MENU
TH EN

คู่มือผู้รับผิดชอบสูงสุดในสายงานบัญชีและการเงิน: บทที่ 4 การระดมทุน

Title Thumbnail & Hero Image: ภาพการระดมทุน พัฒนาเมื่อ 2 มีนาคม 2568.
คู่มือผู้รับผิดชอบสูงสุดในสายงานบัญชีและการเงิน: บทที่ 4 การระดมทุน
First revision: Mar.2, 2025
Last change: Jul.14, 2025
สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง แปล และปริวรรตโดย อภิรักษ์ กาญจนคงคา.
1.
หน้าที่ 1
       ในส่วนของทุน (Equity) แล้วนั้นจะแบ่งหุ้นออกเป็นสองประเภท คือ 1) หุ้นบุริมสิทธิ์ (Preferred stock) และ 2) หุ้นสามัญ (Common stock) ทั้งสองประเภทสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ของหุ้น และแต่ละกลุ่มย่อย ๆ เหล่านี้จะถูกแบ่งออกเป็นหน่วยย่อย ๆ ที่เรียกว่า หุ้น ผู้ถือหุ้นเหล่านี้เรียกว่า ผู้ถือหุ้น หุ้นบุริมสิทธิและหุ้นสามัญมีสิทธิที่แตกต่างกัน ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสิทธิเหนือผู้ถือหุ้นสามัญ กล่าวคือ มีสิทธิได้รับรายได้ก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ ผู้ถือหุ้นจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนบางส่วนจากเงินปันผล ซึ่งเป็นเงินสดที่จ่ายเป็นงวด ๆ จากบริษัท เงินปันผลที่สัญญาไว้กับผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะต้องจ่ายก่อนที่ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับเงินปันผลใด ๆ.

       หากบริษัทถูกชำระบัญชี สินทรัพย์จะถูกขายออกไป และรายได้จากการขายจะถูกแจกจ่ายให้กับเจ้าหนี้และเจ้าของ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสิทธิเหนือผู้ถือหุ้นสามัญเมื่อมีการแจกจ่ายรายได้จากการชำระบัญชีให้แก่เจ้าของ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับมูลค่าหุ้นที่ชำระบัญชีก่อนที่ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับสิ่งใด หุ้นสามัญคือกรรมสิทธิ์คงเหลือของบริษัท ส่วนที่เหลือหมายความว่าเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมีสิทธิ์ในรายได้และสินทรัพย์ของบริษัทก่อนที่ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับสิ่งใด ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับส่วนที่เหลือ.

       ในบทนี้ เราจะเจาะลึกรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะทั่วไปของหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ์ นอกจากนี้ เรายังกล่าวถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัท (ทั้งในทางทฤษฎีและในทางปฏิบัติ) และการซื้อหุ้นคืน.
1.
2.
หน้าที่ 2
หุ้นสามัญ (Common Stock)
       กรรมสิทธิ์คงเหลือในบริษัทคือการเป็นเจ้าของหุ้นสามัญและแสดงด้วยหุ้น เนื่องจากบริษัทมีสถานะถาวรตามที่กำหนดไว้ในกฎบัตร กรรมสิทธิ์ในหุ้นสามัญ หรือที่เรียกว่า หุ้นสามัญ จึงเป็นกรรมสิทธิ์ถาวรเช่นกัน.

       ส่วนของผู้ถือหุ้นสามัญเกิดขึ้นได้จากการเก็บกำไรไว้และนำกลับมาลงทุนใหม่ในบริษัท หรือจากการขายหุ้นเพิ่ม ส่วนที่เหลือจากกำไรหลังจากชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิแล้ว อาจนำไปลงทุนในบริษัทหรือจ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญ หากเงินคงเหลือเหล่านี้ถูกจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นสามารถนำเงินปันผลที่ได้รับไปลงทุนซ้ำได้ตามความประสงค์.



