจเป้าหมายของคำสอนของสโตอิก กรอบแนวคิดของสโตอิกจะเริ่มชัดเจนขึ้น.

       ส่วนที่สอง: ชุดเครื่องมือทางอารมณ์ใหม่ของเรา (Our New Emotional Tool Kit) วางรากฐานความคิดและการปฏิบัติของสโตอิก. เราจะได้เรียนรู้และนำหลักธรรมทั้งสามของสโตอิก (The three Stoic disciplines) ไปใช้. เราจะได้ศึกษาคุณธรรม แนวคิดของสโตอิกเกี่ยวกับความเป็นเลิศส่วนบุคคล เพื่อให้การปฏิบัติของเรามีจุดเน้นที่ชัดเจน. เรายังจะได้เรียนรู้การแยกแยะสิ่งที่เราควบคุมได้ออกจากสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ ซึ่งเป็นบทเรียนพื้นฐานที่ไขความลับของพลังที่แท้จริงของสโตอิก.

       ส่วนที่สาม: สโตอิกเพื่อชีวิต (Stoicism for Life) จะนำรากฐานทางปรัชญาใหม่ของเรามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน. เราจะได้เรียนรู้การปลูกฝังอารมณ์เชิงบวกและขจัดอารมณ์เชิงลบ. ลัทธิสโตอิกจะทำให้เราพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้เราแสวงหาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น. เรายังจะได้ความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นอีกด้วย.

       ถึงเวลาเริ่มต้นเรียนรู้แล้ว! ขั้นแรก เราจะได้เรียนรู้ว่าลัทธิสโตอิกคืออะไร และไม่ใช่อะไรกันแน่ เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับรากฐานและการเปลี่ยนแปลงของลัทธิสโตอิกตามกาลเวลา. นอกจากนี้ เรายังจะได้รู้จักกับเครื่องมือพื้นฐานของปรัชญา ซึ่งจะช่วยให้เรามีจิตใจที่แข็งแรงและใช้ชีวิตที่เติมเต็มมากขึ้น.
1.
2.
3.
4.

 
ส่วนที่หนึ่ง:
รากฐาน (FOUNDATIONS)

1.
2.
3.
4.
หน้าที่ 1
1.
2.

บทที่ 1
ปรัชญาเชิงปฏิบัติ (A Practical Philosophy)

1.
2.

             
 "หยุดพร่ำพูดว่าคนดีเป็นอย่างไร มิเป็นคนดีไปเลยไม่ดีกว่าหรือ?"
            "To stop talking about what the good person is like, and just be one."
- าร์คัส อริเลียส, Meditations 10:16
1.
2.

ราจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างไร? บล็อกนี้จะตอบคำถามนั้น. เราจะพบเครื่องมือทางจิตใจ ชุดความคิดประจำวัน แนวทางปฏิบัติที่มีคำแนะนำ และอื่น ๆ อีกมากมายที่จะช่วยให้เราเป็นตัวของตัวเองที่ดีที่สุดในทุกช่วงเวลา ทุกสถานการณ์ ทั้งเพื่อประโยชน์ของเราเองและเพื่อประโยชน์ของทุกคนรอบตัวเรา. ปรัชญาเบื้องหลังแนวทางปฏิบัติเหล่านี้ หรือที่เรียกว่า สโตอิก ได้ช่วยผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก้าวข้ามอุปสรรคทางจิตใจ กล้าหาญเมื่อเผชิญกับความท้าทายในชีวิต และค้นพบความพึงพอใจที่ยั่งยืน ในชีวิตของท่าน (A) สโตอิกได้ช่วยเหลือท่านทั้งในด้านใหญ่และด้านเล็ก ตั้งแต่การที่ทำให้ท่านจัดการกับโรควิตกกังวลเรื้อรังได้ ไปจนถึงการรักษาความสงบสุขระหว่างการเดินทางอันยาวนานในแต่ละวัน. ท่านยังได้เห็นปรัชญานี้เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนอื่น ๆ ให้ดีขึ้นอีกด้วย. ท่านรู้สึกว่าสโตอิกสามารถช่วยให้เราค้นพบหนทางสู่ความเจริญรุ่งเรืองในโลกนี้ได้ และท่านรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้แบ่งปันเรื่องราวทั้งหมด.
1.
2.
หน้าที่ 2
1.
สโตอิกคืออะไร (What Is Stoicism?)

