MENU
TH EN

บันทึกประจำวันตามแนวปรัชญาสโตอิก: มกราคม

นักปรัชญาสโตอิกที่มีชื่อเสียง, ที่มา: www.havefunwithhistory.com, วันที่เข้าถึง: 30 ธันวาคม 2566.
บันทึกประจำวันตามแนวปรัชญาสโตอิก: มกราคม
First revision: Dec.30, 2023
Last change: Sep.19, 2024
สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง แปล และปริวรรตโดย
อภิรักษ์ กาญจนคงคา.

ปรัชญาสโตอิก (Stoicism) เป็นปรัชญาเชิงปฏิบัติที่ยึดหลักความเชื่อที่ว่าทุกคนสามารถมีชีวิตที่รุ่งโรจน์ได้ ปรัชญาสโตอิกยึดมั่นว่าชีวิตที่ดีมีอยู่ในตัวเราในตอนนี้ แม้ว่าจะมีสถานการณ์ภายนอกจะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม. อย่างไรก็ตาม เราต้องเต็มใจที่จะทำงานเพื่อปลูกฝังจิตใจให้สมบูรณ์. ปรัชญาสโตอิกสอนให้เรามุ่งความคิดและการกระทำของเราไปที่สิ่งที่เราควบคุมได้. เมื่อทำเช่นนี้ เราจะพัฒนาเจตคติทางจิตที่สมบูรณ์. ปรัชญาสโตอิกท้าทายให้เราประเมินทั้งสิ่งที่เราต้องการและสิ่งที่เราต้องการหลีกเลี่ยงไม่เผชิญ. ปรัชญาสโตอิกสอนให้เราเปลี่ยนความสนใจไปที่ความปรารถนาที่ดีต่อสุขภาพ และเมื่อเราทำเช่นนั้น เราจะพบว่าอารมณ์เชิงบวกเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมากขึ้น. เราจะได้รับความยืดหยุ่นทางอารมณ์ ซึ่งจะช่วยให้เราเอาชนะความท้าทายต่อความสุขของเราได้.

       เหนือสิ่งอื่นใด ปรัชญาสโตอิกมุ่งหมายที่จะทำให้เรามีทักษะในการใช้ชีวิต เราเรียกสิ่งนี้ว่า คุณธรรม (Virtue) ปรัชญาของแนวคิดสโตอิกฝึกฝนเราในด้านคุณธรรม: ปรัชญาจะหล่อหลอมคุณธรรมของเราให้เป็นคนที่พอใจ มีความสุข ยืดหยุ่น และสามารถดำเนินการที่ทำให้โลกนี้เป็นสถานที่ที่ดีขึ้นได้.



       นักปรัชญาสโตอิกที่มีชื่อเสียงบางท่าน ประกอบด้วย:
  • มาร์คัส ออริเลียส (Marcus Aurelius)
  • อิพิกตีตัส (Epictetus)

ภาพอีพิคตีตัส พัฒนาขึ้นเมื่อ 19 กันยายน 2567.
 
  • ซีโน แห่ง ซิเตียม (Zeno of Citium)
  • คลีแอนเทส (Cleanthes)
  • เซเนก้า (Seneca)
  • มูโซเนียส รูฟัส (Musonius Rufus).
 
  มกราคม
  ความกระจ่าง (CLARITY)
 
  วันที่ 1 มกราคม
  การควบคุมและทางเลือก
  (CONTROL AND CHOICE)

"หน้าที่หลักในชีวิตก็เพียงเท่านี้ คือ ระบุและแยกเรื่องเพื่อจะได้บอกกับตัวเองได้ชัดเจนถึงสิ่งภายนอกที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา และเกี่ยวข้องกับทางเลือกที่เราควบคุมได้จริง ๆ . แล้วฉันจะมองหาจากที่ไหน ความดีและความชั่วได้เล่า? ไม่ใช่เพื่อสิ่งภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ แต่ภายในตัวฉันเองนั้น จะไปสู่การเลือกที่เป็นของฉันเอง..."
-- อีพิกตีตัส, าทกรรม, 2.5-4.5

นวทางปฏิบัติที่สำคัญที่สุดประการเดียวในปรัชญาสโตอิกคือ การแยกความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงได้กับสิ่งที่เราทำไม่ได้ สิ่งที่เรามีอิทธิพลเหนือและสิ่งที่เราทำไม่ได้ เที่ยวบินเกิดความล่าช้าเนื่องจากสภาพอากาศ การตะโกนใส่ตัวแทนสายการบินจะไม่ทำให้พายุสงบลงได้ ไม่มีความปรารถนาใดที่จะทำให้คุณสูงขึ้น เตี้ยลง หรือเกิดในประเทศอื่น ไม่ว่าคุณจะพยายามแค่ไหน คุณก็ไม่สามารถทำให้คนอื่นเป็นแบบคุณได้ และยิ่งไปกว่านั้น เวลาที่ใช้เราในการเหวี่ยงตัวเองไปสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ มันก็เป็นเวลาที่ไม่ได้ใช้ไปกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ (เสียเวลาเปล่า ๆ ).

