MENU
TH EN

เยือนภารตะ: ชมความศรัทธาอันประจักษ์ในกลุ่มถ้ำเอลโลร่า กลุ่มถ้ำอชันตา และถ้ำเอเลเฟนตา รัฐมหาราษฏระ

Hero Image & Title Thumbnail: ภาพสลักหินนรสิงหาวตาร ตรงมุมซ้ายด้านหน้าโถงถ้ำประธาน ของถ้ำหมายเลข 16 ไกรลาศนาถมนเทียร ของกลุ่มถ้ำเอลโลร่า รัฐมหาราษฏระ ถ่ายไว้เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2567.
เยือนภารตะ: ชมความศรัทธาอันประจักษ์ในกลุ่มถ้ำเอลโลร่า กลุ่มถ้ำอชันตา และถ้ำเอเลเฟนตา รัฐมหาราษฏระ
First revision: Dec.9, 2024
Last change: Jan.28, 2025
บรรยายการท่องเที่ยว นมัสการสิ่ง/สถานที่ที่ศรัทธาพึงเคารพสักการะโดย
อภิรักษ์ กาญจนคงคา.
1.
หน้าที่ 1
       ผมเดินทางไปภารตะอีกครั้ง ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สาม เพื่อชมความมหัศจรรย์ของถ้ำเอเลเฟนต้า กลุ่มถ้ำเอลโลร่า และกลุ่มถ้ำอชันตา ที่รัฐมหาราษฏระ ภารตะ ระหว่างวันที่ 6-12 พฤศจิกายน 2567 โดยไปกับคณาจารย์จากคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ทั้งคณะฯ รวม 26 ท่าน รวม 7 วัน 5 คืน พักเดี่ยวรวมทุกอย่างพร้อมทิปไกด์ท้องถิ่น (คุณวิชาญ) ราว 67,000 บาท.

วันแรก วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2567
 ช่วงเวลา  รายละเอียดกำหนดการ*  การทัศนศึกษาจริง หมายเหตุ และอื่น ๆ
 16:00 น.  คณะฯ (ราว 26 ท่าน) พร้อมกันที่ชั้น 4 ประตู 3 เคาน์เตอร์การบินไทย มีเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ   ผมได้เตรียมกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องบิน ไม่เกิน 20 kg. และ Power Bank นำขึ้นเครื่องฯ 15,000 mAh (milli-Ampere-hour - ซึ่งต่ำกว่า 20,000 mAh สามารถนำขึ้นเครื่องได้) เตรียมปลั๊กแบบสามรู มา 3 อัน เตรียมอาหารแห้ง น้ำปลา หมูหยอง น้ำพริกเผา น้ำพริกปลาย่าง เกี่ยมฉ่ายแบบไทย ๆ ไปด้วย
 และเตรียมกล้องพระเอก Nikon Zf พร้อม Zoom Lens จัดเต็ม เสื้อกันหนาว หยูกยาที่จำเป็นพร้อม สตังค์แลกเป็นรูปี และซื้อยาหม่องตราลิงถือลูกท้อ พร้อมทิป หากเดินเข้าสถานที่สำคัญต่าง ๆ .
 18:55 น.  คณะฯ ออกเดินทางสู่สนามบินฉัตราปตีศิวะจี ภารตะ เมืองมุมไบ (หรือบอมเบย์) รัฐมหาราษฏระ โดยการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 317  รับบริการอาหารเย็นบนเครื่องบิน
 22:00 น.  ถึงสนามบินฉัตราปตีศิวะจี เมืองมุมไบ ตรวจคนเข้าเมือง เดินทางเข้าสู่ที่พักโรงแรม Hotel Kohinoor Continental เมืองมุมไบ ระดับ 4 ดาว  เวลาในภารตะช้ากว่าไทย 1:30 ชั่วโมง
   รับคีย์การ์ดเข้าที่พัก ห้องพักดีมาก สะดวกสบาย แอร์เย็นฉ่ำ เสียบปลั๊กสามรู ต่อกับที่ชาร์ทแบต เรียบร้อย อาบน้ำอาบท่า พักผ่อนเล็กน้อย แล้วหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย  ได้รู้จักไกด์ท้องถิ่นชื่อวิชาญ อุตส่าห์เดินทางมาจากเมืองพาราณสีมายังเมืองมุมไบ ร่วม 1,500 กิโลฯ. ได้สอนคำทักทายประจำวันดังนี้
 สวัสดีตอนเช้า -- ศุภประภาส (Suprabhaat)
 สวัสดีตอนกลางวัน -- นมัสการ (Namaskar)
 สวัสดีตอนเย็น -- ศุภสนธยา (Shub Sundhyaa) หรือ สนธยาวันทัน (Sandhya vandan)
 สวัสดีตอนกลางคืน -- ศุภราตรี (Shub Raatri).
* ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากกำหนดการของคณะผู้จัดทัวร์
1.
       มาถึงเมื่อคืนหากดูตามเวลาเมืองไทย ก็ราวเที่ยวคืนดึกมาก มีสองประเด็นที่ควรกล่าวถึงคือ