หุ้นเอกชนเทียบกับหุ้นมหาชน (Privately Held versus Publicly Held Shares)
       เราสามารถจำแนกประเภทบริษัทได้ตามความสามารถในการซื้อขายหุ้นในตลาดการเงิน บริษัทที่มีหุ้นซื้อขายในตลาดการเงินถือเป็นบริษัทมหาชนและต้องปฏิบัติตามกฎหมายหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลางและจดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) บริษัทที่มีหุ้นไม่สามารถซื้อขายในตลาดการเงินถือเป็นบริษัทเอกชน1

       หากบริษัทมีผู้ถือหุ้นน้อยกว่า 500 ราย หรือมีสินทรัพย์น้อยกว่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บริษัทสามารถเลือกที่จะไม่จดทะเบียนและจะเรียกว่าบริษัทเอกชนหรือบริษัทเอกชน หากจดทะเบียนกับ ก.ล.ต. จะถือว่าเป็นบริษัทมหาชน หุ้นของบริษัทมหาชน หรือที่เรียกว่าบริษัทมหาชน สามารถเป็นเจ้าของและซื้อขายในหมู่ประชาชนทั่วไปได้ ทุกคนสามารถซื้อและขายหุ้นของบริษัทมหาชนได้ และหุ้นเหล่านี้สามารถซื้อขายในตลาดการเงินได้ ไม่ว่าจะเป็นในตลาดหลักทรัพย์ระดับประเทศ ระดับภูมิภาค หรือตลาดนอกตลาดหลักทรัพย์.
---------------

1 บริษัทเอกชนที่มีหุ้นของบุคคลเพียงไม่กี่คนถือครอง เรียกว่า บริษัทที่ถือหุ้นอย่างใกล้ชิด หรือ บริษัทปิด ในบริษัทปิด หุ้นจะถูกถือครองโดยผู้ถือหุ้นรายเดียวหรือกลุ่มผู้ถือหุ้นที่ผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น ซึ่งมีบทบาทในการบริหารจัดการบริษัท.
1.
2.
หน้าที่ 3
       มีความแตกต่างหลายประการระหว่างบริษัทที่มีหุ้นซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์และบริษัทที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ประการแรก ความแตกต่างประการหนึ่งคือความสามารถในการซื้อขายของหุ้น หากหุ้นซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ก็สามารถซื้อขายได้ นักลงทุนสามารถซื้อหรือขายหุ้นได้อย่างง่ายดาย แต่หากหุ้นเป็นของเอกชน อาจมีข้อจำกัดว่าเจ้าของหุ้นสามารถขายหุ้นให้กับใครได้บ้าง ซึ่งอาจทำให้การได้รับเงินสดเป็นเรื่องยากเมื่อนักลงทุนต้องการ.

       ความแตกต่างประการที่สองคือการเข้าถึงเงินทุนของบริษัท โดยทั่วไปแล้ว บริษัทมหาชนสามารถระดมทุนใหม่ได้โดยการออกหุ้นเพิ่มให้กับประชาชนทั่วไป แต่บริษัทเอกชนอาจไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เนื่องจากการเป็นเจ้าของอาจถูกจำกัดไว้เฉพาะผู้ถือหุ้นเพียงไม่กี่ราย.