       ชุมชนแห่งการฟื้นฟูได้ปฏิบัติกับสิ่งที่เรียกว่า คำอธิษฐานแห่งความสงบ: "พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดประทานความสงบด้วยเถิด ให้ฉันยอมรับสิ่งที่ฉันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ฉันทำได้ และประทานสติปัญญาที่จะรู้ถึงความแตกต่างด้วยเทอญ" ผู้ติดยาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการทารุณกรรมในวัยเด็กได้. พวกเขาไม่สามารถยกเลิกตัวเลือกที่พวกเขาทำหรือความเจ็บปวดที่พวกเขาสร้างขึ้นได้. แต่พวกเขาสามารถเปลี่ยนอนาคตได้ ด้วยพลังที่พวกเขามีในช่วงเวลาปัจจุบัน. ดังที่ อีพิกตีตัสกล่าว, พวกเขาสามารถควบคุมตัวเลือกที่พวกเขาเลือกได้ในตอนนี้.

       เช่นเดียวกับเราในปัจจุบัน หากเราสามารถมุ่งความสนใจไปที่การทำให้ชัดเจนว่าส่วนใดของวันของเราอยู่ในการควบคุมของเราและส่วนใดที่ไม่อยู่ในการควบคุม เราไม่เพียงแต่จะมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น แต่เราจะมีข้อได้เปรียบเหนือคนอื่น ๆ ที่ไม่ตระหนักว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับการต่อสู้ที่ไม่อาจเอาชนะได้.


 
  วันที่ 2 มกราคม
  การศึกษาคืออิสรภาพ
  (EDUCATION IS FREEDOM)

"ผลของการสอนเหล่านี้คืออะไร? มีเพียงการเก็บเกี่ยวที่งามงดและเหมาะสมที่สุดเท่านั้นของผู้ได้รับการศึกษาอย่างแท้จริง - ความสงบ ความไม่เกรงกลัว และอิสรภาพ. เราไม่ควรวางใจกับเหล่าชนที่บอกว่ามีเพียงเสรีชนเท่านั้นที่จะได้รับการศึกษา แต่เราควรวางใจกับผู้ทรงปัญญา ที่กล่าวว่าผู้มีการศึกษาเท่านั้นที่จะเป็นอิสระ."
-- อีพิกตีตัส, าทกรรม, 2.1.21-23a

ำไมเราถึงหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา? ทำไมต้องหยิบหนังสือขึ้นมาสักเล่ม? ดูไม่ฉลาดเลย ไม่เสียเวลาบนเครื่องบินรอกหรือ จะไม่ได้ยินในสิ่งที่เราต้องการจะได้ยิน - มันมีตัวเลือกมากกว่าการอ่านมากมายนัก.

       เปล่าเลย เราเลือกหยิบหนังสือเล่มนี้ก็เพราะเรากำลังเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต. เพราะเราต้องการที่จะเป็นอิสระมากขึ้น กลัวน้อยลง และบรรลุถึงสภาวะแห่งความสงบ. การศึกษา - เป็นการอ่านและการใคร่ครวญถึงภูมิปัญญาของผู้มีจิตใจที่งดงาม - ไม่ควรจักกระทำเพื่อตัวมันเอง. ทว่ามันมีจุดมุ่งหมาย.

       โปรดจำไว้ว่าความจำเป็นในวันที่เราเริ่มรู้สึกฟุ้งซ่าน เมื่อดูโทรทัศน์หรือทานของว่าง ดูเหมือนเราจะใช้เวลาได้ดีกว่าการอ่านหรือศึกษาปรัชญา. ความรู้ - โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับตัวเอง - นั่นคืออิสรภาพ.


 
  วันที่ 3 มกราคม
 จงอย่าปรานีกับสิ่งที่ไม่สำคัญ
 (BE RUTHLESS TO THE THINGS THAT DON'T MATTER)

“จะมีสักกี่คนที่ทำให้ชีวิตคุณสูญเปล่าโดยที่คุณไม่รู้ตัวว่าคุณกำลังสูญเสียอะไรไป เสียไปเท่าไหร่กับความโศกเศร้าอย่างไม่มีจุดหมาย ความสุขอันโง่เขลา ความโลภ ความปรารถนา ความเพลิดเพลินหลงระเริงในสังคม  (เวลา) เหลือคุณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น. คุณจะได้รู้ว่าคุณกำลังจะตายก่อนเวลาอันควร!”
-- ซเนก้า, นเรื่องสั้นแห่งชีวิต, 3.3b

สิ่งที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตคือการพูดว่า "ไม่" เพื่อการเชิญชวน คำขอ ภาระผูกพัน ไปทำในสิ่งที่คนอื่นเขาทำกัน. ที่ยากกว่านั้นคือการปฏิเสธอารมณ์บางอย่างที่ใช้เวลานาน เช่น ความโกรธ ความตื่นเต้น ความฟุ้งซ่าน ความหลงใหล ความใคร่. แรงกระตุ้นเหล่านี้ไม่รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ด้วยตัวมันเอง แต่เมื่อเกิดการอาละวาดกระเจิดกระเจิงขึ้น พวกมันก็กลายเป็นความมุ่งมั่นเหมือนสิ่งอื่นใด.

       มันจะกลับมาได้อย่างไร และเราจะรู้สึกยุ่งน้อยลงได้อย่างไร? เริ่มต้นด้วยการเรียนรู้พลังของคำว่า "ไม่!" - เช่นเดียวกับคำว่า "ไม่ ขอบคุณ" และ "ไม่ ฉันจะไม่จมอยู่กับเรื่องนั้น" และ "ไม่ ฉันทำไม่ได้ในตอนนี้" มันอาจจะทำร้ายความรู้สึกบางประการ. มันอาจทำให้คนเลิกคบไปมาหาสู่กัน. อาจต้องทำงานหนักบ้าง. แต่ยิ่งเราปฏิเสธสิ่งที่ไม่สำคัญมากเท่าไร เราก็จะยิ่งตอบตกลงกับสิ่งที่ (เราต้อง) ทำมากขึ้นเท่านั้น สิ่งนี้จะช่วยให้เราใช้ชีวิตและมีความสุขกับชีวิต - ชีวิตที่เราต้องการ.