       หนึ่ง) แถวคิว ตม. เข้าเมืองของนักท่องเที่ยวต่างประเทศยาวเหยียด การตรวจค่อนข้างช้า ผมสันนิษฐาน อนุมานเอาว่า......
เอาแล้ว โดนัลด์ ทรัมฟ์ จะได้เป็นประธานาธิบดี สหปาลีรัฐอเมริกา แกเน้น America comes first...!!!
และอินเดีย ภารตะ ก็อยู่ในกลุ่ม BRICS - Brazil Russia India China และ South Africa คนละขั้วกัน ....คงตรวจเช็คหนักเรื่อง Spy สายสืบ
เพราะตอนนี้มีช่องว่างแทรกเข้าเมือง ในช่วงเปลี่ยนผ่าน คงต้องเช็คคนเข้าประเทศให้ละเอียด.

       สอง) โรงแรมที่พักชื่อ Kohinoor อยู่กลางกรุงมุมไบ หรือ บอมเบย์ มหาโคตรเพชร "โคอินัวร์"

โคตรเพชร "โคอินัวร์-Kohinoor", ที่มา:https://voices.shortpedia.com/, วันที่เข้าถึง: 10 ธันวาคม 2567.
 
ซึ่งมีประวัติยาวเหยียด เป็นของภารตะมาหลายยุคสมัย ท้ายสุดมาอยู่บนยอดมงกุฎราชินีวิคตอเรีย แห่งจักรวรรดิอังกฤษและบริเทนใหญ่
ตอนนี้เก็บไว้ที่ Tower of London เฮี้ยนมากกกก มีประวัติคำสาป สามารถศึกษาได้จากเว็บไซต์ทั่วไป.
     
       รถราในตัวเมืองมุมไบ ติดมาก บีบแตรกันเป็นระยะ กว่าจะเข้าที่พักหัวถึงหมอนจริง ๆ ก็เกือบตีสอง.

 

ประติมากรรมโลหะเป็นรูปช้างสองเชือก ในอาคารผู้โดยสารใหม่ (SAT-1) สนามบินสุวรรณภูมิส่วนขยาย, ถ่ายไว้เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2567.
1.
หน้าที่ 2
วันที่สอง วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2567
 ช่วงเวลา  รายละเอียดกำหนดการ*  การทัศนศึกษาจริง หมายเหตุ และอื่น ๆ
   ผมตื่นแต่เช้าราวตี 4 อ่านหนังสือ เขียนไดอะรี่ และเนื้อหาอื่น ๆ ลง Website ทำธุระส่วนตัว ชาร์ทแบต ลงมาเดินในตัวโรงแรม แล้วทานอาหารเช้าในโรงแรม ซึ่งออกแนวมังสะวิรัติ มีนม มีไข่เสริม เรียนตรง ๆ ไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร แต่ดูคุณภาพอาหารค่อนข้างดี ทานร่วมกับเพื่อน ๆ ในทริป ทำความรู้จัก
 - สักพัก ผมก็ขอตัวไปอาบน้ำแต่งตัว 
 
