Title Thumbnail & Hero Image: แบนเนอร์ OKRs II, ประมวลผลภาพเมื่อ 21 มิถุนายน 2567.
OKRs: เป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ที่สำคัญ ตอนที่ 2
First revision: Jun.21, 2024
Last change: Oct.8, 2024
สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง แปล และปริวรรตโดย อภิรักษ์ กาญจนคงคา.
หน้าที่ 1
- สิ่งที่เราต้องการในอนาคตถึงรูปแบบของวัตถุประสงค์ ก็คือข้อความเชิงสร้างแรงบันดาลใจและเชิงอปริมาณที่ออกแบบมาเพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า ในทิศทางที่ต้องการ จากนั้นแต่ละวัตถุประสงค์จะถูกแปลเป็นชุดผลลัพธ์หลักที่สามารถวัดผลได้.
- ถ้าวัตถุประสงค์เป็นคำถามที่ถามว่า "เราต้องการทำอะไร" ผลลัพธ์หลักก็จะมีคำถามตามมาว่า "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราบรรลุวัตถุประสงค์ของเราแล้ว"
- ธุรกิจมักจะมีการผสมผสานกันอย่างสับสนเกี่ยวกับเสาแกนหลักที่สำคัญ (Key Pillars) (หรือลำดับความสำคัญขององค์กร) ซึ่งมีทั้ง ค่านิยมหลัก และตัวชี้วัดทางธุรกิจ.....ดังนั้น เราต้องแปลความหมายของเสาแกนหลักนี้ให้เป็นวัตถุประสงค์ (Objectives) และส่งมอบผลลัพธ์หลัก (Key Results - KR) ให้กับแต่ละหน่วยงานในองค์กร.
เนื้อหา
- ด้วยภาพรวมของ OKRs ที่แสดงคุณประโยชน์มากมาย ก่อนที่เราจะนำ OKRs ไปใช้ เราต้องแน่ใจว่าองค์กรของเราพร้อมที่จะเริ่มต้นในการเดินทางไปข้างหน้า.
- เราต้องสำรวจ วิธีการเตรียมความพร้อมสำหรับการสร้างและการใช้ OKRs.
- สรุปวิธีการสร้าง OKRs ที่มีประสิทธิภาพ มีการตรวจสอบประเภทของผลลัพธ์ที่สำคัญ ตามด้วยการอภิปรายเกี่ยวกับตัวชี้วัดด้านสุขภาพ (ทางธุรกิจ) และการให้คะแนนของ OKRs ทบทวนกระบวนการ CRAFT ของเรา {(Create) สร้าง, (Refine) ปรับแต่ง, (Align) จัดตำแหน่ง, (Finalize) ทบทวนขั้นสุดท้าย และ (Transmit) ส่งมอบ} สำหรับการสร้าง OKRs.
- การเชื่อมต่อ OKRs = สร้าง OKRs ทั่วทั้งองค์กรเพื่อขับเคลื่อนการมีส่วนร่วม สำนึกในความรับผิดชอบ และการมุ่งเน้น มีการสำรวจการเชื่อมต่อ OKRs ทั้งแนวตั้งและแนวนอนทั่วทั้งองค์กร.
- สำรวจวงจรการทบทวน OKR และวิธีที่ซอฟต์แวร์สามารถช่วยให้ OKRs ประสบความสำเร็จได้ รอบการทบทวน OKRs ประกอบด้วย 3 กลไกหลัก ซึ่งแต่ละกลไกมีจะต้องมีการหารือกัน ได้แก่ การประชุมวันจันทร์ การเช็คอินกลางไตรมาส และการทบทวนรายไตรมาส ครึ่งหลังของบทนี้ จะตรวจสอบการใช้ซอฟต์แวร์ในการนำไปใช้และการจัดการ OKRs เพื่อให้มั่นใจว่า OKRs จะประสบความสำเร็จในระยะยาว จะต้องฝังแน่นอยู่ในวัฒนธรรมขององค์กร.
- ศึกษาวิธีการทำให้ OKRs ยั่งยืน OKRs ไม่ใช่ "โครงการ".
- การแบ่งปันกรณีศึกษา.
ประวัติความเป็นมาของ OKRs
- เรื่องราวการจัดการทางวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่เฟรเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ ...ถึง... Hawthorne Effect ไปจนถึง... ผลงานของปีเตอร์ เอฟ. ดรักเกอร์ (Peter F. Drucker).
- การจัดการตามวัตถุประสงค์ (MBO - Managment by Objective) ราวในปี พ.ศ.2493s.
- Drucker กล่าวต่อไปว่า วัตถุประสงค์นั้นมีความสำคัญต่อการพิจารณาทั้งระยะสั้นและระยะยาว และมีเป้าหมายทางธุรกิจที่จับต้องได้และวัตถุประสงค์ที่จับต้องไม่ได้สำหรับการพัฒนาองค์กร ประสิทธิภาพของพนักงาน ทัศนคติ และความรับผิดชอบต่อสาธารณะ.
- MBO เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ไม่มีตัวตนขององค์กรที่รวมอยู่ในระบบการจัดการผลการดำเนินงานองค์กร (The Balanced Scorecard)...!!!
- เมื่อ MBO เริ่มตั้งเป้าหมาย บริษัทส่วนใหญ่เลือกรูปแบบ "Set it and forget it" ที่เรามักเห็นในองค์กรจนถึงทุกวันนี้.
แอนดี้ โกรฟ, ที่มา: www.13newsnow.com, วันที่เข้าถึง: 5 กรกฎาคม 2567.
- แอนดี้ โกรฟ (Andy Grove - ครั้งหนึ่งเคยเป็น CEO ของ อินเทล) บวกกับระบบ MBO ที่มีคำถามพื้นฐานเพียงสองข้อ: (1) ฉันอยากไปที่ไหน (วัตถุประสงค์) และ (2) ฉันจะก้าวตัวเองอย่างไรเพื่อดูว่าฉันจะไปถึงจุดนั้นหรือไม่? โกรฟปรับเปลี่ยนโมเดลของ Drucker ด้วยวิธีการที่สำคัญหลายประการ.
- โกรฟ แนะนำให้ตั้งวัตถุประสงค์และผลลัพธ์หลักบ่อยขึ้น และเขารับรองว่าการสร้าง OKRs ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการมีส่วนร่วมจากบนลงล่างและจากล่างขึ้นบน ในที่สุด แอนดี้ โกรฟก็ตกผลึกแนวคิด OKRs. "เมื่อความจำเป็นในการขยายเวลานั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเอง ฝ่ายบริหารจำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมให้เกิดความต้องการดังกล่าว ตัวอย่างเช่น ในระบบ MBO ควรตั้งวัตถุประสงค์ให้สูงพอที่แม้ว่าบุคคล (หรือองค์กร) จะกดดันตัวเองอย่างหนัก แต่เขาก็ยังมีโอกาสเพียง 50-50 เท่านั้นที่จะสร้างเป้าหมายเหล่านั้นได้ ผลผลิตจะมีแนวโน้มมากขึ้นเมื่อทุกคนมุ่งมั่นเพื่อความสำเร็จในระดับที่เกินกว่าที่เขาจะสามารถเข้าใจได้ แม้ว่าการพยายามจะหมายถึงความล้มเหลวเพียงครึ่งเดียวก็ตาม การตั้งเป้าหมายดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งหากสิ่งที่คุณต้องการคือประสิทธิภาพสูงสุดจากตัวคุณเองและผู้ใต้บังคับบัญชา".
.
.
หน้าที่ 2
- OKRs เป็นกรอบแนวคิดอย่างมีวิจารณญาณ และดำเนินไปอย่างมีวินัยมีความต่อเนื่อง ที่สร้างความมั่นใจให้แก่พนักงานในการทำงานร่วมกัน, มุ่งเน้นความพยายามที่จะวัดให้ได้กับสิ่งที่เกื้อหนุนผลักดันให้บริษัทรุดไปข้างหน้า
- เราต้องหาเงื่อนไข คำ ประโยคที่มีความสม่ำเสมอ ทั่วทั้งองค์กร เพื่อหาข้อสรุปหรือข้อตกลงที่แท้จริง (True Consensus) และแนวคิดที่จะสื่อสารโดยตรงอย่างแจ่มชัดยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสีน (Stakeholders) (หลักการหกเสื้อยืด...!!! The Six T-shirts).
1. กรอบการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical-Thinking framework): ใต้ก้นบึ้งของแนวคิดด้าน OKRs แล้ว มันคือการเร่งผลการดำเนินงาน ซึ่งเราจะทราบไม่ได้ง่ายนัก โดยการติดตามผลการดำเนินงานแต่ละไตรมาส.
|
Peter Drucker ซึ่งจะมีคำศัพท์ที่เรียกว่า Druckerisms และนี่ก็คือ:
"The most serious mistakes are not being made as a result of wrong answers. The truely dangerous thing is asking the wrong questions"
Quotes in Robert Simons, "Stress Test Your Strategy," Harvard Business Review (November 2010). |
เมื่อเราตรวจสอบผลลัพธ์จาก OKRs ความท้าทายของเราคือ เราต้องไปให้ไกลกว่าตัวเลขที่เราได้รับ เหมือนกับนักมานุษยวิทยาทางธุรกิจ (Business Anthropologist,) ลงไปให้ลึก ซึ่งมันบอกอะไรเรา.
2. การมีระเบียบวินัยอย่างต่อเนื่อง (Ongoing discipline): OKRs จะเสนอคำมั่นหรือความมุ่งมั่น (Commitment) ของเวลาและความพยายาม. เริ่มแรกเลยทีเดียว เราต้องเตือนตนเกี่ยวกับอันตรายที่ว่า "Set it and forget it" เป็นการวางเป้าหมายเพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะได้ประโยชน์จริง ๆ จาก OKRs เราจะต้องมุ่งมั่นและใช้โมเดลนี้อย่างแท้จริง (หากมองในแง่จิตสำนึก - Common Sense มันก็ดูดีแล้ว - Sound) เราต้องมีการ Update สรุป OKRs ให้ได้ทุกไตรมาส.