 

มาร์คัส ออริเลียส พัฒนาขึ้นเมื่อ 18 กันยายน 2567.
 
  วันที่ 4 มกราคม
 สามส่วนที่ยิ่งใหญ่ (THE BIG THREE)

"สิ่งที่เราต้องการคือ: ความแน่นอนของการตัดสินในปัจจุบันขณะ; การกระทำเพื่อส่วนรวมในช่วงเวลาปัจจุบัน; และเจตคติของความรู้คุณในปัจจุบันขณะสำหรับทุกสิ่งที่เข้ามาหาเรา."
-- าร์คัส อรีเลียส, ารทำสมาธิ, 9.6

ารรับรู้ การกระทำ ความตั้งใจ สิ่งเหล่านี้คือสามส่วนที่ทับซ้อนกันแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งของลัทธิสโตอิกนิยม (เช่นเดียวกับการจัดระเบียบหนังสือเล่มนี้และการเดินทางประจำปีที่เราเพิ่งเริ่มต้น). ปรัชญายังมีอะไรมากกว่านั้นอย่างแน่นอน - และเราสามารถใช้เวลาทั้งวันพูดคุยเกี่ยวกับความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ของสโตอิกต่าง ๆ: "นี่คือสิ่งที่เฮราคลิตัส (Heraclitus) คิด..." "เซโนมาจากซิเตียม (Citium) เมืองในไซปรัส และเขาเชื่อว่า... “ แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวจะช่วยเราในแต่ละวันได้จริงหรือ? เรื่องที่ไม่สลักสำคัญจะให้ความชัดเจนอะไรได้?

       คำเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อไปนี้จะสรุปสามส่วนที่สำคัญที่สุดของปรัชญาสโตอิก ที่ควรค่าแก่การพกติดตัวเราทุกวันในทุกการตัดสินใจ:

       ควบคุมการรับรู้ของเรา.
       กำกับการกระทำของเราอย่างถูกต้อง.
       ยินดียอมรับกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา.

       นี่คือทั้งหมดที่เราต้องทำ.


 
  วันที่ 5 มกราคม
  อธิบายถึงความตั้งใจของเรา
 (CLARIFY YOUR INTENTIONS)

"ปล่อยให้ความพยายามทั้งหมดของเรามุ่งไปที่บางสิ่งบางอย่าง ปล่อยให้มันเก็บปลายทางนั้นไว้. มันไม่ใช่กิจกรรมที่รบกวนผู้คน แต่เป็นความคิดผิด ๆ เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ต่างหาก ที่ทำให้พวกเขาบ้าคลั่ง"
-- ซเนก้า, ด้วยจิตใจอันเงียบสงบ 12.5

ฎข้อที่ 29 ของ (หนังสือ) กฎแห่งอำนาจ 48 ประการ คือ การวางแผนตั้งแต่ต้นจนจบ. ซึ่งโรเบิร์ต กรีน ได้เขียนไว้ว่า "ด้วยการวางแผนจนถึงที่สุด เราก็จะไม่จมอยู่กับสถานการณ์ต่าง ๆ และเราจะรู้ว่าเมื่อไรควรหยุด. ค่อย ๆ เป็นการนำทางให้โชคลาภ และช่วยกำหนดอนาคตด้วยการคิดไกลไปข้างหน้า." นี่เป็นอุปนิสัยที่สองใน "The 7 Habits of Highly Effective People" ซึ่งเริ่มต้นจากก้นบึ้งของจิตใจ.

       การมีจุดหมายในใจไม่ได้รับประกันว่าเราจะไปถึงจุดนั้น ไม่มีสโตอิกคนใดที่จะยอมรับสมมติฐานเช่นนั้น - แต่การที่ไม่มีจุดหมายในใจคือการรับประกันว่าเราจะไม่ทำ. สำหรับสโตอิกนั้น oiêsis (ความคิดที่ผิด) ที่มีความรับผิดชอบไม่เพียงแต่ต่อความปั่นป่วนในจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตและการปฏิบัติการที่วุ่นวายและผิดปกติอีกด้วย. เมื่อความพยายามของเราไม่ได้มุ่งไปที่สาเหตุหรือจุดประสงค์ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องทำอะไรในแต่ละวัน? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรควรปฏิเสธ และอะไรควรตอบตกลง? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรที่เราออกนอกเส้นทาง หากเราไม่เคยนิยามว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร?

       คำตอบคือเราไม่สามารถ. ดังนั้นเราจึงถูกผลักดันให้ล้มเหลว - หรือแย่กว่านั้นคือไปสู่ความบ้าคลั่งเนื่องจากการลืมเลือนความไร้ทิศทาง.
 