09:00 น.  ล้อรถหมุน ไกด์ก็กล่าวกำหนดการในวันนี้ ให้สมาชิกในคณะฯ แนะนำตัว ทำความรู้จักกัน.
 - คณะฯ มายังพิพิธภัณฑ์ฉัตรปาตี ศิวจี มหาราช วัสตุ สังเคราะหลัย (CSMVS - Chhatrapati Shivaji Maharaj Vastu Sangrahalaya) หรือพิพิธภัณฑ์ Prince of Wales ซึ่งมีโบราณวัตถุที่รวบรวมมาจากหลายพื้นที่ในภารตะ และมีภาพเขียนด้วยสีประเภทต่าง ๆ ที่น่าสนใจ
 ด้วยผมเคยมาพิพิธภัณฑ์นี้มาแล้วเมื่อปีกลาย ผมเลยมุ่งไปถ่ายภาพส่วนที่ยังขาด คืนด้านขวาชั้นสองของอาคาร จะมีภาพเขียนมากมาย ส่วนในเป็นเรื่องของพระกฤษณะและนางราธา อาวุธสงครามในยุคต่าง ๆ 
 เที่ยง  หลังจากชมพิพิธภัณฑ์เสร็จ ก็ขึ้นรถมาใกล้ ๆ ย่านประตูสู่อินเดีย (Gateway of India) รถเยอะมากต้องแวะจอดให้คณะฯ ลงไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารจีน แล้วรถก็จะวนมารับเราเมื่อทานเสร็จ
 อาหารดีมาก มีพริกน้ำปลา มีน้ำพริกเสริม ถูกปาก ได้คุยกับเพื่อน ๆ ในทริป ชักคุ้นกันแล้วหลายท่านเจตคติ สารเคมีตรงกัน คุยกันได้ออกรส.
 - ทางไกด์ได้นำคณะฯ ชมความงามของนครลอนดอนแห่งภารตะ มีอาคารที่มีสถาปัตยกรรมงดงาม เมื่อช่วงอังกฤษปกครองภารตะ มีทั้งแบบโกธิค แบบภารตะผสมอาหรับ เช่น สถานีรถไฟวิคตอเรียเทอร์มินัล ที่ทำการรัฐบาลและอาคารมหาวิทยาลัย (ไม่ได้เข้าชม เพียงเป็นโบรชัวร์ กำหนดการเท่านั้น)
 - ชมประตูสู่อินเดีย (Gateway of India Mumbai) ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลอาระเบียน ซึ่งพระเจ้าจอร์จที่ 5 ได้เสด็จเยือนภารตะในปี ค.ศ.1911 ซุ้มประตูนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงพระเจ้าจอร์จที่ 2 เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างศิลปะโรมันและภารตะและอาหรับเข้าด้วยกัน.
 
(เครดิตภาพ - เพื่อน ๆ ในทริป)
 ช่วงบ่าย  จากนั้นรถก็มาส่งคณะฯ ณ จุดที่ใกล้ประตูสู่อินเดีย แล้วมารอเตรียมขึ้นเรือเพื่อไปเกาะช้าง (Elephanta) อากาศร้อนอบอ้าว พอขึ้นเรือก็หาที่นั่งกับตามอัธยาศัย สนุกดี คนเยอะเต็มลำ เรือใช้เวลาเดินกว่าชั่วโมง ก็มาถึงเกาะเอเลเฟนต้า
 ยังมีรถไฟเล็ก ๆ Local Made วิ่งได้ระยะทางราวกิโลฯ เศษ เพื่อเชื่อมต่อไปยังเชิงเขาเอเฟนต้า แปลกดี ระยะทางสั้น ๆ ตอนรอขึ้นรถไฟแดดก็ร้อน ซึ่งความจริงเดินเอาก็ได้ หรือทางภาครัฐก็ทำเป็นหลังคาคลุมทางเดินไว้ แต่พอคิดอีกมุมหนึ่ง การทำรถไฟสายสั้น ๆ ก็สามารถเก็บสตังค์ได้.
 - คณะฯ เดินขึ้นเนินเขาอีกเล็กน้อยก็ถึงถ้ำเอเลเฟนต้า คนเยอะมาก มีลิงป่ายปีนกันตามสมควร ทะเลาะกันบ้างโครม ๆ บนหลังคาสังกะสีของร้านรวงข้างทาง
 - ไกด์วิทยากรก็ได้บรรยาภาพสลักหินทรายตามจุดต่าง ๆ
 - ผมเดินตามชมบ้าง แยกตัวไปถ่ายเก็บภาพบ้าง
 - ได้เวลาสมควรก็เดินทางกลับ ขณะนั่งเรือกลับนั้น ก็มีนกนางนวล หลายสิบตัวบินตามเรือ คอยรับเศษอาหารที่ผู้โดยสารยื่นและโปรยให้ สวยงามดี แต่ไม่ค่อยได้เห็นแสงอาทิตย์ชัด ๆ ฟ้าขมุกขมัว
 - เกาะเอเลเฟนต้า (Elephanta Island) น้้น เดิมตามภาษาท้องถิ่นชื่อ Guarapuri มีขนาดพื้นที่ราว 60 ตารางกิโลเมตร ชื่อ เอเฟนต้ามาจากชาวโปรตุเกส ซึ่งเห็นหินแกะสลักบะซ้อลต์ขนาดใหญ่เป็นรูปช้างปรากฎให้เห็นแต่ไกล.
 - ทหารโปรตุเกสใช้เป็นเป้ายิง ชำรุดไปบ้าง ปัจจุบันช้างหินสลักนี้ ย้ายมาอยู่ที่หน้าสวนสัตว์ Byculla ใกล้พิพิธภัณฑ์ The Bhau Daji Lad ชานเมืองมุมไบ.
 เย็น-ค่ำ  - คณะฯ มาถึงฝั่งประตูสู่อินเดีย ก็เดินฝ่าคลื่นมหาชน หลายพัน (อาจนับหมื่น) - สันนิษฐานว่าชาวเมืองมุมไบมาพักผ่อน ชมเที่ยว รับลมริมทะเล ซึ่งเป็นการหาความสุข ผ่อนคลายได้ง่าย ๆ, คณะฯ ก็ขึ้นรถโค้ชกลับโรงแรมโคอินัวร์.
 - ในตัวเมืองมุมไบ รถติดมาก กว่าจะถึงที่พักก็ร่วม 3 ทุ่ม
 