ปรัชญาเชิงปฏิบัติที่ตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่าทุกคนสามารถมีชีวิตที่รุ่งเรืองได้ สโตอิกยึดมั่นว่าชีวิตที่ดีมีอยู่จริงในปัจจุบัน แม้จะมีสถานการณ์ภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องก็ตาม. อย่างไรก็ตาม เราต้องเต็มใจที่จะพัฒนาจิตใจให้แข็งแกร่ง. สโตอิกสอนให้เราจดจ่อกับความคิดและการกระทำของเราในสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้. การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราพัฒนามุมมองทางจิตใจที่ดี. สโตอิกท้าทายให้เราประเมินสิ่งที่เราต้องการและสิ่งที่เราไม่ต้องการ. สอนให้เราหันความสนใจไปที่ความปรารถนาที่ดี และเมื่อเราทำเช่นนั้น เราจะพบว่าอารมณ์เชิงบวกจะผุดขึ้นมาต่อเนื่องมากขึ้น. เราจะมีความอดทนทางอารมณ์ที่จะช่วยให้เราเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ อันนำไปสู่ความสุข.

       เหนือสิ่งอื่นใด ลัทธิสโตอิกมุ่งหมายที่จะพัฒนาทักษะชีวิตของเรา ซึ่งเราเรียกความเชี่ยวชาญในชีวิตนี้ว่า คุณธรรม (Virtue). ปรัชญาสโตอิกฝึกฝนคุณธรรมให้เรา: ปรัชญานี้จะหล่อหลอมคุณธรรมของเราให้เป็นคนที่พอใจ มีความสุข ยืดหยุ่น และสามารถลงมือทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้โลกนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น.

1.
2.

ตำนาน และความเข้าใจผิด (MYTH AND MISCONCEPTIONS)

หากเราไม่เคยได้ยินปรัชญาสโตอิกมาก่อน เราก็น่าจะเคยเจอสโตอิก (stoicism) (ตัว s เล็ก) ในชีวิตของเรามาบ้าง. ในภาษาอังกฤษสมัยใหม่ คำว่าสโตอิก (stoic) ถูกใช้เพื่อธิบายถึงบุคคลที่ยังควบคุมตนเองเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก. แม้ว่าบ่อยครั้งจะน่าชื่นชม แต่การเป็น "สโตอิก" มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนที่ไม่แข็งแรง. หากเราเพียงแค่ระงับอารมณ์ ยับยั้งความวุ่นวายภายใน แต่ไม่เคยจัดการกับปัญหาภายในเหล่านั้นอย่างแท้จริง ผลลัพท์อาจเลวร้ายได้. นี่ไม่ใช่สโตอิกแบบตัว S ใหญ่. แม้แต่สโตอิกโบราณก็ยังเคยเผชิญกับการบิดเบือนปรัชญาของพวกเขาเช่นนี้ นักวิจารณ์มองว่ามันเป็นเรื่องเย็นชา. แต่ถึงกระนั้น สโตอิกก็ยืนยันว่าไม่มีใครควรตั้งเป้าหมายที่จะเป็นรูปปั้นที่ไร้ความรู้สึก. การพัฒนาชีวิตที่มีคุณธรรมนั้นแท้จริงแล้ว นำไปสู่ชีวิตทางอารมณ์ที่อุดมสมบูรณ์ ชีวิตที่เราเชี่ยวชาญกับอารมณ์เหล่านั้น ปลูกฝังด้านบวก ในขณะเดียวกันก็เอาชนะด้านลบได้อย่างรวดเร็ว.