  วันที่ 6 มกราคม
  ที่ไหน ใคร อะไร และทำไม
  (WHERE, WHO, WHAT, AND WHY)
"ผู้ที่ไม่รู้ว่าจักรวาลคืออะไร ไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ไหน. ผู้ที่ไม่รู้ถึงเป้าหมายในชีวิตของตน ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร หรือจักรวาลคืออะไร. ผู้ที่ไม่รู้อะไรบ้างเลยในสิ่งเหล่านี้ ย่อมจะไม่รู้ว่าตนมาที่นี่ทำไม. แล้วจะให้ผู้ที่เสาะแสวงหรือหลีกเลี่ยงคำสรรเสริญเยินยอจากคนที่ไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหนและตัวเขาเป็นใครได้อย่างไรเล่า?"
-- าร์คัส ออเรเลียส, ารทำสมาธิ, 8.52

มิทช์ เฮดเบิร์ก นักแสดงตลกผู้ล่วงลับไปแล้ว มีเรื่องราวตลก ๆ ที่เขาเล่าให้ฟังในการแสดงของเขา. ระหว่างนั่งให้สัมภาษณ์ออกอากาศอยู่นั้น จู่ ๆ ดีเจรายการวิทยุถามเขาว่า "แล้วคุณเป็นใคร" วินาทีนั้นเขาต้องคิดว่า คนนี้ลึกจริง ๆ หรือผมขับไปผิดสถานี?

       บ่อยแค่ไหนที่เราถามคำถามง่าย ๆ เช่น "คุณเป็นใคร?" หรือ "คุณทำอะไร?" หรือ "คุณมาจากไหน?" เมื่อดูแล้วว่ามันเป็นเพียงคำถามผิวเผิน - ถ้าเราพิจารณาด้วยซ้ำ - เราจะไม่กังวลกับคำตอบผิวเผินนี้.

       แต่หากมีปืนจ่อหัว คนส่วนใหญ่ไม่สามารถให้คำตอบที่สำคัญได้มากนัก. หรือเราสามารถ? เราได้ใช้เวลาทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าเราเป็นใครและยืนหยัดเพื่ออะไร? หรือเรายุ่งเกินไปกับการไล่ตามสิ่งที่ไม่สำคัญ เลียนแบบอิทธิพลที่ผิด และเดินตามเส้นทางที่น่าผิดหวัง หรือไม่สมหวัง หรือไม่มีอยู่จริงหรือเปล่า?


 
  วันที่ 7 มกราคม
  หน้าที่อันชัดเจนของจิตใจเจ็ดประการ
  (SEVEN CLEAR FUNCTIONS OF THE MIND)

“การทำงานของจิตใจที่ถูกต้องคือ การเลือก การปฏิเสธ การโหยหา การผลักไส การเตรียมการ จุดมุ่งหมาย และการยอมรับ. อะไรเล่า? จะก่อให้เกิดมลพิษและขัดขวางการทำงานของจิตใจได้ ไม่มีอะไรนอกจากการตัดสินใจที่เสียหายของมันเอง"
-- อีพิกตีตัส, าทกรรม, 4.11.6-7

เรามาแจกแจงงานแต่ละอย่าง:
       ทางเลือก - ที่จะทำและคิดให้ถูกต้อง
       การปฏิเสธ - ของการล่อลวง
       ความปรารถนาโหยหา - ให้ดีขึ้น
       การขับไล่ผลักไส - การปฏิเสธ, อิทธิพลที่ไม่ดี, สิ่งที่ไม่เป็นความจริง
       การเตรียมการ - สำหรับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าหรืออะไรก็ตามที่อาจเกิดขึ้น
       วัตถุประสงค์ - หลักการชี้นำของเราและมีความสำคัญสูงสุด
       ยินยอมหรือยอมรับ - ปราศจากการหลอกลวงเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ภายในและภายนอกการควบคุมของเรา (และพร้อมที่จะยอมรับอย่างหลัง)

       นี่คือสิ่งที่จิตใจได้ดำเนินอยู่. เราต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นเช่นนั้น และมองว่าสิ่งใดบ้างเป็นมลภาวะหรือการทำให้เลวร้ายลง.


 
   วันที่ 8 มกราคม
  พึงเห็นการเสพติดของเรา
  (SEEING OUR ADDICTIONS)

"เราต้องละทิ้งสิ่งเสพติด (หรือสิ่งติดยึด) หลายอย่าง โดยมองว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้ว, มิฉะนั้น ความกล้าก็จะหมดไป ซึ่ง (ความอยากในสิ่งเสพติด) จะทดสอบตัวเราเองอยู่เรื่อย ๆ . ความยิ่งใหญ่ในจิตวิญญาณของเราก็จะสูญหายไป ซึ่งไม่อาจยืนหยัดอย่างโดดเด่นได้ เว้นแต่จะไปดูหมิ่นดูแคลนสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ฝูงชนถือเป็นที่พึงที่ยึดเหนี่ยวอยู่."
-- ซเนก้า, ดหมายด้านศีลธรรม, 74.12b-13,

สิ่งที่เราถือว่าเป็นการปล่อยตัวไปกับสิ่งที่ไม่เป็นอันตราย ซึ่งสามารถกลายเป็นสิ่งเสพติดที่เต็มเปี่ยมได้อย่างง่ายดาย. ดังเช่น เราเริ่มต้นด้วยกาแฟในตอนเช้า และในไม่ช้า เราก็ไม่สามารถเริ่มต้นวันใหม่ได้หากไม่มีกาแฟ. เราตรวจสอบอีเมลของเราเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของงานของเรา และในไม่ช้าเราก็รู้สึกถึงเสียงหึ่ง ๆ ของโทรศัพท์ในกระเป๋าของเราทุก ๆ สองสามวินาที. และในไม่ช้า นิสัยที่ดูไร้พิษภัยเหล่านี้ก็จะเข้ามาครอบงำชีวิตของเรา.

       การบังคับและแรงผลักดันเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เพียงแต่ทำลายเสรีภาพและความมีอำนาจอย่างอิสระของเราเท่านั้น. ยังบดบังความชัดเจนของเราอีกด้วย. เราคิดว่าเราควบคุมได้ แต่เราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรือ? ดังที่ผู้ติดยารายหนึ่งกล่าวไว้ การเสพติดคือการที่เรา "สูญเสียอิสรภาพในการละเว้น". ให้เราทวงอิสรภาพนั้นกลับคืนมา.


       การเสพติดอะไรบ้างนั้น สำหรับเราแล้ว อาจแตกต่างกันไป: โซดา? ยาเสพติด? บ่น? ซุบซิบ? อินเทอร์เนต? การกัดเล็บ? แต่เราต้องเรียกความสามารถในการงดเว้นหรือการละทิ้งเสียกลับคืนมา เพราะนั่นคือความชัดเจนและการควบคุมตนเอง.

 
   วันที่ 9 มกราคม
   อะไรที่เราควบคุมได้และควบคุมไม่ได้
   (WHAT WE CONTROL AND WHAT WE DON'T)

“บางสิ่งอยู่ในการควบคุมของเรา ในขณะที่บางอย่างเราควบคุมไม่ได้. เราควบคุมความคิดเห็น การเลือก ความปรารถนา ความเกลียดชัง และกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือทุกอย่างที่เรากระทำ. เราไม่สามารถควบคุมร่างกาย ทรัพย์สิน ชื่อเสียง ตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ และ กล่าวง่าย ๆ ก็คือ ทุกสิ่งที่ไม่ใช่ของของเราเอง. ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่อยู่ในการควบคุมของเรานั้นก็อิสระเป็นไปตามธรรมชาติ ปราศจากสิ่งกีดขวาง ไม่ถูกขัดขวาง ในขณะที่สิ่งที่ควบคุมไม่ได้นั้นก็อ่อนแอ เป็นข้าทาส สามารถขัดขวางได้ และไม่ใช่ของเราเอง”
-- อีพิกตีตัส, อนชิริเดียน, 1.1-2

วันนี้เราจะไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ภายนอกที่เกิดขึ้นได้. มันดูน่ากลัวเหรอ? ขี้ปะติ๋ว แต่ก็สมดุลเมื่อเราเห็นว่าเราสามารถควบคุมความคิดเห็นของเราเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านั้นได้. เราก็ตัดสินใจว่าสิ่งเหล่านั้นดีหรือไม่ดี ยุติธรรมหรืออยุติธรรม. เราไม่ได้ควบคุมสถานการณ์ แต่เราควบคุมสิ่งที่เราคิดเกี่ยวกับมัน.

       เราเฝ้าดูว่ามันทำงานกันอย่างไร? ทุกสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา (
มันเป็นเช่นนั้นเอง --- วลีที่ท่านพุทธทาสภิกขุ มักจะกล่าวบ่อย ๆ ) - มันเป็นเรื่องของโลกภายนอก ผู้อื่น โชคชะตา เวรกรรม หรือไม่ - เปล่าเลย...!!! มันยังคงนำแสดงเวียนวนอยู่ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องซึ่งอยู่ในการควบคุมของเรา. ด้วยความโดดเดี่ยวนี้ทำให้เรามีวิธีการจัดการและมีพลังที่มากมาย.

       สิ่งที่ดีที่สุดคือความเข้าใจอย่างจริงใจต่อสิ่งที่อยู่ในการควบคุมของเราจะทำให้โลกมีความชัดเจนอย่างแท้จริง. ทั้งหมดที่เรามีคือจิตใจของเราเอง. โปรดจำไว้ว่า หากวันนี้เมื่อเราพยายามขยายขอบเขตออกไปภายนอก - นั่นจะดีกว่าไหมเมื่อเรามุ่งเป้าไปยัง
ภายในด้วยความเหมาะสมมากขึ้น.

 
   วันที่ 10 มกราคม
  หากเราต้องการที่จะมั่นคง
  (IF YOU WANT TO BE STEADY)

“แก่นแท้ของความดีคือการเลือกอย่างมีเหตุผล เช่นเดียวกับแก่นแท้ของความชั่วก็เป็นอีกประเภทหนึ่ง. แล้วสิ่งภายนอกเล่า? สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงวัตถุดิบสำหรับการเลือกอย่างมีเหตุผลของเราเท่านั้น ซึ่งเราจะพบความดีหรือความชั่ว (การวนเวียนในสังสารวัฏ) ในตัวของมันเอง. เราจะพบสิ่งดี ๆ ได้อย่างไร ไม่ใช่โดยการตะลึงงันหลงใหลไปกับวัตถุ หากเราตัดสินเกี่ยวกับวัตถุนั้นตรงและถูกต้อง การเลือกของเรานั้นก่อผลดี แต่ถ้าการตัดสินเลือกบิดเบี้ยวผิดพลาดไป ก็จะทำให้เราแย่ลง”.
-- อีพิกตีตัส, าทกรรม, 1.29.1-3
 
วกสโตอิกแสวงหาความแน่วแน่ ความมั่นคง และความเงียบสงบ - อันสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่ปรารถนา แต่ดูเหมือนจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ช่วงขณะเท่านั้น. แล้วพวกสโตอิกจะบรรลุเป้าหมายอันเข้าใจยากนี้ได้อย่างไรเล่า? เราจะรวมการการุณฆาตได้ด้วยหรือไม่? (เป็นคำที่อาร์เรียน ใช้อธิบายคำสอนของอีพิกตีตัส).