มีการตรวจสอบผลการดำเนินงานอย่างระมัดระวัง และปรับปรุงกลยุทธ์ให้ดำเนินต่อไป และตัวแบบทางธุรกิจที่มีความจำเป็น อยู่บนฐานของผลการดำเนินงาน.
3. ต้องทำให้แน่ใจว่าพนักงานสามารถทำงานร่วมกันได้ (Ensure employees work together): เราต้องเล็งเห็นถึงความสำคัญของการร่วมมือทำงานข้ามฝ่ายข้ามสายงาน (Cross-functional collaboration) และคุณค่าของทีมงานในการรังสรรค์ความสำเร็จขององค์กร.
- OKRs จะต้องมีการจัดวางโครงสร้างและนำมาใช้ เพื่อให้เกิดความร่วมมือการจัดวางตำแหน่งได้อย่างเหมาะสมอย่างสมบูรณ์ หนทางหนึ่งซึ่งจะช่วยให้เกิดความโปร่งใสที่มาจาก OKRs โดยต้องมีการแบ่งปันออกไปเป็นวงกว้าง ทั้งระดับบนไประดับล่าง สามารถเห็น Objectives และ Key Results ตลอดทั่วทั้งองค์กร.
4. มุ่งเน้นที่ความพยายามของเรา (Focusing Our efforts): OKRs นั้นไม่, และไม่ควรจะเป็นว่าเป็นรายการตรวจสอบว่าทำอะไรแล้วบ้างหลัก [Master Checklist of Tasks] ที่จะต้องทำให้สำเร็จ. เป้าประสงค์ของโมเดลนี้ก็คือการระบุให้ได้อย่างมีวิจารณญาณถึงวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ และเป็นเกจ์ (gauging) วัดความรับผิดชอบสำนึกในหน้าที่ (Accountability) โดยผ่านผลลัพธ์สำคัญที่เป็นเชิงปริมาณ (Through Quantitative Key Results).
- ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ (Strategy pundit) ชอบที่จะบันทึกว่ากลยุทธ์นั้ัน เป็นมากกว่าอะไรที่ไม่ควรทำพอ ๆ กับอะไรที่ควรทำ และนี่คือ OKRs. เราต้องมีวินัยในการพิจารณาตัดสินใจว่าจะตัดสินขั้นเด็ดขาดในเรื่องอะไร (Final cut).
5. ทำผลงานที่สามารถวัดผลได้ (Make measurable contributions): ขณะที่เราอธิบายถึงผลลัพธ์หลัก (Key Results) สั้น ๆ และทั้ว ๆ ไปนั้น (โดยมากมักจะพิเศษ). เป็นเชิงปริมาณโดยธรรมชาติ. หากเป็นไปได้ เราจะต้องเลี่ยงความเป็นอัตวิสัย (Subjectivity) และมีการบันทึกอย่างแม่นยำว่าธุรกิจกำลังรุดหน้าไปอย่างไร บนฐานแห่งการบรรลุความสำเร็จตาม OKRs ของเรา.
6. ขับเคลื่อนบริษัทของเราไปข้างหน้า (Drive the company forward): สิ่งที่จะตัดสิน (Arbiter) ขั้นสูงสุดถึงความสำคัญได้ดีที่สุด คือ การประสบความสำเร็จตามเป้าหมายของเรา. ติดตามคำแนะนำของบล็อกนี้ และเราคือ OKRs ที่มีความเชื่อมั่น จะเป็นแสงนำทาง (วิถี) ของเรา.
ตกลงขณะนี้เรามี หกเชิร์ตแล้ว! ด้วยระเบียบวิธีที่ได้ตัดทอนออกไปอันเพียงพอนี้ ให้มันเปลี่ยนความตั้งใจของเราไปสู่องค์ประกอบคือ "วัตถุประสงค์" และ "ผลลัพธ์ที่สำคัญ" (Objectives and Key results).
.
.
หน้าที่ 3
วัตถุประสงค์ (OBJECTIVES)
- วัตถุประสงค์เป็นถ้อยคำที่สั้นกระชับแสดงแนวทางกว้าง ๆ ถึงเป้าประสงค์เชิงปริมาณที่ถูกออกแบบมาเพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าในทิศทางที่มุ่งหวัง โดยทั่วไปแล้ว มันจะมีคำถามว่า เราจะทำอะไรกันดี ("What do we want to do?") วัตถุประสงค์ที่กล่าวเป็นคำพูดได้ดี ก็คือมีกรอบเวลา (Time-bound) - ที่สามรถกระทำได้ในแต่ละแต่ละไตรมาส และควรจะมีแรงดลใจ และนำแรงดลใจนี้ไปแบ่งปันถึงจินตนาการแก่ทีมงานเรา.
จากตัวอย่าง เรากำลังสร้างชุดของสิ่งที่เป็นหลักประกันสำหรับบล็อกนี้ และวัตถุประสงค์ของเราในไตรมาสนี้ "ออกแบบเว็บไซต์ที่มีแรงดึงดูดชักชวนให้ผู้มาสนใจ OKRs." วัตถุประสงค์จะต้องสั้น (เพียง 9 คำ) เป็นอปริมาณ (ไม่มีตัวเลข นี่คือจะเป็นหลักสำคัญแก่ Key results) มีกรอบเวลา (Time-bound) (เราจะต้องมั่นใจว่าเราจะออกแบบให้เสร็จทันในหนึ่งไตรมาส). และสร้างแรงดลใจ (มันจะเป็นความตื่นเต้นในการผูกพันกับการสร้างสรรค์ ในการผลิตเว็บไซต์แก่ผู้คนที่จะค้นหาทั้งความช่วยเหลือ และการเปิดเผยสิ่งที่สวยงาม).
ผลลัพธ์ที่สำคัญ (KEY RESULTS)
- ผลลัพธ์ที่สำคัญคือถ้อยคำเชิงปริมาณที่วัดความสำเร็จของวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้ หากวัตถุประสงค์ถามว่า “เราต้องการทำอะไรกันดี - What do we want to do?” ผลลัพธ์หลัก (Key results) ก็จะถามว่า “แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราบรรลุวัตถุประสงค์ของเราแล้ว?” ในคำจำกัดความก่อนหน้านี้ บางคนอาจมีข้อโย้งเล็ก ๆ ว่า โดยธรรมชาติแล้วมันเป็นเชิงปริมาณ เราต้องตระหนักว่าผลลัพธ์หลักควรเป็นตัวเลข. นี่คือประเด็นที่รับไว้. แต่เราก็ต้องมีข้อผิดพลาด บนฝั่งของการมีข้อมูลที่มากเกินไป เพื่อสร้างความมั่นใจให้เราตระหนักถึงความสำคัญมากที่จะกำหนด Key results ของเราเป็นตัวเลข.
ความท้าทายและคุณค่าที่สูงสุดของ Key results เป็นการผลักดันให้เราทบทวนความมีปริมาณ สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นที่จะเป็นความไม่แน่นอนหรือคำพูดที่มืดมัวในวัตถุประสงค์ของเรา. การใช้ตัวอย่างวัตถุประสงค์ของเราว่า "Design a compelling (กระตุ้นความสนใจ) website that attracts people to OKRs," เราในขณะนี้กำลังมุ่งมั่นในการออกแบบสิ่งที่เราเรียกว่า "กระตุ้นความสนใจ-Compelling" และ "attracts." แรงดึงดูด ขณะที่เราจะค้นพบ Key results ของเราเอง. ไม่มีการให้คำแปลของคำอย่างเช่น Compelling และ Attracts ให้เป็นตัวเลขได้. เราจะต้องตัดสินใจถึงสิ่งที่คำมีความหมายเฉพาะไปยังธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวของเรา. นี่คือ Key results (วัตถุประสงค์ส่วนใหญ่ จะอยู่ระหว่าง สอง ถึง ห้า Key results จะมีการกล่าวรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไปในบล็อกนี้).
- 20 เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าเยี่ยมชม จะกลับมาเยี่ยมชม Website นี้อีกภายในหนึ่งสัปดาห์.
- 10 เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชม Website ต้องการการอบรมของเรา และการบริการให้คำปรึกษา (Consulting services).
.
.
หน้าที่ 4
ภาพที่ 1.2 ตัวอย่าง OKRs ระดับทีมงาน
ภาพที่ 1.3 ตัวอย่าง OKRs ระดับบุคคล
ด้วยตัวอย่างภาพที่ 1.1, 1.2, และ 1.3 เราจะพบตัวอย่างเพิ่มเติมของวัตถุประสงค์และผลลัพธ์ที่สำคัญสำหรับระดับองค์กร ทีม และรายบุคคล. ซึ่งดูค่อนข้างง่าย แต่ก็มีรายละเอียดที่ต้องศึกษาต่อไป.
เฟรมเวิร์กที่ดูเรียบง่ายหลายอันนั้น จริง ๆ แล้วเป็นการเรียบง่ายแบบ "หลอกลวง". มันมีหลักการพื้นฐานสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงมีความอยากที่จะหลีกเลี่ยงการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหันไปสนใจและทำงานกับโมเดลดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เราทำเช่นนั้นด้วยความเสี่ยงร้ายแรง ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยและ “ประเด็นที่ละเอียดกว่า” มากมายสำหรับแนวทาง OKR ที่ต้องเข้าใจหากท่านหวังว่าจะได้รับประโยชน์ตามที่ระบบสัญญาไว้ ตัวอย่างเช่น รายการข้อควรพิจารณาสั้น ๆ (เราจะครอบคลุมหัวข้อเหล่านี้ทั้งหมดและอื่น ๆ ในหน้าต่อ ๆ ไป) รวมถึง: ตำแหน่งที่จะสร้าง OKR ของเรา (ระดับองค์กรหรือหน่วยธุรกิจ - Corporate level or Business unit) ที่จะสนับสนุนการดำเนินการ เลือกจากประเภทของคีย์ ผลลัพธ์ที่มีอยู่ การปรับ OKR ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ของเรา การจัดทีมข้ามสายงานให้สอดคล้องกัน การรายงานผลลัพธ์เพื่อให้แน่ใจว่ามีการตอบรับและการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว และอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้น โปรดรัดตัวท่านเองให้แน่นและมาร่วมสนุกกับเราตลอดการเดินทางที่เหลือนี้ เราสัญญาว่าจะทำให้การเดินทางราบรื่นที่สุดเท่าที่จะทำได้.