       ความเข้าใจผิดอีกอย่างหนึ่ง คือความเฉยเมย (Passivity). ลัทธิสโตอิกกล่าวว่าเราสามารถเติบโตได้ในทุกสถานการณ์ สอนให้ยอมรับโลกตามที่เป็นอยู่ ซึ่งอาจจะถูกตีความผิด ๆ ว่าเป็นความไม่แยแส (apathy). "ทำไมต้องเปลี่ยน," พวกเขากล่าว (และบรรดาพวกเราที่ชื่นชอบสโตอิก ก็จะกล่าวว่า) "ถ้าเราสามารถมีความสุขได้แม้ในยามวิกฤติของชีวิต."

       มันอาจจะดูขัดแย้ง แต่การยอมรับแบบสโตอิกกลับทำให้เรามีพลังที่จะเอาชนะความท้าทาย. ความเฉยเมยมักเกิดจากความกลัวมากกว่าการยอมรับ. เมื่อมีคนหยาบคายเรียกร้องอย่างก้าวร้าว เราจะยอมจำนนโดยกังวลว่าการยืนหยัดเพื่อตัวเองจะทำให้เรื่องแย่ลงบ่อยแค่ไหน? ลัทธิสโตอิกยอมรับว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากำลังเป็นศัตรู แต่พวกเขาสามารถเลือกวิธีการตอบสนองได้. หากข้อเรียกร้องของคนที่ชอบทะเลาะวิวาทไม่ยุติธรรม ลัทธิสโตอิกก็ทำงานเพื่อความยุติธรรม. ลัทธิสโตอิกสอนให้เรามีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนเพื่อที่เราจะได้ตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุด. เมื่อเราเรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในความสามารถของเราในการรับมือกับการทดลองต่าง ๆ การเพิกเฉยและการไม่ตัดสินใจก็จะไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป. เมื่อเรามุ่งให้ความสนใจไปที่สิ่งที่เราควบคุมได้ การกระทำของเราก็จะมุ่งเป้าและมีประสิทธิภาพ.

       ก่อนที่เราจะเจาะลึกเครื่องมือต่าง ๆ ที่ลัทธิสโตอิกนำเสนอ เรามาพิจารณาคร่าว ๆ ว่าแนวคิดเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นจากจุดใด.
1.
2.
หน้าที่ 3

จุดกำเนิด (Origins)
1.
ปรัชญาสโตอิกเริ่มต้นขึ้นในกรีกโบราณเมื่อ 843 ปีก่อนพุทธกาลหรือ 300 ปีก่อนคริสกาล เจริญรุ่งเรืองเป็นเวลา 500 ปี แต่แล้วก็เลือนหายไป ปรากฎให้เห็นเพียงชั่วครู่ชั่วยามตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนกระทั่งการกลับมาอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งปัจจุบันได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของปรัชญานี้. ผู้ก่อตั้งปรัชญานี้คือซีโนแห่งซิเทียม (Zeno of Citium) พ่อค้าผู้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างจากเรืออับปาง. หลังจากการสูญเสียครั้งนี้ ท่านหันมาพึ่งปรัชญาเพื่อสร้างชีวิตใหม่. ซีโนเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนควรมี “ชีวิตที่ราบรื่น" (A good flow of life) ซึ่งประกอบด้วยความสงบสุขส่วนบุคคล ในขณะเดียวกันก็ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและกลมกลืนไปกับชุมชน. เพื่อเผยแพร่แก่ผู้คน ซีโนจึงสอนบทเรียนกลางแจ้งแก่สาธารณชน. ท่านและลูกศิษย์จะพบกันในสโตอา (Stoa) ซึ่งเป็นทางเดินที่มีหลังคาคลุมที่ใช้กันทั่วไปในสมัยของท่าน สำนักแนวคิดของท่านเป็นที่รู้จักในชื่อ สโตอา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อลัทธิสโตอิก (Stoicism).





1.
2.
3.
humanexcellence.thailand@gmail.com