       มันไม่ใช่ว่าจะโชคช่วย. ไม่ใช่ว่าเป็นการขจัดอิทธิพลภายนอกหรือวิ่งหนีไปสู่ความเงียบสงบและสันโดษ. แต่มันเกี่ยวกับการกรองโลกภายนอกโดยผ่านการตัดสินของเรา. นั่นคือสิ่งที่เหตุผลของเราสามารถทำได้ - มันสามารถดึงธรรมชาติของเหตุการณ์ภายนอกที่คดเคี้ยว สับสน และท่วมท้น มาจัดให้เป็นระเบียบได้.

       อย่างไรก็ตาม หากการตัดสินของเราลดเลี้ยวคิดคดเพราะเราไม่ใช้เหตุผล ทุกอย่างที่ตามมาก็จะคดตามไปด้วย และเราจะสูญเสียความสามารถของเราในการรักษาความแน่วแน่ในความสับสนวุ่นวาย และความเร่งรีบของชีวิต หากคุณต้องการที่จะกระจ่างแจ้งชัดเจน การใช้วิจารณญาณที่เหมาะสมเป็นวิธีที่ดีที่สุด.

จาก. Facebook, เพจ "Stoicism Daily", วันที่เข้าถึง: 9 กุมภาพันธ์ 2567.
 
  วันที่ 11 มกราคม
  หากเราต้องการที่จะไม่มั่นคง
  (IF YOU WANT TO BE UNSTEADY)

“เพราะหากบุคคลเปลี่ยนจากความระมัดระวังไปสู่การเลือกที่มีเหตุผลของตนเองและการกระทำของทางเลือกเหล่านั้น ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็จะตระหนัก แต่หากพวกเขาเปลี่ยนความระมัดระวังจากการเลือกที่มีเหตุผลของตนเองไปสู่สิ่งที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาแล้วไซร้ ในที่สุดความพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่ถูกผู้อื่นควบคุม ย่อมก่อให้เกิดความปั่นป่วน หวาดกลัว และไม่มั่นคง”.
-- อีพิกตีตัส, าทกรรม, 2.1.12

าพลักษณ์ของปราชญ์เซนคือพระภิกษุบนเนินเขาสีเขียวอันเงียบสงบ หรือวัดที่สวยงามบนหน้าผาหิน. พวกสโตอิกเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับแนวคิดนี้ แต่พวกเขากลับเป็นผู้คนในตลาด เป็นวุฒิสมาชิกในสภา เป็นภรรยาผู้กล้าหาญที่รอคอยประติมากรที่ปั้นหรือแกะสลักรูปที่ยุ่งอยู่ในสตูดิโอของเธอ ถึงกระนั้น สโตอิกก็ยังสงบสุขไม่แพ้กัน.

       อีพิกตีตัสเตือนเราว่าความสงบและความมั่นคงเป็นผลมาจากการตัดสินใจของเรา ไม่ใช่สภาพแวดล้อมของเรา หากเราต้องการหลีกเลี่ยงการรบกวนความสงบสุข - ผู้อื่น กิจกรรมภายนอก ความเครียด - เราจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ ปัญหาของเราจะติดตามคุณไปทุกที่ที่คุณวิ่งหนีและซ่อนตัว. แต่ถ้าเรายืนหยัดเผชิญ และเข้าใช้ความพยายามหลีกเลี่ยงการตัดสินที่เป็นอันตรายและก่อกวนซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาเหล่านั้น เราจะมั่นคงและแน่วแน่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่ไหนก็ตาม.



 
  วันที่ 12 มกราคม
  เส้นทางเดียวสู่ความสงบ
  (THE ONE PATH TO SERENITY)

“จงเตรียมความคิดนี้ให้พร้อมในยามรุ่งสาง, ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน หนทางสู่ความสุขมีทางเดียวเท่านั้น นั่นคือการละทิ้งทุกสิ่งที่อยู่นอกขอบเขตจากทางเลือกของเรา, โดยไม่แยแสถึงสิ่งอื่นใดว่าเราเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ศิโรราบกับทุกสิ่งที่นำไปสู่พระผู้เป็นเจ้าและโชคลาภ.”
-- อีพิกตีตัส, าทกรรม, 4.4.39

ช้านี้ เตือนตัวเองถึงสิ่งที่อยู่ในการควบคุมและนอกเหนือการควบคุมของเรา เตือนตัวเองให้มุ่งความสนใจไปที่สิ่งแรกไม่ใช่สิ่งหลัง.

       ก่อนทานมื้อเที่ยง เตือนตัวเองว่าสิ่งที่เรามีอย่างแท้จริงก็คือการตัดสินใจของเรา (พร้อมใช้เหตุผลและวิจารณญาณ). นี่เป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุดที่ไม่มีใครพรากไปจากเราได้.

       ตอนบ่าย เตือนตัวเราเองว่านอกเหนือจากสิ่งที่เราเลือกแล้ว โชคชะตาไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราเลย. โลกหมุนไปและเราก้หมุนไปพร้อมกับมัน ไม่ว่าจะไปในทางที่ดีหรือไม่ดี.

       ยามเย็น เตือนตัวเราเองว่ามีสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรามากแค่ไหน และตัวเลือกของเราเริ่มต้นและสิ้นสุด ณ จุดใด.

       ขณะที่เรานอนบนเตียง จงจำไว้ว่าการนอนหลับเป็นรูปแบบหนึ่งของการยอมแพ้และการวางใจ และมันเกิดขึ้นได้ง่ายมาก. จงเตรียมพร้อมรับวัฏจักรใหม่ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งในวันพรุ่งนี้.