 อาหารค่ำ  - คณะฯ ทานอาหารค่ำในค้อฟฟี่ช้อปของโรงแรม คุยกันไป สักพัก ผมก็ขอกลับเข้าห้อง เพื่อพักผ่อนเตรียมทัศนศึกษากันต่อในวันพรุ่งนี้.  
* ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากกำหนดการของคณะผู้จัดทัวร์
1.
      
ภาพด้านซ้าย: ประติมากรรมเศียรพระบรมศาสดาขณะบรรทม ประดิษฐาน ณ ด้านหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์ CSMVS, และภาพด้านขวา: ถ่ายจากหน้าสนามลานกว้างตรงหน้าพิพิธภัณฑ์ CSMVS, ถ่ายไว้เมื่อ 7 พฤศจิกายน 2567.
1.
         
ภาพจากซ้ายไปขวา: ประติมากรรมศิวนาฏราช ประดิษฐาน ณ กลางห้องโถงของพิพิธภัณฑ์ CSMVS และภาพบนเปลือกไม้ "สิบหกรูปลักษณ์ของพระคเณศ" จัดวางไว้บนฝาผนังด้านขวาในชั้นล่างของอาคารพิพิธภัณฑ์, ถ่ายไว้เมื่อ 7 พฤศจิกายน 2567.
1.
      
ภาพจากซ้ายไปขวา: ประตูสู่อินเดีย (Gateway of India) (เครดิตภาพ - เพื่อน ๆ ในทริป) และโรงแรมทัชมาฮาล ทาวเวอร์ มุมไบ (Taj Mahal Tower Mumbai) ยามสนธยา, ถ่ายไว้เมื่อ 7 พฤศจิกายน 2567.

      
จากซ้ายไปขวา: ผมถ่ายกับรูปหินทรายสลักพระมหาเทพ (Mahadev) หรือ พระสทาศิวะ (सदाशिव - Sadāśiva) และรูปหินทรายสลักราวณะนุเคราะห์-มูรติ (Ravananugraha-Murti - Ravana Shaking Mountain Kailasa)

1.
      
ภาพจากซ้ายไปขวา: Arha-Nāriśvara Śiva กึ่งบุรุษเพศกึ่งสตรีเพศ และลานกว้างหน้าวิหารด้านขวา (เครดิตภาพ - เพื่อน ๆ ในทริป)
1.
      
วิหารของพระศิวะ แสดงศิวะลึงก์ตรงกลางวิหาร อยู่ในห้องโถงใหญ่ของถ้ำ เยื้องมาด้านซ้าย, ภาพสลักใกล้ ๆ กันให้ห้องโถงใหญ่ของวิหารประกอบด้วย Arha-Nāriśvara Śiva  และ พระมหาเทพ (Mahadev) หรือ พระสทาศิวะ (सदाशिव - Sadāśiva) (เครดิตภาพ - เพื่อน ๆ ในทริป)
1.
      
ภาพจากซ้ายไปขวา: ผมกำลังถ่ายทวารบาลหน้าวิหารพระศิวะ และวิหารพระศิวะอีกมุมหนึ่ง. (เครดิตภาพ - เพื่อน ๆ ในทริป)
1.
      