.
.
หน้าที่ 5
ความท้าทายขององค์กร และเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องการ OKRs. (ORGANIZATIONAL CHALLENGES, AND WHY WE NEED OKRs)
- ในกระบวนการเขียนในบล็อกนี้นั้น เราดำเนินการปฏิบัติด้านงานวิจัยเป็นจำนวนมาก มีการแปลข้อมูลขั้นต้น มีการศึกษาจากหนังสือต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก กระดาษเป็นแผ่น ๆ บทความ Blog post และอื่น ๆ . ข้อมูลทั้งหมดแตกต่างกันบนฐานของเนื้อหาอันโดดเด่นในตัวของมันเอง แต่ก็จะมีส่วนหนึ่งที่เหมือน ๆ กันทำนองเดียวกันอยู่ ท่ามกลางข้อมูลเหล่านี้ที่ดูเหมือน ๆ กันทั้งหมด สามารถพบได้ว่า.
- หนึ่งถึงสองประโยคเปิด ไม่ได้มีความผันแปร ในกรณีที่ถูกทำให้เราอยู่ในช่วงที่ดำเนินตามปกติ. มีการสถาปนากันขึ้นมากของแนวคิดองค์กรของเรานั้น ได้ถูกท้าทาย, การผลักดันเราให้ขยายตัวอย่างฉับพลันไปสู่ด้านหน้าแนวรบแห่งองค์ความรู้ในขั้นตอนสั้น ๆ นำหน้าปีศาจหรืออสูรแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ขวางทางเราอยู่เบื้องหน้า.
- ด้วยบล็อกนี้ เราต้องการทำบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย. โดยการอนุญาตให้เราหายใจลึก ๆ ในขณะที่เราเริ่มต้นเดินทางไปด้วยกัน เพราะในบางวิถีทางที่ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าคุ้มประโยชน์ อย่างน้อยในโลกที่พัฒนาแล้ว และดดยข้อเท็จจริงแล้ว มันไม่ได้บกพร่องชำรุดอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน.
- ในสหรัฐอเมริกา ตัวอย่างเช่นการหดหาย (อย่างค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป) ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product - GDP) มีการเติบโตต่ำตั้งแต่ 3% ในช่วงปี ค.ศ.1946 ถึง 1968 และเป็นเพียง 1.2% ตั้งแต่ปี 1985-2006.
- ทั้งเงินเฟ้อและการเติบโตด้านกำไรขององค์กร มักจะเห็นการลดลงที่คล้ายคลึงกันที่หดหายระเหยออกไปในช่วงเวลาดังกล่าว. ความมหัศจรรย์ทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน สามารถทำให้เราหัวหมุนได้ แต่โดยแท้จริงแล้วมันไมไ่ด้ลดความเสถียรมากไปกว่าการเข้ามาของรถไฟ โทรศัพท์ รถยนต์ การผลิตเป็นจำนวนมาก (Mass Production) หรือวิทยุ ที่มีขึ้นในช่วงเวลานั้น.
- เราอาจจะเหนื่อยล้าเล็กน้อย โลกของเราก็ยังมีเวลา 24 ชั่วโมงในการที่โลกจะหมุนรอบหนึ่ง ๆ . แต่ทว่ามีข่าวร้ายหรือมีความเหมาะสมมากกว่าถึงความจริงและโอกาส เราควรหยิบฉวยเอาไว้, ในช่วงก้าวแห่งการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในบริษัทและทั้วทั่งอุตสาหกรรมนั้นเป็นอัตราเร่งอย่างรวดเร็ว กล้าที่จะต้องบอกว่าไม่รู้ ว่าตนช้าไปกี่ช่วงก้าว. ดังมีตัวอย่างหนึ่งในหลาย ๆ ตัวอย่าง พิจารณาจากการปรับเปลี่ยนอัตราการใช้สมาร์ทโฟน. ในเดือนมิถุนายน 2550 iPHONE แบบทัชสกรีนก็ได้ออกมาจัดจำหน่ายเป็นรุ่นแรก. ตามติดอย่างกระชั้นด้วยโทรศัพท์มือถือแบบแอนดรอยด์. ขณะที่โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนทะยานขึ้นจากการเจาะตลาด 10% เป็น 40% เร็วมากกว่าเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคใด ๆ ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว.
- และขอขอบคุณสมาร์ทโฟน ....โอ! จะเป็นไปได้อย่างไรหากเราไม่หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูในทุก ๆ 4.3 นาที เราจะไม่ดูสมาร์ทโฟนเช่นนี้ได้หรือไม่? ถูกต้อง, เราจะไม่ดูสมาร์ทโฟนแบบได้หรือไม่? --และตามนั้น, เรา หมายถึง การรวมกันระหว่างเรา ท่านและทุกคนบนโลกใบนี้ -- ตรวจโทรศัพท์ของเราและเฉลี่ยแล้ว 221 ครั้งต่อวัน.
"การเปลี่ยนแปลง" พัฒนาเมื่อ 2 ตุลาคม 2567.
- เริ่มต้นด้วยการดูตัวเลขของการท้าทายที่สำคัญที่อยู่ด้านหน้าขององค์กรยุคใหม่. บางประเด็นอาจจะคล้ายกับเรื่องราวของเรา ในขระที่เรื่องอื่น ๆ อาจจะนำเสนอรายงานการวิจัยล่าสุดและการมีแนวคิดขององค์กร. ในขณะที่แต่ละเรื่องก็มีนัยสำคัญอย่างถูกต้องในตัวของมันเอง. เราต้องเชื่อมั่นในการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ (Objectives) และ Key Results (OKRs) ซึ่งจะนำพาเราไปในสถานที่หรือสถานะที่ดีในการเอาชนะอุปสรรคสำคัญ ๆ ได้, จะเป็นการจัดวางเส้นทางสำหรับเรา เสนอทั้งที่เป็นอิฐปูถนนให้แก่เราในทุก ๆ การเปลี่ยนแปลงของตลาดธุรกิจโลก ซึ่งมันวางไว้หน้าเราแล้ว.
.
.
หน้าที่ 6
การปฏิบัติตามกลยุทธ์ [Excuting strategy]
- จากการวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ มากกว่า 400 ท่านซึ่งเป็นผู้นำทั่วโลก ได้กำหนดการปฏิบัติการที่ไม่ปกติ ในฐานะที่เป็นอันดับหนึ่งในการท้าทายต่อการเผชิญหน้าผู้นำทางธุรกิจในเอเซีย ยุโรป และในสหรัฐอเมริกา.
- การปฏิบัติการระดับสูงสุดนี้มีราว 80 รายการ:- ประกอบด้วย นวัตกรรม ความไม่มีเสถียรภาพทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการเติบโตในระดับบน (ซึ่งจะมีการอภิปรายกันต่อไปในบทนี้) ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น นี่เป็นการวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่การค้นพบนั้นไม่ได้ทำให้ประหลาดใจหรือเป็นประเด็นเรื่องราวแต่อย่างใด ขณะที่การปฏิบัตินั้น มันจะอยู่แสดงในหน้าปัดเรดาร์ สำหรับการปฏิบัติในระยเริ่มแรกเลยทีเดียว.
- ผลลัพธ์จากการปฏิบัติงานที่ทำให้เราหงุดหงิดซึ่งเป็นสัดส่วนที่เกิดขึ้นทั่วโลก. มีการคาดการณ์ที่แตกต่างกันออกไป แต่อัตราการปฏิบัติงานที่ประสบความสำเร็จในกรณีศึกษาที่ดีที่สุดคือ 25-35% ขณะที่นักวิชาการที่มีเจตคติที่ดีซึ่งมีน้อย มีความประทับใจต่ำเพียง 10%.
- องค์กรใช้เวลานับพันชั่วโมง แสดงความตั้งใจในรายละเอียดที่ยิ่งใหญ่จัดทำแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic plan) ขึ้น. พวกเขารู้สึกว่ามันเป็นหลังคาคลุมพวกเราในอดีตเกี่ยวกับการแข่งขันของพวกเขา. และรางวัลต่าง ๆ ของกลยุทธ์การปรับเปลี่ยนไปสู่การกระทำ (Action) เป็นการทำให้ความต้องการได้รับการกระตุ้นอย่างแท้จริง. มีงานศึกษาหนึ่งกล่าวว่า 35% จากการปรับปรุงในคุณภาพของการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติงานนั้น สำหรับกิจการจะมีความสัมพันธ์ถึง 30% ในการปรับปรุงคุณค่าของผู้ถือหุ้น.
- เป็นการให้สมบัติที่มีค่า สุดปลายสายรุ้งแห่งการนำไปปฏิบัติ; มันไม่ได้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับกิจการที่เน้นถึงความตั้งใจเช่นนี้. มันจะรู้สึกเจ็บปวดเหมือนโดยผึ้งต่อยแห่งการอารมณ์เสียเมื่อการปฏิบัตินี้ได้หลีกเลี่ยงพวกเขา.
- ทำไมการนำไปปฏิบัติดูจะยากกว่าการเข้าถึง และการมีทักษะ? นักวิจัยและนักประพันธ์ Sull, Homks และ Sull ก็เสนอ 5 ตำนาน (Myths) ของการนำไปปฏิบัติ ซึ่งจะส่องแสงประกายที่มีนัยสำคัญ ด้วยเนื้อหาดังนี้:
ตำนานประการที่หนึ่ง: การนำไปปฏิบัตินั้นทัดเทียมกับการรู้กรอบงาน
Myth One: Execution equals alignment.
- ความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้, ในอุดมการณ์ทางธุรกิจนั้นคือคุณค่าที่จะวางกรอบขอบเขต กล่าวคือ ทุกคนต้องเดินไปในทิศทางเดียวกัน ยิ่งมีการสื่อสารสนทนาอย่างปกติกันมาก ๆ จะทำให้ทุกคนที่อยู่ในแถวแนวต่าง ๆ มารวมเป็นแถวแนวเดียวกัน. แนวคิดในการสร้างการจัดแนวผ่านวัตถุประสงค์ร่วมกันได้รับการสนับสนุนจากนักคิดที่ได้รับการยกย่อง (เช่น ผลงานของ Peter Drucker ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้) และบรรดายักษ์ใหญ่ในองค์กรต่าง ๆ มานานหลายทศวรรษ การจัดแนววางกรอบเป็นเป้าหมายที่มีค่าควรแก่การยกย่องในตัวของมันเอง. อย่างไรก็ตาม ปัญหาส่วนใหญ่มักอยู่ที่วิธีการที่องค์กรดำเนินการสร้างมันขึ้นมา สำหรับบริษัทหลายแห่ง กระบวนการนี้แม้จะมีเจตนาดี แต่ก็กลายเป็นการดำเนินการจากบนลงล่างอย่างรวดเร็ว โดยผู้บริหารระดับสูงเสนอวัตถุประสงค์ที่ดูเหมือนสำคัญหลายประการและบังคับให้องค์กรดำเนินการโดยไม่คำนึงถึงว่าวัตถุประสงค์เหล่านั้นจะถูกแปลเป็นระดับล่างอย่างไร. การดำเนินการจะได้รับผลกระทบในกรณีเหล่านี้เนื่องจากหน่วยธุรกิจและแผนกต่าง ๆ สร้างวัตถุประสงค์ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ระดับสูงจากเบื้องบน .แต่ละเลยที่จะพิจารณากลุ่มอื่น ๆ ภายในบริษัท งานส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีลักษณะครอบคลุมหลายหน้าที่ (ตามที่เราจะพูดถึงในหัวข้อนี้ในภายหลัง) และการเชื่อมโยงแบบบังคับมักจะบดบังข้อเท็จจริงนี้โดยสร้างไซโลที่ทำหน้าที่เฉพาะเพื่อประโยชน์สูงสุดของตัวเองเท่านั้น.
ตำนานประการที่สอง: การนำไปปฏิบัตินั้นหมายถึงการยึดมั่นตามแผน
Myth Two: Execution means sticking to the plan.
- ไมค์ ไทสัน อดีตแชมป์มวยโลกรุ่นเฮฟวี่เวทอาจกล่าวได้ดีที่สุดเมื่อเขาเสนอเคล็ดลับเกี่ยวกับกลยุทธ์ของคู่ต่อสู้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขา: “ทุกคนมีแผนจนกว่าจะโดนต่อยปาก” ประเด็นเด็ด (ตั้งใจเล่นคำ): แผนกลยุทธ์ไม่ได้อยู่รอดได้เสมอไปเมื่อต้องสัมผัสกับโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งก็คือธุรกิจของคุณ. กระบวนการวางแผนกลยุทธ์ทั่วไปของบริษัทส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการสร้างพอร์ตโฟลิโอของแผนริเริ่มกลยุทธ์เพื่อให้แน่ใจว่าแผนจะประสบความสำเร็จ แผนริเริ่มเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการจัดสรรทรัพยากรบุคคลและการเงิน เมื่อกำหนดไว้แล้ว บริษัทต่าง ๆ มักจะไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงแผนเหล่านั้นในทุกกรณี เพื่อดำเนินกลยุทธ์ บริษัทต่าง ๆ จะต้องคล่องตัวในการดำเนินการ โดยรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของตนในบางครั้งอย่างละเอียดอ่อนและบางครั้งก็ในระดับใหญ่ นั่นยังหมายถึงความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนทรัพยากรบุคลากรและการเงินเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น ผู้ที่มีกรอบความคิดแบบตายตัว ไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงแผนที่ดูเหมือนตายตัว จะต้องได้รับโทษประหารชีวิตที่หนักหน่วง.
.
หน้าที่ 7
ตำนานประการที่สาม: การสื่อสารนั้นเทียบเท่ากับความเข้าใจ
Myth Three: Communication equals understanding.
- ในปัจจุบัน แม้แต่บริษัทขนาดเล็กที่สุดก็สามารถสื่อสารอย่างมากมาย ง่าย ๆ และประหยัดกับพนักงานของตนได้. และพวกเขาก็ทำได้! ไม่เพียงแต่ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น ผู้นำระดับสูงในองค์กรส่วนใหญ่มักใช้เวลาพูดคุยกันโดยตรงเพื่อสื่อสารเกี่ยวกับแนวทางเชิงกลยุทธ์. น่าเสียดายที่ข้อความนี้ไม่ค่อยเข้าถึงคนทั่วไป. จากการสำรวจผู้จัดการจาก 250 บริษัททั่วโลก พบว่ามีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถระบุวัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดของบริษัทได้. แม้ว่าตัวเลขนี้อาจดูน้อยเกินไป แต่การศึกษาวิจัยอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่าการรับรู้ถึงลำดับความสำคัญของบริษัทนั้นแย่ยิ่งกว่านั้นอีก. การสำรวจครั้งหนึ่งพบว่ามีเพียง 1 ใน 7 คน หรือเพียง 15 % เท่านั้น ที่สามารถระบุเป้าหมายที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของบริษัทได้. แม้ว่าจะมีคำอธิบายที่เป็นไปได้หลายประการสำหรับการขาดความเข้าใจนี้ แต่คำอธิบายที่เราพบเห็นบ่อยครั้งก็คือองค์กรต่าง ๆ มักจะฝังคำศัพท์เฉพาะไว้ในพนักงานของตน. ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บริษัทจะมีค่านิยมหลัก ลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ ภารกิจ ถ้อยแถลงวิสัยทัศน์ จรรยาบรรณทางธุรกิจ ความสามารถหลักหรือแก่นศักยภาพ และคุณสมบัติอื่น ๆ อีกนับสิบอย่างสำหรับเกมบิงโกคำศัพท์เฉพาะที่สนุกสนาน. ซึ่งพนักงานมักสับสน ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญและควรเน้นเป็นพิเศษ จึงไม่ค่อยใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้มากนัก!
.
.
ตำนานประการที่สี่: วัฒนธรรมการทำงานแบบเน้นประสิทธิภาพผลักดันการปฏิบัติงาน
Myth Four: A performance culture drives execution.
- หากถูกขอให้บรรยายถึงการแข่งขันภายในอุตสาหกรรมของตนในปัจจุบัน ผู้บริหารส่วนใหญ่มักจะใช้คำคุณศัพท์ เช่น ดุเดือด (fierce) รุนแรง (intense) และโหดร้าย (brutal). ข้อผิดพลาดมีน้อยมาก ดังนั้น การขับเคลื่อนอย่างไม่ลดละเพื่อวัฒนธรรมการทำงานแบบเน้นประสิทธิภาพจึงดูสมเหตุสมผลเมื่อพยายามแยกแยะตัวเองจากคู่แข่ง. อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี ประสิทธิภาพถือเป็นคุณธรรมที่ได้รับการยกย่องจนความล้มเหลวในรูปแบบใด ๆ ก็ตามเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามและหลีกเลี่ยงให้ได้ไม่ว่าจะด้วยราคาใดก็ตาม. “ความผิดพลาด-Mistake” และความผิดพลาดถูกซ่อนไว้จากสายตา เกมโทษถูกเล่นด้วยความกระตือรือร้น และองค์กรจะล้าหลังอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับสิ่งอื่น ๆ ความสมดุลต้องได้รับการยึดมั่นเมื่อต้องหล่อหลอมวัฒนธรรม แม้ว่าประสิทธิภาพจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่องค์กรก็ควรให้ความสำคัญกับความคล่องตัว (agility) การทำงานเป็นทีม (teamwork) ความร่วมมือ (collaboration) และการเสี่ยงที่คำนวณมาอย่างดี (calulated risk-taking) ด้วย. การขับเคลื่อนการปฏิบัติงานนั้นขึ้นอยู่กับการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าความล้มเหลว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นจุดข้อมูลที่ต้องศึกษา ต้องเรียนรู้ และต้องปรับปรุงในอนาคต.
.
.
ตำนานประการที่ห้า: การปฏิบัติการควรขับเคลื่อนโดยผู้บริหารระดับสูง
Myth Five: Execution should be driven from the top.
- เราทุกคนต่างทราบดีถึง CEO ที่มีวิสัยทัศน์ซึ่งสามารถนำทางบริษัทผ่านการเดินทางขององค์กรที่อันตรายที่สุดได้ด้วยพลังแห่งความมุ่งมั่นและความเฉลียวฉลาด. แต่ความจริงกลับมีไม่มากนัก และอาจเป็นเพียงตำนานหรือเรื่องลึกลับมากกว่าความจริง. ในทางปฏิบัติ การให้ CEO มีอำนาจในการดำเนินการแต่เพียงผู้เดียวอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นได้จากการตัดสินใจที่ล่าช้า. ซึ่งอาจส่งผลให้พลาดโอกาสสำคัญเมื่อเกิดขึ้น และความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มักเกิดขึ้นบ่อยครั้งก็ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งทำให้ผู้บริหารเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์. ความรับผิดชอบในการดำเนินการจะต้องกระจายไปทั่วทั้งองค์กร ซึ่งแน่นอนว่าต้องอาศัยการเจรจาต่อรองกับอุปสรรคต่าง ๆ ในตำนานทั้งสี่ข้อข้างต้นอย่างเหมาะสม.
.
.