 
  วันที่ 13 มกราคม
  วงกลมแห่งการควบคุม
  (CIRCLE OF CONTROL)

“เราควบคุมทางเลือกที่มีเหตุผลของเราไว้ และการกระทำทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับเจตจำนงทางศีลธรรมเท่านั้น. สิ่งใดที่ไม่อยู่ในการควบคุมของเรา คือ ร่างกายและอวัยวะ ทรัพย์สินของเรา พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ลูก ๆ หรือประเทศชาติ - หรืออะไรก็ตามที่เราอาจเชื่อมโยงด้วย.”
-- อีพิกตีตัส, าทกรรม, 1.22.10

สิ่งนี้สำคัญพอที่จะต้องทำซ้ำ ๆ คนฉลาดจะรู้ว่าอะไรอยู่ในขอบเขตการควบคุมของตนและนอกขอบเขตการควบคุม.

       ข่าวดีก็คือมันค่อนข้างง่ายที่จะจดจำสิ่งที่อยู่ในการควบคุมของเรา. ตามแนวคิดของสโตอิก วงกลมแห่งการควบคุมมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น: จิตใจของเรา. ใช่แล้ว แม้แต่ร่างกายของเราจะไม่ได้อยู่ในวงกลมนี้ทั้งหมดก็ตาม. ท้ายที่สุดเราอาจประสบกับความเจ็บป่วยทางกายหรือความบกพร่องเมื่อใดก็ได้. เราอาจเดินทางไปต่างประเทศและติดคุก.

       แต่ทั้งหมดนี้ถือเป็นข่าวดี เนื่องจากมันจะช่วยลดจำนวนสิ่งที่คุณต้องพิจารณาได้อย่างมาก. มีความชัดเจนในความเรียบง่าย. ในขณะที่คนอื่น ๆ วิ่งวุ่นอยู่กับรายการรายละเอียดความรับผิดชอบยาวหนึ่งไมล์ (ซึ่งจริง ๆ แล้ว เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ควรรับผิดชอบ) เรามีเพียงสิ่งเดียวที่ต้องจัดการ: ทางเลือกของเรา ความตั้งใจของเรา จิตใจของเรา.


 
  วันที่ 14 มกราคม
  จงตัดเชือกที่เหนี่ยวรั้งจิตใจของท่านออกเสีย
  (CUT THE STRINGS THAT PULL YOUR MIND)

“ในที่สุด จงเข้าใจว่าท่านมีบางอย่างในตัวที่ทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์มากกว่าสิ่งที่ทำให้เกิดกิเลสตัณหาทางร่างกาย และดึงรั้งท่านไว้เหมือนหุ่นเชิด ตอนนี้ความคิดอะไรครอบงำจิตใจของฉันเล่า? ไม่ใช่ความกลัว ความสงสัย ความปรารถนา หรืออะไรทำนองนั้นหรอกหรือ?.”
-- าร์คัส ออรีเลียส, ารทำสมาธิ, 12.19

ลองนึกถึงการได้เสียทั้งหมดที่จะมายื้อขอแบ่งเงินในกระเป๋าสตางค์ของเรา หรือเพื่อความสนใจจากเราสักเสี้ยววินาที นักวิทยาศาสตร์ด้านโภชนาการ จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสนองต่อมรับรสของเรา. บรรดาวิศวกรที่ซิลิคอน วัลเล่ย์กำลังออกแบบชุดคำสั่งประยุกต์ที่น่าดึงดูดพอ ๆ กับการเล่นพนัน. สื่อกำลังผลิตเรื่องราวเพื่อปลุกเร้ากิเลส และความชิงชัง.

       สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของสิ่งยั่วยุและแรงผลักดันที่เข้ามาหาเรา ซึ่งคอยกวนใจเราและดึงเราให้ห่างจากสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริง. โชคดีที่มาร์คัสไม่ได้เผชิญกับวัฒนธรรมปัจจุบันสุดโต่งเหล่านี้. แต่เขาก็รู้จักกับสิ่งเร้าที่กวนใจมากมายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการนินทา การเรียกร้องที่ไม่สิ้นสุดจากงาน (นายจ้าง) ตลอดจนความกลัว ความสงสัย ความใคร่. มนุษย์ทุกคนล้วนถูกดึงดูดด้วยแรงผลักดันจากภายในและภายนอก ซึ่งมีพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ และยากต่อการต้านทาน.

       ตัวปรัชญานั้น เพียงแค่ขอให้เราใส่ใจและพยายามทำตัวให้มากกว่าเบี้ย ดังเช่นที่วิกเตอร์ แฟรงเคิลกล่าวไว้ในหนังสือ The Will to Meaning ว่า "มนุษย์ถูกผลักดันโดยแรงขับ แต่ถูกดึงกลับโดยค่านิยม - Man is pused by drives but pulled by values." ค่านิยมและความตระหนักรู้ภายในเหล่านี้ป้องกันไม่ให้เราเป็นหุ่นเชิด. แน่นอนว่าการใส่ใจต้องอาศัยการทำงานและความตระหนักรู้ แต่จะดีกว่าไหมถ้าถูกหลอกล่อด้วยเชือก?