ภาพจากซ้ายไปขวา: ภาพนกนางนวลบินตามเรือโดยสารเพื่อขออาหารระหว่างกลับจากถ้ำเอเลเฟนต้ามายังประตูสู่อินเดีย (เครดิตภาพ - เพื่อน ๆ ในทริป) , ประตูสู่อินเดีย ยามสนธยา (คนเยอะมากหลายพัน อาจจะร่วมหมื่น มาเดินเที่ยวในบริเวณนี้)

1.
หน้าที่ 3
วันที่สาม วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2567
 ช่วงเวลา  รายละเอียดกำหนดการ*  การทัศนศึกษาจริง หมายเหตุ และอื่น ๆ
 เช้า  ตื่นนอน รับประทานอาหารเช้าในค้อฟฟี่ช้อบของโรงแรม  เช็ค-เอ้าท์
ช่วงเช้า  คณะฯ เข้าชมและสักการะพระคเณศหรือที่คนไทยมักจะเรียกว่าพระพิฆเนศ ที่ศรีสิทธิวินายกคณปติมนเทียร (Shree Siddhivinayak Ganapati Mandir) อันเป็นโบสถ์พราหมณ์-ฮินดูที่บูชาพระคเณศ ตั้งอยู่ในประภาเทวี (Prabhadevi) มุมไป รัฐมหาราษฎระ ภารตะ. มนเทียรแห่งนี้สร้างโดยลักษมัณ วิธู (Laxman Vithu) และเทวบาอี ปฏีล (Deubai Patil) เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2344/ ค.ศ.1801 ศรีสิทธิวินายกมนเทียรนี้ เป็นหนึ่งในมนเทียรที่ร่ำรวยที่สุดในภารตะ ภายในมนเทียรมีมณฑปขนาดเล็กซึ่งได้ประดิษฐานพระสิทธิวินายก (Siddhivinayak) หมายถึง "พระคเณศผู้ประทานความสำเร็จดังประสงค์ - Ganesha who grants your wish."
 - จากนั้น คณะฯ จะเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ดร.ภาอู ดาจี ลาฑ (Dr.Bhau Daji Lad) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดในมุมไบ ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับสวนสัตว์ไบกุลลา (Byculla, Byculla East) ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2398 เพื่อเป็นคลังสมบัติของศิลปะการตกแต่งและอุตสาหกรรม ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ ดร.ภาอู ดาจี ลาฑ.
 - แต่คณะฯ ก่อไม่ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ ดร.ภาอู ดาจี ลาฑ เพราะกำลังตบแต่งภายในใหม่ จึงเข้าชมสวนสัตว์ไบกุลลา (Byculla) และปืนใหญ่โบราณของโปรตุเกส ตลอดจนหินบะซอลต์ที่สลักเป็นรูปช้าง ที่เคลื่อนย้ายมาจากถ้ำเอเลเฟนต้า แทน.
เที่ยง  พักรับประทานอาหารกลางวัน แล้วเดินทางต่อไปยังเมืองโลนาวาลา (Lonavala) ถัดจากเมืองโลนาวาลาราว 10.9 กิโลฯ ก็ถึงหมู่ถ้ำการละ  แวะร้านอาหารข้างทาง นำอาหารกล่องที่ทางไกด์เตรียมไว้มารับประทานกัน. แวะเข้าห้องน้ำบ้าง แต่มีไม่ค่อยมากนัก ต้องหาปั๊มใหญ่ ๆ จริง ๆ จึงจะมีห้องน้ำที่สะดวก แต่นาน ๆ ไกล ๆ ก็เจอที ส่วนใหญ่จะใช้แบบ ปตท. (ไปตามทุ่ง) แทน
ช่วงบ่าย  - คณะฯ เข้าชมหมู่ถ้ำการละ หรือ การเล หรือ การลี (Karla Cabes, Karli Cabes, or Karle Caves) อันเป็นภาษาสันสกฤต ซึ่งหมายถึง ภูเขาสีดำ ถ้ำนี้อยู่ห่างจากมุมไบไปทางทิศเหนือ ประมาณ 32 กิโลเมตรและอยู่ห่างจากสถานีรถไฟโบรีวาลี ซึ่งเป็นเส้นทางนอกเมืองสายตะวันตกไป 8 กิโลเมตร.
 - ถ้ำการ์ลีเป็นหมู่ถ้ำหินที่เจาะเข้าไปในภูเขาเพื่อใช้เป็นศาสนสถานหรือเป็นวัด วิหาร เจดีย์ และกุฏิที่พำนักของภิกษุสงฆ์ ในภูเขาหลาย ๆ ลูกที่เชื่อมต่อเนื่องกัน ซึ่งทำให้มีถ้ำหินจำนวนมาก.
 - ถ้ำการ์ลีเคยเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนามาหลายศตวรรษ ในถ้ำมีการเจาะเป็นเซลห้องเดี่ยวเล็ก ๆ และมีเฉลียงข้างหน้าในแต่ละเซล ถ้ำเหล่านี้สร้างขึ้นราวต้นพุทธศตวรรษที่ 5-6
 - ถ้ำและวัดในภารตะแถบตะวันตกนี้ มีลักษณะสำคัญ 2 ประการคือ
    1). แบบหินยานยุคแรก มักมีมาก่อนกลางพุทธศตวรรษที่ 5
    2). แบบมหายานยุคหลัง มักมีที่มาหลังพุทธศตวรรษที่ 6 
 - เมื่อมาถึงเชิงเขาก่อนขึ้นไปชมถ้ำ คณะฯ ก็ต้องแบ่งกันนั่งรถตุ๊ก ๆ ท้องถิ่นจุคันละ 4-5 คน ช่างซิ่งเหลือเกิน ซึ่งดูแล้วไม่จำเป็นต้องเร่งขนาดนั้น หวาดเสียวพอควร นับเป็นหนึ่งใน Amazing Bharata จริง ๆ .
 เย็น-ค่ำ  - คณะฯ ออกเดินทางสู่เมืองปุเณ (Pune) ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร ประมาณการว่าจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง.
 - เมืองปุเณ เป็นเมืองที่ให้กำเนิดองค์พระคเณศ เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของรัฐมหาราษฏระ อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 560 เมตร บนที่ราบสูงเดคคานฝั่งขวาของแม่น้ำมธุรา.
 - รถติดมาก ๆ มีการก่อสร้างถนนสลับกับถนนปกติเป็นระยะ พอเข้าในตัวเมืองปุเรก็รถติด กว่าจะถึงโรงแรมก็ 2 ทุ่มกว่า ๆ .
 ค่ำ  - คณะฯ เข้าพักในโรงแรม Royal Orchid ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า รับประทานอาหารค่ำในโรงแรม และพักผ่อนตามอัธยาศัย.  
* ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากกำหนดการของคณะผู้จัดทัวร์
1.
         