การจัดระเบียบเพื่อรับมือกับความเป็นจริงใหม่ [Organizing to Meet New Realities]
- มันไม่มีความลับใด ๆ ที่โครงสร้างประชากรของกำลังแรงงานทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ, กลายเป็นว่ามีทั้งคนหนุ่มสาวและคนวัยชราไปพร้อม ๆ กัน และมีความหลากหลายมากขึ้น. คนรุ่นมิลเลนเนียล (Millennials) ซึ่งเกิดระหว่างต้นทศวรรษปี 1980 ถึงต้นทศวรรษปี 2000 คิดเป็นครึ่งหนึ่งของกำลังแรงงานในปัจจุบัน และเปอร์เซ็นต์ดังกล่าวยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว. ความปรารถนาในอาชีพของพวกเขาได้รับการบันทึกไว้เป็นอย่างดี ได้แก่ สภาพแวดล้อมที่สัญญาว่าจะให้การเรียนรู้ตลอดเวลา ประสบการณ์การทำงานที่ให้ความหมายและจุดมุ่งหมาย. และเส้นทางอาชีพที่มีชีวิตชีวาและคุ้มค่า ในอีกด้านหนึ่งของกลุ่มอายุคือคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มคนจำนวนมากที่มีจำนวนลดลง แต่ยังคงมีความรู้และความสามารถในการจัดระเบียบอย่างมากมาย. คนรุ่นเบบี้บูมเมอร์จำนวนมากทำงานอยู่ในวัย 70 และ 80 ปี ขณะที่เผชิญกับความท้าทายของบทบาทใหม่ในฐานะที่ปรึกษา โค้ช และผู้ใต้บังคับบัญชาของเพื่อนร่วมงานที่อายุน้อยกว่า. ในที่สุด เมื่อธุรกิจยุคใหม่มีการโลกาภิวัตน์ กำลังแรงงานของเราแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทางเพศและวัฒนธรรมมากขึ้น.
- เมื่อพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้และปัจจัยอื่น ๆ มากมายที่ร่วมกันท้าทายผู้นำ องค์กรต่าง ๆ จำนวนมากจึงเปลี่ยนโครงสร้างจากรูปแบบเดิม ๆ ที่มีลำดับชั้นและตามหน้าที่มาเป็นทีมที่มีความยืดหยุ่นและเชื่อมโยงกัน. ในรายงานด้านทุนมนุษย์ประจำปี 2559 ของ Deloitte ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 92 ให้คะแนนการออกแบบองค์กรเป็นลำดับความสำคัญสูงสุด ขณะที่เกือบครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 45) ระบุว่าบริษัทของตนกำลังอยู่ในระหว่างการปรับโครงสร้างใหม่หรือกำลังวางแผนปรับโครงสร้างใหม่.
.
.
หน้าที่ 7
- การจินตนาการถึงการเปลี่ยนแปลงในการออกแบบที่เกิดขึ้นอาจเป็นประโยชน์หากคุณนึกถึงภาพยนตร์เรื่องโปรดของคุณ ภาพยนตร์แทบทุกเรื่องสร้างขึ้นโดยบุคคลและทีมผู้เชี่ยวชาญขนาดเล็ก (นักเขียน ผู้อำนวยการสร้าง นักออกแบบฉาก ผู้กำกับภาพ นักออกแบบเครื่องแต่งกาย ฯลฯ) ที่รวมตัวกันระหว่างการผลิต จากนั้นจึงย้ายไปทำภารกิจใหม่เมื่อภาพยนตร์เสร็จสมบูรณ์ เราพบเห็นสิ่งที่คล้ายคลึงกันมากในองค์กร: มีการจัดตั้งเครือข่ายทีมเพื่อแก้ไขปัญหาทางธุรกิจเฉพาะ และเมื่อแก้ไขปัญหาได้สำเร็จตามลำดับ ทีมจะแยกย้ายกันและสมาชิกจะถูกจัดสรรไปยังทีมอื่น ความท้าทายที่ทีมเหล่านี้เผชิญนั้นสอดคล้องโดยตรงกับวัตถุประสงค์โดยรวมของบริษัท จึงมั่นใจได้ว่าจะเชื่อมโยงกับการดำเนินการได้ เราคิดว่า OKR เหมาะสมมากกับแนวโน้มที่กำลังเติบโตนี้ในการคิดแบบองค์กร และเราจะหารือถึงเหตุผลของเราในส่วนผลประโยชน์.
.
.
ความท้าทายของการเติบโตอย่างยั่งยืน (The Challenge of Sustaining Growth)
- “จะเติบโตหรือตาย” เป็นคำขวัญที่มักถูกพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในห้องประชุมขององค์กรต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก. ขอให้ผู้บริหารระบุลำดับความสำคัญสูงสุดของพวกเขา และนอกเหนือจากการดำเนินการตามที่เราบันทึก (chronicle) ไว้ข้างต้นแล้ว คุณจะต้องได้ยินคำว่าการเติบโตออกมาจากปากของพวกเขาอย่างกระตือรือร้นอย่างแน่นอน. อันที่จริง การประมาณการชี้ให้เห็นว่าแผนกลยุทธ์มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์มุ่งหวังที่จะเพิ่มรายได้. แนวคิดเรื่องการเติบโตนั้นน่าดึงดูดใจมาก ไม่เพียงเพราะในหลาย ๆ กรณี การอยู่รอดขององค์กรขึ้นอยู่กับการเติบโตเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะผู้บริหารส่วนใหญ่มีความมั่นใจอย่างยิ่ง (sanguine - ร่าเริง, เบิกบาน) เมื่อต้องพิจารณาถึงโอกาสในการเติบโตที่บริษัทของพวกเขาต้องเผชิญ. ในการสำรวจผู้บริหาร 377 คนครั้งหนึ่ง ผู้ตอบแบบสอบถามมองเห็นโอกาสทุกที่ โดย 50 เปอร์เซ็นต์ระบุว่า “โอกาสมหาศาล” ในตลาดอเมริกาเหนือ, 65 เปอร์เซ็นต์ในยุโรป, และมากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ในเอเชีย
- การมองโลกในแง่ดีนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่บ่อยครั้งก็เจ็บปวดเมื่อต้องเผชิญกับความเป็นจริง (ลองนึกถึงหมัดของไมค์ ไทสันดู) แม้ว่าผู้บริหารทั่วโลกจะอยากคว้าโอกาสการเติบโตไว้ แต่บริษัทเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่สามารถรักษาการเติบโตที่ทำกำไรได้ในระยะยาว (หรือแม้กระทั่งระยะกลาง) ในทศวรรษที่สิ้นสุดในปี 2010 บริษัทเพียง 9 % เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในการเติบโตแม้เพียงเล็กน้อย (5.5 %) โดยที่ยังคงสร้างผลกำไรจากต้นทุนของเงินทุนไว้ได้ การศึกษาวิจัยอีกกรณีหนึ่งเกี่ยวกับหัวข้อสำคัญนี้ให้ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกันมาก: บริษัทเพียง 8 เ%จากเกือบ 5,000 บริษัทในกลุ่มตัวอย่างมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5 % ทุกปี.
- อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายองค์กรสะดุดหรืออาจจะเหมาะสมกว่านั้นคือล่มสลายระหว่างทางสู่การเติบโต ที่น่าสนใจคือ ไม่ใช่การขาดโอกาสที่ขัดขวางศักยภาพในการเติบโต อันที่จริง เมื่อถูกถาม ผู้บริหารมากกว่า 75 % จะอ้างถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิผลขององค์กร เช่น ความซับซ้อนที่มากเกินไป (จำการสนทนาของเราในส่วนการดำเนินการเกี่ยวกับจำนวนแนวคิดที่ล้นหลามที่พนักงานต้องเผชิญและคาดว่าจะต้องเข้าใจ) วัฒนธรรมที่ไม่ชอบความเสี่ยง (อาจเป็นเพราะเน้นที่ประสิทธิภาพการทำงานมากเกินไปอย่างที่เราบันทึกไว้) และความยากลำบากในการบรรลุเป้าหมายที่เพียงพอ OKR สามารถช่วยคุณเอาชนะความยากลำบากเหล่านี้ได้.
ภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงทำลายล้าง (The Threat of Disruption)
- (คุณ) สนใจที่จะเริ่มต้นบริษัทใหม่หรือไม่? นี่คือสถิติที่น่าตกใจที่อาจลดความกระตือรือร้นของเราลงได้ การวิจัยล่าสุดระบุว่าอายุขัยของบริษัทอเมริกันแห่งใหม่อยู่ที่ประมาณ 6 ปี. ซึ่งไม่เพียงพอที่จะให้คุณมีเวลาสร้างผลกระทบมากนัก และแม้ว่าคุณจะโชคดีพอที่จะเอาชนะโอกาสที่จะอยู่รอดได้ แค่การเอาตัวรอดก็อาจเป็นเรื่องยาก เพราะเรามีแนวโน้มที่จะตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงอย่างทำลายล้างอยู่ตลอดเวลา.
- เมื่อเราส่วนใหญ่นึกถึงการเปลี่ยนแปลง บริษัทที่สร้างสรรค์นวัตกรรมอย่าง Uber หรือ Airbnb ก็จะผุดขึ้นมาในหัวทันที อย่างไรก็ตาม หากพูดอย่างเคร่งครัดแล้ว Uber ไม่ใช่นวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลง. การเปลี่ยนแปลง (disruption) หมายถึงกระบวนการที่ผู้เล่นรายเล็กที่มีทรัพยากรน้อยกว่าสามารถท้าทายธุรกิจที่มีอยู่เดิมได้สำเร็จ โดยกำหนดเป้าหมายไปที่กลุ่มที่ถูกมองข้าม โดยเสนอฟังก์ชันการทำงานที่เหมาะสมกว่า (บ่อยครั้งในราคาที่ถูกกว่า) โดยปกติแล้ว ผู้ดำรงตำแหน่งเดิมมักจะไม่สนใจการเคลื่อนไหวนี้ และในที่สุด ผู้เข้าใหม่จะย้ายไปสู่ตลาดระดับสูงโดยมอบประสิทธิภาพที่ลูกค้าต้องการ ในขณะที่ยังคงรักษาข้อได้เปรียบ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนที่ต่ำลง) ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้ประสบความสำเร็จในช่วงแรก. ในทางเทคนิคแล้ว Uber ไม่ได้ทำทั้งสองสิ่งนี้ แต่แน่นอนว่าสิ่งนั้นไม่ได้หยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมแท็กซี่ไปตลอดกาล.