       ความแตกต่างประการที่สามคือการรักษาความลับ บริษัทมหาชนจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลต่อผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทั่วไปผ่านทางงบการเงิน รายงานประจำปี และข่าวประชาสัมพันธ์ กฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้บริษัทมหาชนต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญแก่นักลงทุน เช่น การควบรวมกิจการ ผลิตภัณฑ์หรือการค้นพบใหม่ การขายสินทรัพย์สำคัญ และข้อพิพาทแรงงาน บริษัทเอกชนไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลใด ๆ ต่อสาธารณะ ดังนั้น บริษัทเอกชนจึงมีข้อได้เปรียบ เพราะคู่แข่งที่เป็นบริษัทมหาชนจะเข้าใจได้ยากกว่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ ตัวอย่างเช่น บริษัทขนมหวานสองแห่ง ได้แก่ Hershey Foods Corporation (Hershey Kisses, Reese’s Peanut Butter Cups) และ Mars, Incorporated (M&Ms, Milky Way bars) ถือเป็นคู่แข่งกัน Hershey Foods เป็นบริษัทมหาชน ในขณะที่ Mars เป็นบริษัทเอกชน Mars สามารถเข้าถึงงบการเงินและข้อมูลเปิดเผยอื่น ๆ ทั้งหมดของ Hershey ได้ ในขณะที่ Hershey ไม่มีข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับ Mars.

       ความแตกต่างประการที่สี่คือต้นทุนการสื่อสาร บริษัทมหาชนต้องยื่นงบการเงินประจำปีต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดทำและส่งรายงานประจำปีให้แก่ผู้ถือหุ้น และติดต่อสื่อสารกับผู้ถือหุ้น ต้นทุนของการสื่อสารเหล่านี้อาจเพิ่มขึ้น ทั้งในแง่ของค่าใช้จ่ายโดยตรงสำหรับนักบัญชี ทนายความ และบุคลากรอื่น ๆ และค่าใช้จ่ายทางอ้อมจากการที่ฝ่ายบริหารต้องเสียเวลาไปกับกิจการของผู้ถือหุ้นแทนที่จะต้องบริหารจัดการธุรกิจ นอกจากนี้ ข้อกำหนดของพระราชบัญญัติซาร์เบนส์-อ็อกซ์ลีย์ พ.ศ. 2545 (Sarbanes-Oxley Act of 2002) และกฎระเบียบที่ตามมา ได้เพิ่มต้นทุนการปฏิบัติตามกฎหมายสำหรับบริษัทมหาชน.
       
       ความแตกต่างทั้งหมดนี้ต้องนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจว่าจะเป็นบริษัทเอกชนหรือบริษัทมหาชน ในสหรัฐอเมริกามีบริษัทมากกว่า 4 ล้านแห่ง แต่มีเพียงประมาณ 9,000 แห่งเท่านั้นที่มีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ข้อเท็จจริงที่เราเห็นบริษัทเอกชนและบริษัทมหาชนบางแห่งบ่งชี้ว่าปัจจัยเหล่านี้สามารถถ่วงน้ำหนักได้ทั้งสองทาง.



 
  • บริษัทต้องมีนโยบายการจ่ายเงินปันผล (Corporate Dividend Policy)
  • Common Equity
  • ผู้ถือหุ้นขั้นต่ำของบริษัทมหาชน = 15 คน.
  • บริษัทจำกัด (Private Corporation)
  • บริษัทมหาชน (Public Corporation)
  • เงินปันผล จะเป็นเงินสด (ส่วนใหญ่เป็นเงินสด) หรือหุ้น (Cash or Stock) หรือ ทรัพย์สิน (property) ประเภทต่าง ๆ ที่บริษัทจะจัดสรรให้ผู้ถือหุ้น.
  • เงินปันผลไม่ใช่ข้อบังคับตามกฎหมาย แต่เป็นทางเลือกของคณะกรรมการบริษัท (Dividends are not a legal obligation of the Corporation - It's the Board's choice.)
  • Dividend Payout = Dividends per share / Earnings per share.
  • แผนการนำเงินมาลงทุนยังบริษัทจากการที่ได้รับเงินปันผล (Dividend Reinvestment Plans - DRP) เป็นแผนที่บริษัทอนุญาตให้ผู้ถือหุ้นนำเงินปันผลที่ได้รับนำมาลงทุนยังบริษัท ซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นจากบริษัทแทนที่จะได้รับเงินปันผลที่เป็นเงินสด. (DRP is a program that allows shareholders to reinvest their dividend, buying additional shares of stock of the company instead of receiving the cash dividend.)
  • การกระจายหุ้น (Stock Distributions) ประกอบด้วย:
    • Stock Dividend
      • ลดราคาตลาดที่แพงลง/ราคาต่อหุ้น ลดค่าธรรมเนียม Broker ค่า Commission ของ Broker.
      • เป็นการที่บริษัทต้องการสื่อสารข่าวดียังผู้ถือหุ้นโดยไม่ต้องจ่ายเงินสดออกไป. Company may want to communicate good news to the shareholders without paying cash.
    • Stock split
  • นโยบายการจ่ายเงินปันผล (Dividend Policy)
    • No Dividends
    • Constant growth individuals per share.
    • Constant payout ratio. - pay dividends that are relatively constant percentage of earnings.
    • Low regular dividends with periodic extra dividend.
1.
2.
หน้าที่ 2
  • มีหลายมุมมองเกี่ยวกับ Dividend Policy.
    • The Dividend Irrelevance Theory:
    • The "Bird in the hand Theory":
    • The Tax-Preference Explanation:
    • The Signaling Explanation:
    • The Agency Explanation:
    • Summing Up: To pay Dividends or Not: CFO ต้องตระหนักว่าการจ่ายเงินปันผลตั้งแต่ปีแรก ๆ จะทำให้หุ้นราคาดี. การละเลยที่จะจ่ายเงินปันผลจะทำให้ราคาหุ้นดิ่งลง.