ภาพจากซ้ายไปขวา: พระพิฆเนศ และประติมากรรมนูนต่ำ กำแหงหนุมาน ณ ศรีสิทธิวินายกคณปติมนเทียร.
1.

ผมซื้อชุดดอกไม้เครื่องสักการะพระคเณศที่ด้านหน้ามนเทียร และเมื่อเสร็จจากสักการะพระพิฆเนศแล้ว ผมซื้อดอกไม้โดยเฉพาะกุหลาบอินเดีย (Indian Roses) กลับ (เครดิตภาพ - เพื่อน ๆ ในทริป) .
1.
        
ภาพจากซ้ายไปขวา: วิชาญไกด์ท้องถิ่น กำลังโชว์ลูกคอ เพลงสามพี่น้อง (Yaadon Ki Baaraat) จากภาพยนตร์อินเดีย เคยมาฉายที่เมืองไทยเมื่อปี พ.ศ.2516 และร้องบทสวดขอพรและสรรเสริญพระเจ้าที่เขาจะสวดทุกเช้าให้ฟัง (แสดงถึงวัฒนธรรมฮินดูที่หยั่งรากถึงชีวิตประจำวันของชนชาวภารตะ) และประติมากรรมช้างจากหินบะซอลต์ที่วางอยู่ด้านหน้า ข้างประตูเข้าสวนสัตว์ไบกุลลา เดิมอยู่ที่บริเวณถ้ำเอลเลเฟนต้า เคยถูกปืนใหญ่จากโปรตุเกส (ซ้อมยิง) ช่วงยุคการล่าอาณานิคมและการเสาะแสวงหาเครื่องเทศ ซึ่งต่อมาจักรวรรดิอังกฤษพยายามจะยกช้างนี้ด้วยเครนเพื่อขึ้นเรือไปอังกฤษ ทว่าได้หล่นแตกเสียหาย ต่อมาก็มีผู้นำมาประกอบใหม่และจัดวางไว้หน้าพิพิธภัณฑ์นี้.
1.
        
ภาพจากซ้ายไปขวา: ใกล้ ๆ ประติมากรรมช้างจากภาพข้างต้น จะมีปืนใหญ่ของโปรตุเกส สังเกตตัวปืนจะมีตราพระลัญจกรของกษัตริย์โปรตุเกสด้วย, ปืนใหญ่เบาแบบเคลื่อนที่ได้โบราณของจักรวรรดินิยมล่าเมืองขึ้นที่วางไว้ในสวนสัตว์ไบกุลลา.
1.
         