- แทนที่จะทำให้เกิดความวุ่นวาย เราสามารถเรียกการเปลี่ยนแปลงที่ Uber และบริษัทอื่น ๆ กำลังใช้ว่าเป็น "นวัตกรรมรูปแบบธุรกิจ - Business model innovations," แต่ไม่ว่าจะใช้ศัพท์อะไรก็ตาม ข้อเท็จจริงยังคงอยู่ มีบริษัทที่หิวโหย (หรืออดอยาก) ที่เราไม่เคยรู้จัก ซึ่งขณะนี้กำลังวางแผนที่จะขโมยส่วนแบ่งการตลาดของเรา. ไม่มีอุตสาหกรรมใดที่จะรอดพ้นจากการโจมตีนี้ ตัวอย่างเช่น บริษัทขนส่ง พวกเขาเผชิญกับภัยคุกคามที่คาดไม่ถึง: การพิมพ์ 3 มิติ เนื่องจากผู้ผลิตจำนวนมากขึ้นมีตัวเลือกในการพิมพ์ชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ในรูปแบบสำเร็จรูปในสถานที่ การขนส่งทางอากาศ ทางทะเล และทางถนนจะตกต่ำลง คาดว่าธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศมากถึง 41 เปอร์เซ็นต์ การขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทางทะเล 37 เปอร์เซ็นต์ และการจัดส่งทางรถบรรทุก 25 เปอร์เซ็นต์มีความเสี่ยงต่อการพิมพ์ 3 มิติ. เมื่อพิจารณาถึงภัยคุกคามที่ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่องค์กรต่าง ๆ จะต้องยอมรับความคล่องตัวและมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจของตนอย่างรวดเร็วโดยอิงจากข้อมูลใหม่ อีกครั้ง เราเชื่อว่า OKR จะเป็นประโยชน์ในงานนี้.
.
.
หน้าที่ 8
การมีส่วนร่วมของพนักงาน (Employee Engagement)
- สื่อธุรกิจเต็มไปด้วยเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ "สงครามแย่งชิงบุคลากร - War for Talent" ในหมู่บริษัทต่าง ๆ ที่พยายามจะจัดหาพนักงานที่ดีที่สุด ฉลาดที่สุด และมีส่วนร่วมสูงที่สุดให้กับพวกเขา. ความจริงง่าย ๆ ก็คือ ไม่มีองค์กรใดจะประสบความสำเร็จได้หากไม่มีทีมงานที่มีทักษะและแรงจูงใจที่ทำงานสอดคล้องกับวัตถุประสงค์โดยรวม. จากคำคุณศัพท์ทั้งหมดที่ปรากฏในสองประโยคสุดท้าย คำที่ดึงดูดความสนใจของผู้บริหารได้มากที่สุดคือการมีส่วนร่วม พูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือ ขณะนี้เรากำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์การมีส่วนร่วม.
- ก่อนที่เราจะนำเสนอสถิติมากมายเพื่อสนับสนุนประเด็นนี้ เรามาทำความเข้าใจกับคำจำกัดความของคำว่าการมีส่วนร่วมกันก่อน เนื่องจากมีความสับสนมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นและไม่ใช่การมีส่วนร่วม. ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการมีส่วนร่วมไม่ใช่ความสุขของพนักงาน และเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าความพึงพอใจของพนักงานมาก. Kevin Kruse ผู้เขียนหนังสือ Engagement 2.0 ได้ให้คำจำกัดความของการมีส่วนร่วมว่าเป็นความมุ่งมั่นทางอารมณ์ที่พนักงานมีต่อองค์กรและเป้าหมายขององค์กร. ความมุ่งมั่นทางอารมณ์นี้หมายความว่าพนักงานที่มีส่วนร่วมใส่ใจงานของตนและบริษัทจริง ๆ . พวกเขาไม่ได้ทำงานเพียงเพื่อเงินเดือนหรือเพื่อเลื่อนตำแหน่งเท่านั้น แต่ทำงานอย่างทุ่มเทเพื่อเป้าหมายขององค์กร. เมื่อพนักงานใส่ใจ—เมื่อพวกเขามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง—พวกเขาจะใช้ความพยายามตามดุลยพินิจ.
- นี่คือตัวอย่างง่าย ๆ แต่ชัดเจนที่เราสังเกตเห็นในองค์กรลูกค้า. เราได้รับมอบหมายให้พบกับซีอีโอของเครือร้านฟาสต์ฟู้ดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนียตอนใต้. สถานที่ประชุมคือร้านอาหารแห่งหนึ่ง และเราไปถึงค่อนข้างเร็ว. พนักงานไม่มีใครรู้จักเรา ดังนั้นจึงไม่มีแรงจูงใจให้พวกเขาพยายามสร้างความประทับใจให้เราในทางใดทางหนึ่ง. มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราสังเกตเห็นพนักงานคนหนึ่งวิ่งข้ามพื้นไปที่ประตู. ความคิดแรกของเราคือมีคนพยายามออกไปโดยไม่จ่ายเงิน แต่ที่จริงแล้วเราคิดผิด เมื่อเขาเข้าใกล้ประตู พนักงานคนนั้นก็ก้มตัวลงหยิบผ้าเช็ดปากที่ถูกทิ้ง เขาโยนมันลงในถังขยะและเดินกลับไปด้านหลังเคาน์เตอร์เพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายต่อไป. คุณอาจพูดได้ว่าเขาแค่ทำหน้าที่ของเขา แต่ไม่มีใครเฝ้าดูอยู่ เขาอาจทิ้งขยะไว้บนพื้นได้อย่างง่ายดาย แต่เขาเลือกที่จะออกจากโต๊ะของเขาเพื่อรักษาความสะอาดของร้านอาหาร.
- น่าเสียดายที่ตัวเลขการมีส่วนร่วมในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกนั้นต่ำอย่างน่าใจหาย โดย Gallup รายงานว่ามีเพียงร้อยละ 13 ของกำลังแรงงานทั่วโลกเท่านั้นที่มีส่วนร่วมสูง. ในสหรัฐอเมริกา ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 30. และนี่ทำให้เกิดผลเสียอย่างแท้จริง โดยจากการประมาณการบางส่วน การมีส่วนร่วมที่ต่ำจะสูญเสียผลผลิต การขาดงาน และอื่น ๆ มูลค่า 17,000 ดอลลาร์ต่อพนักงานต่อปี ซึ่งเป็นผลมาจากการสูญเสียผลผลิต การขาดงาน และอื่น ๆ จำนวน 17,000 ดอลลาร์นั้นดูไม่มากนัก ดังนั้นลองขยายตัวเลขนี้โดยคำนวณจากแรงงานในสหรัฐอเมริกาทั้งหมด. เราจะเห็นผลผลิตที่สูญเสียไปประมาณ 450,000 ถึง 550,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี. แต่เราเชื่อว่าอาจมีต้นทุนที่สูงกว่านั้น นั่นคือการไม่สามารถมีส่วนสนับสนุนในการดำเนินกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ. พนักงานที่ขาดความผูกพันไม่เต็มใจที่จะใช้ความพยายามตามดุลยพินิจที่จำเป็นในการรับรู้โอกาสใหม่ ๆ ยอมรับความเสี่ยงที่คำนวณมาแล้ว หรือเสนอนวัตกรรมรูปแบบธุรกิจที่อาจทำให้บริษัทของตนก้าวล้ำหน้าคู่แข่ง.
- ข่าวดีก็คือ องค์กรต่าง ๆ ตระหนักถึงสิ่งที่เป็นเดิมพันในการต่อสู้ครั้งนี้ และได้ขยายความพยายามอย่างมากในการเพิ่มการมีส่วนร่วม. การสำรวจความพึงพอใจและการมีส่วนร่วมของพนักงานประจำปีกำลังถูกยกเลิก และแทนที่ด้วยเครื่องมือรับฟังพนักงาน เช่น การสำรวจชีพจร เครื่องมือโซเชียลที่ไม่เปิดเผยตัวตน และที่สำคัญที่สุดคือการเช็คอินเป็นประจำกับผู้จัดการและรับคำติชม.
- เราได้ระบุความท้าทายที่สำคัญบางประการไว้ในหน้าก่อนหน้านี้ โชคดีที่ OKR สามารถช่วยเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ได้ และช่วยให้คุณก้าวไปสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จที่ยั่งยืน ดังที่เราได้กล่าวถึงไปแล้ว มาดูประโยชน์มากมายบางส่วนของแนวทาง OKR กัน.
.
.
หน้าที่ 9
ประโยชน์ของ OKRs (BENEFITS OF OKRs)
- การริเริ่มและใช้การวัดผลและการติดตามอย่างเป็นทางการนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้จากการศึกษาธุรกิจในสหรัฐอเมริกา 30,000 แห่งที่ดำเนินการโดยศูนย์การศึกษาด้านเศรษฐกิจของสำนักงานสำมะโนแห่งสหรัฐอเมริกา. เมื่อไม่นานนี้ จากการศึกษาของผู้เขียน พบว่าบริษัทที่มีแนวทางการจัดการแบบมีโครงสร้างที่เน้นการติดตามและกำหนดเป้าหมายผลการดำเนินงานนั้นมีผลการดำเนินงานทางการเงินที่ดีกว่าบริษัทที่ไม่ได้ใช้มาตรการดังกล่าวอย่างเห็นได้ชัด. ดังนั้นการนำโปรแกรม OKRs มาใช้เพียงอย่างเดียวก็ช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จทางการเงินได้. ผลตอบแทนจากผลกำไรสุทธิของเราจะทำให้เรา คณะกรรมการ และผู้บริหารของเราพอใจอย่างแน่นอน แต่ต่อไปนี้คือผลประโยชน์เพิ่มเติมที่สำคัญหลายประการที่เราคาดหวังได้จากการนำ OKRs มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ.