เงินปันผล, พัฒนาเมื่อ 13 มีนาคม 2568.
1.
1. The Dividend Irrelevance Theory: If the company has no profitable investments to undertake the firm can pay out funds that would have give to investments to shareholders, In other words, dividends are irrelevants.
       - หากบริษัทไม่สามารถลงทุนในกิจการที่มีกำไรเหมาะสมได้ กิจการสามารถจ่ายเงินทุน (ในรูปของเงินปันผล) คืนแก่ผู้ถือหุ้นได้.
       - การจ่ายเงินปันไม่กระทบต่อมูลค่าของกิจการ
       - The value of the Corporation is the present value of all future cash flows of the Company.
       - A Corporate raises additional funds either through earnings or by selling securities - sufficent to most its investment decisions and its dividend decision.
       - แต่ทั้งนี้ในโลกแห่งความเป็นจริง ต้องพิจารณาถึงความไม่สมบูรณ์ (Imperfections) ของตลาด ภาษีต่าง ๆ ต้นทุนการทำรายการ (Transaction Costs, etc.).

2. The "Bird in the hand" Theory:
       - หมายถึง Sure thing --> Bird in the hand.
       - The return to shareholders is comprised of two parts: the return from dividends - the dividend yield - and the return from the change in the shared price - the capital yield.
       - กิจการที่มีการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง ราคาหุ้นจะเสถียรกว่า (Less volatile - สารระเหย - แห้งเหือด) น้อยกว่ากิจการที่ไม่จ่ายเงินปันผล (Non-dividend-paying stocks).
       - Companies that have greater risk - business risk, financial risk, or both - tend to pay little or no dividends.

3. The Tax-Preference Explanation:
       - Dividend Tax Rate.
       - Income Tax Rate
       - Interst Rate from Loan for buying stocks.

4. The Signaling Explanation:
       Companies that pay dividends seem to maintain a relatively stable dividend, either in terms of a constant or growing dividend payout or in terms of a constant or growing dividend per share.
       การเพิ่มขึ้นของ Dividend ขึ้นอยู่กับ Future Expectation.        









แหล่งอ้างอิง:
01. จาก. The Complete CFO Handbook, From Accounting to Accountability, Frank J. Fabozzi, Pamela Peterson Drake, Ralph S. Polimeni, ISBN 978-0-470-09926-1, สำนักพิมพ์ John Wiley & Sons, Inc. 2008, ตีพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา.
1.
2.
3.





 
humanexcellence.thailand@gmail.com