ภาพจากซ้ายไปขวา: เมื่อมาถึงเชิงเขาก่อนจะขึ้นไปชมถ้ำการละ จะมีรถตุ๊ก ๆ แสนซิ่งเรียงรายจอดพร้อมให้บริการ, เสาสิงห์ที่ตั้งไว้ด้านหน้าของมหาเจดีย์ (มหาไจตยะ) Main Chaitya ถ้ำการ์เล อายุราว ค.ศ.50-70, ธรณีวิทยา: หินบะซอล์ต.
1.
      
1.
หน้าที่ 4
วันที่สี่ วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2567
 ช่วงเวลา  รายละเอียดกำหนดการ*  การทัศนศึกษาจริง หมายเหตุ และอื่น ๆ
 เช้า  ตื่นนอน รับประทานอาหารเช้าในค้อฟฟี่ช้อบของโรงแรม Royal Orchid  เช็ค-เอ้าท์
 ผมมาเดินเล่นออกกำลังกาย เดินมาบนดาดฟ้า ส่วนที่มีสระว่ายน้ำของโรงแรม เจอเพื่อนในทริปหลายท่านก็มาเดินเล่นชมวิวมุมสูงของเมืองปุเณด้วย ได้คุยกัน และเห็นรถรางไฟฟ้าเมืองปุเณแล่นผ่าน เมืองนี้เป็นเมืองอุตสาหกรรมของรัฐมหาราษฎระ
ช่วงเช้า   - คณะฯ เดินทางไปเมืองออรังคบาด (Aurangabad) ซึ่งยังอยู่ในรัฐมหาราษฏระ ระยะทางราว 237 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 5:30 ชั่วโมง เมืองออรังคบาดนี้ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สี่ของรัฐมหาราษฏระ มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญคือกลุ่มถ้ำ อชันต้า กลุ่มถ้ำเอลโลร่า ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก ตั้งแต่ปี ค.ศ.1938 ในอดีดเมืองออรังคบาดมี 52 ประตูเมือง จึงเป็นที่มาของสมญานามเมืองแห่งประตูเมือง (City of Gates) ในปี ค.ศ.2019  - คณะฯ ผ่านพระราชวังแห่งหนึ่งหรือป้อมศิวเนรีในเมืองปุเณ ซึ่งฉัตรปตี ศิวาจี มหาราชา01 เคยประทับเมื่อทรงพระเยาว์
 - แวะชมวัดฮินดูในกลางเมืองปุเณโดยมีพระคเณศเป็นประธานชื่อวัดศรีมันทะ ทักทุเศธ ฮาวาล กันปาตี มนเทียร (Shrimant Dagdusheth Halwai Ganpati Mandir) .
 - จากนั้นก็ตรงเข้าสู่เมืองออรังคบาด ระหว่างทางมีวัดฮินดูแสดงรูปปั้นกำแหงหนุมานขนาดใหญ่อยู่ด้วย.
เที่ยง  รับประทานอาหารกลางวัน  
ช่วงบ่าย  - คณะฯ เข้าชมกลุ่มถ้ำออรังคบาด ตั้งอยู่บนเทือกเขาออรังคบาด มีทั้งหมด 13 ถ้ำ เป็นถ้ำทางพระพุทธศาสนาแบ่งเป็นพุทธวิหาร 12 ถ้ำ และเจติยสถาน 1 แห่ง สร้างในยุคพุทธศาสนามหายาน ลัทธิตันตระกำลังเฟื่องฟู  พร้อมชมทัศนียภาพของเมืองออรังคบาดมุมสูง  
 เย็น  - เดินทางเข้าเมืองออรังคบาด  
 ค่ำ  - คณะฯ เข้าพักในโรงแรม Hotel Rama International  - โรงแรมหรูดูดีมาก
* ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากกำหนดการของคณะผู้จัดทัวร์
หมายเหตุ
01. ฉัตรปตี ศิวาจีราเช โภสเล (มราฐี: छत्रपती शिवाजीराजे भोसले; Shivaji Shahaji Bhonsale, 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1630 – 3 เมษายน ค.ศ. 1680) เป็นจักรพรรดิองค์แรกแห่ง จักรวรรดิมราฐา ครองราชย์ตั้งแต่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1674 ถึง 3 เมษายน ค.ศ. 1680 เป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดชาตินิยมต่อ มหาตมา คานธี และนักสู้เพื่ออิสรภาพชาวอินเดียอีกหลาย ๆ คน.