OKRs เข้าใจง่าย—เพิ่มการมีส่วนร่วมและการใช้งาน
- ในแคลิฟอร์เนียที่เราอาศัยอยู่ มีร้านเบอร์เกอร์ชื่อดังชื่อว่า In-N-Out. หากคุณเคยลิ้มลองอาหารของร้าน ซึ่งดีกว่าร้านฟาสต์ฟู้ดทั่วไป น้ำลายสอเมื่ออ่านข้อความนี้ เหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้ In-N-Out สามารถครองใจแฟน ๆ ได้มากมายก็คือความเรียบง่ายของเมนู. ซึ่งประกอบไปด้วยเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย มิลค์เชค และเครื่องดื่ม. นั่นเอง ไม่เหมือนร้านอาหารหลาย ๆ ร้านที่เมนูบนกระดานอัดแน่นไปด้วยรายการอาหารจนคุณต้องมองด้วยสายตา 20/15 เพื่ออ่าน.
- พิจารณา OKRs ว่าเป็น "In-N-Out" ของการจัดการประสิทธิภาพการทำงานของคุณ ประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดประการหนึ่งที่กรอบงานมีคือความเรียบง่ายอย่างแท้จริง ซึ่งเริ่มต้นด้วยอนุกรมวิธาน โดยพื้นฐานแล้วมีเพียงสามคำ: วัตถุประสงค์และผลลัพธ์ที่สำคัญ แนวทางอื่น ๆ ในการจัดการประสิทธิภาพการทำงานและดำเนินกลยุทธ์นั้นเต็มไปด้วยศัพท์เฉพาะ ซึ่งอาจทำให้พนักงานที่อยู่ภายใต้การควบคุมของภารกิจ วิสัยทัศน์ ค่านิยมหลัก และ KPI สับสนได้ ดังที่เราได้กล่าวถึงเมื่ออภิปรายเกี่ยวกับตำนานเรื่องการดำเนินการข้อที่สาม (การสื่อสารเท่ากับความเข้าใจ).
- เราได้ทำงานร่วมกับลูกค้าที่เพียงแค่เข้าร่วมการฝึกอบรมเบื้องต้นสั้น ๆ ก็สามารถใช้คำศัพท์ได้อย่างถูกต้องทันที และสร้างวัตถุประสงค์ที่มีความหมายและผลลัพธ์ที่สำคัญได้. ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อก่อนหน้านี้ ยังมีรายละเอียดเพิ่มเติมอีกมากมายในโมเดลนี้ และเราจะอธิบายรายละเอียดทั้งหมดอย่างละเอียด แต่เพื่อให้ทีมของคุณยอมรับและสนับสนุนโปรแกรมใด ๆ ขั้นตอนแรกที่สำคัญคือการเชี่ยวชาญคำศัพท์. OKR ช่วยให้ทำได้ง่าย นี่คือคำอธิบายของ Rick Klau จาก Google Ventures:
- เมื่อ OKR ได้ผลดีในบริษัทของคุณ ก็เหมือนกับว่าทุกคนมีความคล่องแคล่วในภาษาใหม่ พนักงานทุกคนคุ้นเคยกับคำศัพท์ทั่วไป และเข้าใจว่าคำศัพท์เหล่านี้อธิบายสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัทได้อย่างไร (และสิ่งที่สำคัญที่สุด) หลังจากใช้ OKR เพื่อตั้งและจัดการเป้าหมายเพียงไม่กี่ไตรมาส พนักงานในบริษัทก็จะพัฒนาพลังพิเศษที่แตกต่างกันสามประการ ได้แก่ ความสามารถในการทำนายอนาคต ความสามารถของผู้ก่อตั้งบริษัทหรือซีอีโอในการเป็นส่วนหนึ่งของการสนทนาที่สำคัญทุกครั้ง แม้กระทั่ง (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง) เมื่อพวกเขาไม่อยู่ที่นั่น และความสามารถในการปฏิเสธ.
.
.
จังหวะที่สั้นลงส่งเสริมความคล่องตัวและความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง (A Shorter Cadence Fosters Agility and Change-Readiness)
- แม้ว่าจะมีพื้นที่สำหรับการปรับแต่งในทุก ๆ การนำไปใช้ แต่ผู้ปฏิบัติ OKR ส่วนใหญ่ก็จะกำหนดเป้าหมายเป็นรายไตรมาส การกำหนดลำดับความสำคัญบ่อยครั้งนี้มีความสำคัญมาก. เนื่องจากอัตราการเปลี่ยนแปลงภายในและภายนอกธุรกิจเร่งตัวขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรวบรวมข้อมูลใหม่ วิเคราะห์ และแปลงเป็นความรู้ที่สามารถนำไปใช้เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและอาจเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์หรือแผนธุรกิจได้. การทำเช่นนี้เป็นเรื่องยากมากหากเรากำหนดเป้าหมายเพียงรายปี มีช่วงเวลาล่าช้าระหว่างเหตุการณ์ที่กระตุ้นให้เกิดซึ่งอาจส่งผลต่อธุรกิจของเราจนถึงแกนกลางของธุรกิจ และปฏิกิริยาของเราต่อเหตุการณ์นั้น (จะกระทันหัน) ซึ่งทำให้เราไม่มีความพร้อมเลย.
.
.
หน้าที่ 10
การบรรลุเป้าหมาย (Goal Achievement), พัฒนาขึ้นเมื่อ 7 ตุลาคม 2567.
- การตั้งเป้าหมายบ่อยครั้งยังช่วยสร้างวินัยภายในองค์กรซึ่งอาจขาดหายไป การเรียนรู้และการตัดสินใจเชิงรุกนั้นต้องอาศัยการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอและมีเป้าหมายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบริษัทของคุณและสภาพแวดล้อมโดยรอบ การอัปเดต OKR ของคุณทุกไตรมาสจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งขององค์กรซึ่งจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อใช้งาน ช่วยให้คุณพร้อมสำหรับพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงและการหยุดชะงักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้.
- สุดท้าย หลักฐานล่าสุดชี้ให้เห็นว่าการตั้งเป้าหมายบ่อยครั้งขึ้นส่งผลดีต่อผลลัพธ์ทางการเงิน Deloitte รายงานว่าบริษัทที่ตั้งเป้าหมายรายไตรมาสมีแนวโน้มที่จะอยู่ในกลุ่มที่มีผลงานดีที่สุดเกือบสี่เท่า.
.
.
OKR เรียกร้องให้เน้นที่สิ่งที่สำคัญ (OKRs Demand Focus on What Matters)
- บางทีทรัพยากรที่หายากที่สุดในบริษัทใด ๆ นั้นก็คือ ความคิดของพนักงาน. ลองนึกถึงการแข่งขันที่เข้มข้นเพื่อแย่งชิงพื้นที่นั้นในโลกที่ไม่หยุดนิ่ง (24/7 = 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์) ในปัจจุบัน เช่น เป้าหมายของบริษัท เป้าหมายของหน่วยงาน เป้าหมายความสำเร็จของแต่ละบุคคล การประชุมที่คุณมาสายและไม่ได้เตรียมตัวมา แนวโน้มในอุตสาหกรรม ความกังวลในอาชีพ ปัญหาครอบครัว โซเชียลมีเดีย คะแนนจากเกมเมื่อคืน และอื่น ๆ อีกมากมาย. ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราอาศัยอยู่ในโลกที่เข้าถึงทุกอย่างได้มากเกินไป. แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องเหนือกว่าเสียงที่ขัดแย้งกันก็คือความรู้และความเข้าใจในสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัท (และการมีส่วนสนับสนุนของพนักงานแต่ละคน) ในตอนนี้. OKR เรียกร้องให้คุณแยกเฉพาะลำดับความสำคัญพื้นฐานที่สุดและอุทิศความสนใจของคุณให้กับตัวแปรที่มีศักยภาพจำกัดชุดนั้นซึ่งเกี่ยวข้องกับการบริหารบริษัทใด ๆ .
- เมื่อมีคนถาม Dick Costolo อดีต CEO ของ Twitter ว่าเขาได้เรียนรู้อะไรจาก Google และนำไปปรับใช้กับ Twitter เขาตอบว่า “สิ่งที่ผมเห็นใน Google และนำไปใช้อย่างแน่นอนใน Twitter คือ OKR หรือวัตถุประสงค์และผลลัพธ์ที่สำคัญ สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการช่วยให้ทุกคนในบริษัทเข้าใจว่าอะไรสำคัญ และจะวัดผลว่าอะไรสำคัญได้อย่างไร เป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการสื่อสารกลยุทธ์และวิธีการวัดผลกลยุทธ์.”
- ในฐานะผู้บริหารหรือผู้จัดการ เราต้องเผชิญกับตัวเลือกมากมายที่สรุปได้ด้วยคำสองคำ คือ ใช่หรือไม่? เราควรสร้างโรงงานใหม่ในต่างประเทศหรือไม่? เราควรจ้างวิศวกรชื่อดังที่มีชื่อเสียงไม่ดีหรือไม่? เราควรเปิดไฟเขียวให้กับแคมเปญการตลาดใหม่หรือไม่? มีคำถามมากมายที่ต้องตอบอย่างแน่ชัด ไม่ว่าจะเป็นคำตอบเชิงบวกหรือเชิงลบก็ตาม โดยการให้ความสำคัญกับลำดับความสำคัญสูงสุดของเรา เราก็จะได้เปรียบในสองแนวทาง: การระบุสิ่งที่สำคัญที่สุด และโดยค่าเริ่มต้น ให้เรามีอาวุธที่เหมาะสมเพื่อปฏิเสธความคิดริเริ่มมากมายที่แม้จะน่าดึงดูดแต่ก็ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของเรา.