 
  วันที่ 15 มกราคม
  ความสงบสุขอยู่ที่การเดินหน้าต่อไป
  (PEACE IS IN STAYING THE COURSE)

“ความสงบสุขนั้น ไม่สามารถเข้าถึงได้ ยกเว้นโดยผู้ที่บรรลุถึงพลังแห่งการตัดสินใจที่มั่นคงและแน่วแน่ - ส่วนที่เหลือจะล้มและลุกขึ้นในการตัดสินใจของตนอย่างต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า ลังเลใจในสภาวะที่ปฏิเสธและยอมรับสิ่งต่าง ๆ สลับกันไปมา. สาเหตุของการสลับไปมานี้คืออะไร? เป็นเพราะไม่มีอะไรชัดเจน และพวกเขาพึ่งพาแนวทางที่ไม่แน่นอนอย่างยิ่ง นั่นคือความเห็นร่วมกัน”.
-- ซเนก้า, ดหมายด้านศีลธรรม, 95.57B-58a

นบทความของเซเนก้าเกี่ยวกับความสงบสุข เขาใช้คำภาษากรีก euthymia ซึ่งเขาให้คำจำกัดความว่า "การเชื่อมั่นในตนเองและเชื่อมั่นว่าเราอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง และไม่มีข้อสงสัยใด ๆ โดยเดินตามทางเดินเท้านับไม่ถ้วนของผู้ที่หลงทางไปทุกทิศทุกทาง" เขากล่าวว่าสภาวะจิตแบบนี้เองที่สร้างความสงบสุข.

       การมองเห็นที่ชัดเจนจะช่วยให้เรามีความเชื่อได้นี้ นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นเช่นนั้นทุกอย่าง 100 เปอร์เซ็นต์เสมอไป หรือเราควรจะเป็นแบบนั้นด้วยซ้ำ. แต่เราสามารถมั่นใจได้ว่า โดยทั่วไปแล้วเรากำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง - นั่นคือเราไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือเปลี่ยนใจทุก ๆ สามวินาทีตามข้อมูลใหม่ ๆ ที่ประดังเข้ามา.

       ในทางกลับกัน ความสงบและสันติจะบังเกิดขึ้นเมื่อได้กำหนดเส้นทางของเราเองและยึดมั่นกับมันนี้ไว้. โดยยึดมั่นตามเส้นทาง ปรับเปลี่ยนเล็กน้อยที่นี่ที่นั่นตามธรรมชาติ - ทว่าจะเพิกเฉยต่อเสียงไซเรนที่คอยกวนใจซึ่งโบกมือเรียกให้เราหันไปทางกองหินที่ไม่มีประโยชน์ใด ๆ .


 
  วันที่ 16 มกราคม
  อย่าทำอะไรตามนิสัย
  (NEVER DO ANYTHING OUT OF HABIT)

“ดังนั้น ในเรื่องอื่น ๆ ส่วนใหญ่ เราจะจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะทำโดยทำตามนิสัยที่ไม่ดี. เนื่องจากสิ่งที่ฉันพูดไปทั้งหมดเป็นเรื่องจริง บุคคลที่กำลังฝึกฝนต้องพยายามที่จะก้าวข้าม เพื่อหยุดการแสวงหาความสุขและหลีกหนีจากความเจ็บปวด หยุดการยึดติดกับชีวิตและเกลียดชังความตาย และในกรณีของทรัพย์สินและเงินทอง หยุดการให้คุณค่ากับการได้รับมากกว่าการให้”.
-- มูโซเนียส, คำบรรยายของรูฟัส, 6.25.5-11

นงานถูกถามว่า “ทำไมคุณถึงทำแบบนี้” คำตอบคือ “เพราะเราทำแบบนี้มาตลอด” คำตอบนี้ทำให้เจ้านายที่ดีทุกคนหงุดหงิดและทำให้ผู้ประกอบการทุกคนน้ำตาร่วง. คนงานจะหยุดคิดและทำงานโดยขาดสติสัมปชัญญะ. ซึ่งธุรกิจพร้อมที่จะถูกคู่แข่งเข้ามาแย่งชิง และคนงานคนนี้ก็อาจจะถูกเจ้านายที่คิดมากไล่ออกเอาได้.

       เราควรใช้ความโหด ๆ แบบเดียวกันกับนิสัยของเราเอง. ในความเป็นจริง เราศึกษาปรัชญาเพื่อเลิกพฤติกรรมซ้ำซากจำเจ. ค้นหาสิ่งที่เราทำโดยอาศัยความจำหรือกิจวัตรประจำวัน. เราต้องพูดกับตัวเองว่า: นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดจริง ๆ หรือไม่? เรารู้ว่าทำไมเราถึงทำสิ่งที่เราทำอยู่อย่างนี้ - จงทำด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง.


 
แหล่งอ้างอิง:
01. THE DAILY STOIC, 366 วิธีแห่งการมีสมาธิพร้อมด้วยปัญญา ความเพียร และศิลปะแห่งการดำรงชีวิต, ไรอัน ฮอลิเดย์ และสตีเฟน แฮนเซลแมน, พ.ศ.2559, สำนักพิมพ์ Penguin Random House, ตีพิมพ์ครั้งที่ 25, ISBN 9780735211735 (ปกแข็ง), นิวยอร์ค, สหรัฐอเมริกา.
02. The Beginner's Guide to STOICISM, เครื่องมือสำหรับความยืดหยุ่นทางอารมณ์และความคิดเชิงบวก, แม็ทธิว เจ. ฟาน นัทตา, ALTHEA PRESS, พ.ศ.2562, ISBN: อีบุ๊ก 978-1-64152-722-4.
03. THE PRACTING STOIC: คู่มือผู้ใช้ด้านปรัชญา, เขียนโดย วาร์ด ฟานสเวิร์ธ, สำนักพิมพ์ Godine, ตีพิมพ์ครั้งที่ 8 พ.ศ.2566, ISBN 9781567926118, บอสตัน, แมสสาชูเซ็ตส์, สหรัฐอเมริกา





 
info@huexonline.com