1.
         
ภาพจากซ้ายไปขวา: พระราชวังเดิมหรือป้อมศิวเนรีในเมืองปุเณ ขณะที่ฉัตรปตี ศิวาจี มหาราชาเคยประทับเมื่อทรงพระเยาว์ (เครดิพภาพ - เพื่อน ๆ ในทริป), พระคเณศภายในวัดศรีมันทะ ทักทุเศธ ฮาวาล กันปาตี มนเทียร.
  
 
หน้าที่ 5
วันที่ห้า วันอาทิตย์ 10 พฤศจิกายน 2567
 ช่วงเวลา  รายละเอียดกำหนดการ*  การทัศนศึกษาจริง หมายเหตุ และอื่น ๆ
06:00 น.  - คณะฯ รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม  - ยังไม่เช็คเอาท์ นอนที่นี่อีกคืน
 - อาหารเช้าในโรงแรมดีมาก หลากหลาย สะอาดน่าทาน เห็นกลุ่มทัวร์อื่น ๆ มาพักในโรงแรมนี้ด้วย มีทั้งชาวไทยและชาวญี่ปุ่น
เช้า  - คณะฯ เดินทางมายังกลุ่มถ้ำอชันตาอันยิ่งใหญ่ ชมความอลังการของสถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างขึ้นโดยแรงบันดาลใจของพุทธมามกะ มีการเจาะเป็นถ้ำขนาดใหญ่อันวิจิตร เป็นศิลปะแบบคุปตะและหลังคุปตะ ซึ่งมีอายุมากกว่า 2,000 ปี.
 - ณ กลุ่มถ้ำอชันตานี้ เป็นพุทธสถานที่สร้างจากการสกัดหน้าผาหินหุบเขาเหนือแม่น้ำวโฆระ เป็นศูนย์กลางสำนักปฏิบัติของเหล่าสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เมื่อพุทธศตวรรษที่ 7-13 สืบเนื่องกว่า 600 ปี ก่อนถูกทิ้งให้รกร้างกลางป่า และมาถุกค้นพบอีกครั้งโดยบังเอิญจากนายทหารอังกฤษ.
 - ภายในกลุ่มถ้ำขนาดมหึมากว่า 30 ถ้ำนี้ ด้วยฝีมือมนุษย์สลักเสลาเป็นเสาประดับลวดลายอันงดงาม มีพระพุทธรูป และเจดีย์ศิลาที่สกัดและตบแต่งขึ้นจากหินชิ้นเดียวกับพื้นและผนังถ้ำภาพจิตรกรรมฝาผนังอายุกว่า 1,200 ปี มีความงดงามสมบูรณ์ด้วยเทคนิคการเขียนภาพสามมิติอันน่าอัศจรรย์.
 - พระพุทธศิลาที่แสดงอารมณ์พระพักตร์ต่างกันเมื่อแสงตกสะท้อนจากต่างมุม ก็ให้เกิดความน่าพิศวงมิรู้ลืม.
 - คณะฯ ออกจากโรงแรมแต่เช้าเพื่อเข้าชมกลุ่มถ้ำอชันตา
     
     
     
     
* ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากกำหนดการของคณะผู้จัดทัวร์
1.
หน้าที่ 6
วันที่หก วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2567
 ช่วงเวลา  รายละเอียดกำหนดการ*  การทัศนศึกษาจริง หมายเหตุ และอื่น ๆ
     
     
     
     
     
     
* ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากกำหนดการของคณะผู้จัดทัวร์
หน้าโรงแรมมีรูปปั้นม้ากำลังคะนองสองตัว สังเกตดูตรงหน้าอกม้ามีตราพระอาทิตย์ หรือสุริยเทพ สันนิษฐานว่านี่เป็นการจำลองม้าสำคัญในมหากาพย์มหาภารตะเกี่ยวกับเรื่องพิธีราชสูยะหรืออัศวเมธ นั่นเอง.



1.
หน้าที่ 7
วันที่เจ็ด วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2567
 ช่วงเวลา  รายละเอียดกำหนดการ*  การทัศนศึกษาจริง หมายเหตุ และอื่น ๆ
     
     
     
     
     
     
* ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากกำหนดการของคณะผู้จัดทัวร์
1.
2.
3.

 
humanexcellence.thailand@gmail.com