1
1
ความโปร่งใสส่งเสริมการจัดแนวการทำงานข้ามสายงาน (Transparency Promotes Cross-Function Alignment)
- ก่อนหน้านี้ในบทนี้ เราได้พูดถึงวิธีการที่องค์กรต่าง ๆ กำลังออกแบบวิธีการทำงานใหม่โดยมอบอำนาจและความท้าทายในการเอาชนะปัญหาเฉพาะให้กับทีมเล็ก ๆ จากนั้นจึงแยกย้ายกันเมื่องานเสร็จสิ้น ไม่ว่าทีมจะพยายามแก้ปัญหาทางธุรกิจอะไรก็ตาม ก็เป็นการรับประกันได้อย่างแท้จริงว่าโซลูชันที่เป็นไปได้นั้นไม่ได้อยู่ที่ทีมเดียวเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของกลุ่มอื่น (หรือกลุ่มต่าง ๆ) ภายในบริษัท ดังนั้น ในโลกที่มีเครือข่ายของเรา จึงจำเป็นที่ทีมต่าง ๆ จะต้องมองเห็นเป้าหมายด้านประสิทธิภาพของทีมอื่น ๆ OKR ส่งเสริมความโปร่งใสนี้ทั่วทั้งองค์กร.
1.
1.
หน้าที่ 11
- โปรแกรม OKR ที่มีประสิทธิภาพนั้นใช้งานได้ในหลายระดับ: โดยมีวัตถุประสงค์และผลลัพธ์หลักในระดับองค์กร. แผนกหรือหน่วยธุรกิจ (โครงสร้างหรือคำศัพท์ของเราอาจแตกต่างกันไป) ก็มี OKR และบุคคลอาจมี OKR. องค์ประกอบของ OKR ในแต่ละระดับนั้นไม่จำกัดอยู่แค่ผลประโยชน์ของแต่ละท้องถิ่นหรือภูมิภาค. ในทางกลับกัน ชุด OKR ที่ได้รับการพัฒนาอย่างดีนั้นควรมีวัตถุประสงค์และผลลัพธ์หลักที่ส่งเสริม (และแสดงให้เห็น) ความร่วมมือกับทีมอื่น ๆ ที่เราพึ่งพา หรือในทางกลับกัน พึ่งพาเราในการขับเคลื่อนผลลัพธ์. OKR ควรมีความโปร่งใสทั่วทั้งองค์กร ซึ่งหมายความว่าทุกคนสามารถดูสิ่งที่ผู้อื่นวัดได้และให้ข้อเสนอแนะและข้อเสนอแนะ ความโปร่งใสนี้ช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกัน การจัดแนวทาง และท้ายที่สุดคือการดำเนินกลยุทธ์.
1.
1.
OKRs อำนวยความสะดวกในการสนทนาอย่างมีเป้าหมายและขับเคลื่อนการมีส่วนร่วม (OKRs Facilitate Focused Conversation and Drive Engagement)
- มีสุภาษิตเกี่ยวกับอาชีพที่มักถูกยกมาอ้างอยู่เสมอว่าผู้คนไม่ได้ลาออกจากบริษัท แต่ลาออกจากผู้จัดการ. ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันมานานแล้วว่าทรัพยากรบุคคลเป็นภูมิปัญญาที่ได้รับการยอมรับ และแน่นอนว่าบริษัทต่าง ๆ พยายามแก้ไขสถานการณ์นี้ด้วยการสร้างโปรแกรมพัฒนาความเป็นผู้นำ จัดให้มีการฝึกอบรมความอ่อนไหว (อดทนต่อแรงเสียดทานและความเครียดต่าง ๆ ) และให้ข้อเสนอแนะ 360 องศา. การแทรกแซงเหล่านี้และการแทรกแซงอื่น ๆ ได้รับการออกแบบมาเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับผู้จัดการและลดความเสี่ยงที่บุคลากรจะออกจากงาน. มีปัญหาอยู่เพียงอย่างเดียว. สุภาษิตเก่านั้นไม่เป็นความจริงอย่างน้อยก็ไม่เป็นความจริงตามการสำรวจสมาชิก LinkedIn กว่า 7,000 คนจาก 5 ประเทศ.
- ตามการตอบแบบสอบถาม เหตุผลหลักในการเล่นไพ่ฟรีเอเย่นต์คือการขาดโอกาสในการก้าวหน้า. ผู้ใช้ OKRs จำนวนมากกว่าสามเท่าอ้างเหตุผลดังกล่าวว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับหัวหน้างานเป็นสาเหตุของการลาออก. ข่าวดีสำหรับผู้ใช้ OKRs ก็คือ ไม่ว่าพนักงานจะรู้สึกอยากส่งต่อประวัติย่อเพราะความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับหัวหน้างานหรือเพราะไม่เห็นโอกาสก้าวหน้าในบริษัท การใช้ OKRs จะช่วยลดโอกาสทั้งสองอย่างได้.
- OKRs ไม่ใช่แบบฝึกหัดจากบนลงล่างที่กำหนดเป้าหมายแบบส่งต่อไปยังหน่วยงานและแผนกระดับล่าง ซึ่งคาดหวังว่าจะต้องปฏิบัติตามหน้าที่โดยไม่คำนึงถึงความคิดเห็นของพวกเขา. ความแตกต่างที่สำคัญประการหนึ่งของโมเดลนี้คือการเน้นที่การรวมเอาทุกคนเข้าไว้ด้วยกัน. คาดว่าแต่ละคนจะมีสิทธิ์ในการตัดสินใจอย่างถูกต้องในวัตถุประสงค์และผลลัพธ์หลักที่เลือก ซึ่งสะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างการตั้งเป้าหมายจากบนลงล่างและจากล่างขึ้นบน. การมีโอกาสมีส่วนสนับสนุนอย่างมีความหมายในสิ่งที่เราจะต้องรับผิดชอบนั้นช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมได้อย่างมาก. ในภายหลัง เมื่อสรุปผลลัพธ์แล้ว โอกาสที่จะมีส่วนร่วมในการอภิปรายที่มีความหมาย ซึ่งดำเนินการด้วยจิตวิญญาณแห่งการสืบเสาะหาความรู้ ยังช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจและแสดงให้ผู้บังคับบัญชาเห็นความพร้อมของพนักงานในการก้าวไปสู่ระดับถัดไปในองค์กร ปรากฏการณ์นี้ได้รับการพิสูจน์แล้วที่ Sears Holding ซึ่ง OKRs ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 2014 พนักงานที่ใช้ OKRs มีโอกาสได้รับการเลื่อนตำแหน่งมากกว่าสามเท่าครึ่ง.
1.
2.
หน้าที่ 12
OKR ส่งเสริมการคิดเชิงวิสัยทัศน์ (OKRs Promote Visionary Thinking)
- Carol Dweck เป็นศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่เป็นที่รู้จักจากผลงานเกี่ยวกับแรงจูงใจ. และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับแนวคิด เธอตั้งสมมติฐานว่าผู้คนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ฝ่าย. ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าความสำเร็จของตนเป็นผลจากความสามารถโดยกำเนิด และกล่าวกันว่ามีแนวคิด "คงที่". ฝ่ายอื่นรู้สึกว่าความสำเร็จเป็นผลจากการทำงานหนัก ความพากเพียร และความมุ่งมั่น. กล่าวกันว่าพวกเขามีแนวคิด "เติบโต". บุคคลที่มีแนวคิด "คงที่" กลัวความล้มเหลวเพราะรู้สึกว่าเป็นการโจมตีความสามารถพื้นฐานของตน. ในขณะที่บุคคลที่มีแนวคิดเติบโตยอมรับความล้มเหลว โดยมองว่าความล้มเหลวเป็นเพียงจุดข้อมูล และเป็นโอกาสในการเรียนรู้และปรับปรุง. จากประสบการณ์ที่ทำงานร่วมกับลูกค้าทั่วโลก และจากการใช้แนวคิดนี้ค่อนข้างเสรี องค์กรต่าง ๆ อาจถูกจำแนกประเภทโดยใช้ความแตกต่างนี้ในลักษณะเดียวกัน. ผู้ที่ "ทุกข์ทรมาน" จากแนวคิด "คงที่" มักจะละทิ้งโอกาสที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยง ซึ่งถูกกระตุ้นเป็นหลักจากความกลัวต่อความล้มเหลว. ในขณะที่องค์กรอื่น ๆ ที่ยึดมั่นในแนวทางการเติบโตนั้นชอบความล้มเหลว ยอมรับจิตวิญญาณแห่งความล้มเหลวอย่างรวดเร็ว และเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว. เราเชื่อว่าเพื่อที่จะแข่งขันได้ในเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องมีแนวคิดการเติบโต ซึ่งการทำเช่นนั้นหมายถึงการก้าวออกจากเขตปลอดภัยที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและตั้งเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน. OKR ใด ๆ ที่เพียงแค่เลียนแบบสถานะเดิมนั้นไม่เพียงแต่จะไม่มีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มที่จะทำให้พนักงานที่มีความสามารถซึ่งกำลังมองหาความหมายและจุดมุ่งหมายในการทำงานรู้สึกแปลกแยกออกไปอีกด้วย. วัตถุประสงค์และผลลัพธ์ที่สำคัญนั้นมีไว้เพื่อขยายขอบเขตขององค์กร โดยท้าทายให้ทีมของเราคิดทบทวนวิธีการทำงานให้เสร็จสิ้นเสียใหม่ ประโยชน์ของ OKR สรุปไว้ใน Exhibit 1.4
-
หน้าที่ 13
[26/204; Location 916/4681]
แหล่งอ้างอิง:
01. จาก. Objectives and Key Results: Driving Focus, Alignment, and Engagement with OKRs, เขียนโดย Paul R. Niven and Ben Lamorte, ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ John Wiley & Sons, Inc, ISBN 978-1-119-25239-9 (ปกแข็ง) นิวเจอร์ซี่, สหรัฐอเมริกา, พ.ศ.2559.
.
.
.