ภาพหินแกะสลัก วามนาวตาร, ที่มา: th.wikipedia.org สร้างสรรค์โดย Sudhamshu Hebbar, วันที่เข้าถึง: 1 กรกฎาคม 2567.
นารายณ์อวตาร ตอนที่ 5
วามนาวตาร01.
First revision: Nov.08, 2015
Last change: Jul.1, 2024
สืบค้น รวบรวม เรียบเรียง และปริวรรตโดย อภิรักษ์ กาญจนคงคา
อันจะกล่าวถึงท้าวพลีอสุราช เอารสท่านประหลาดกุมารศรี
หยาบช้าพาลหมายครอบครองจักรวาล บุกทำลายยึดครองทั้งไตรภพ
พระวิษณุเทพเสด็จอวตาร เป็นพราหมณ์เตี้ยพิกลพิการไน้เภทภัย
หลอกของแผ่นดินสามย่างก้าว ห้ามพลีหลงการสิ้นเดชานุภาพพาล
ที่มา: icenattapachara.blogspot.com/2011/10/blog-post_9144.html, วันที่สืบค้น 25 พ.ย.2558.
วามนาวตาร (VAMANA AVATARA) ในตอนนี้ ต้องเท้าความถึงตอนที่ 3 เล็กน้อย เพราะมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ จอมแทตย์หิรัณยากษะ นั้นก็มีโอรสนามว่า "ประหลาท" ผู้ยึดมั่นภักดีในพระนารายณ์เป็นอย่างมาก จนท้าวประหลาทได้ชื่อว่าเป็นจอมแทตย์ผู้อยู่ในศีลในธรรม ได้รับความเคารพนับถืออย่างมาก ต่อมาท้าวประหลาทมีโอรสองค์หนึ่งนามว่า "วิโรจนะ" ซึ่งเป็นพญาแทตย์อีกตนหนึ่งที่ชอบศึกษาคัมภีร์พระเวท จนเรียกได้ว่าเกือบบรรลุในโมกษะ เพียงแต่ตอนหลังนั้น เขาเกิดทรรศนะที่ผิด ๆ ว่าอาตมันที่แท้จริงนั้นก็คือตัวของเขา ต่อมาวิโรจนะได้ให้กำเนิดโอรสองค์หนึ่ง นามว่า "พลี หรือ พะลี" ซึ่งถือว่าเป็นจอมแทตย์อีกตนหนึ่งที่เก่งกาจมาก โดยถ้าจะไล่ต้นตระกูลการกำเนิดแล้ว สายตระกูลของท้าวพลีนั้น ก็มีกำเนิดมาจากสายเดียวกับพวกเหล่าเทวดา คือมี พระพรหมเป็นปฐมวงศ์.
พระพรหมธาดา ทรงสร้างพรหมบุตรขึ้นมาหนึ่งตนนามว่า "ปริจะ" จากนั้นปริจะได้ให้กำเนิดเทพบิดรองค์สำคัญก็คือ "พระกัศยป" อันเป็นทั้งพระชนกของฝ่ายอสูรและเทพนั่นเอง พระกัศยปเทพบิดรนี้เองที่เป็นผู้ให้กำเนิดจอมแทตย์ฝาแฝด 2 ตนที่มีนามว่า "หิรัณยากษะ กับ หิรัณยกศิปุ" อันเป็นต้นวงศ์อสูรที่สืบต่อกันจนมาถึงท้าวพลี อันเป็นเหลนทวดของหิรัณยกศิปุนั่นเอง กล่าวกันว่าท้าวพลีผู้นี้ เคยเข้าร่วมในเทวาสงครามเมื่อครั้นที่มีการกวนเกษียรสมุทรมาแล้วด้วย แต่ถูกเหล่าเทวดาสังหารในตอนกวนน้ำอมฤต พวกอสูรเมื่อแตกทัพต่างรีบหลบหนีทิ้งสวรรค์ลงมาในทันที โดยนำศพของท้าวพลีนี้กลับมาด้วย เมื่อกลับมาถึงดินแดนของตน ท้าววิโรจนะได้ขอร้องให้พระศุกราจารย์ ช่วยใช้มนต์ชื่อ "สัญชีวินี" ชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ พอท้าวพลีได้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ก็เริ่มประกอบพิธีกรรมเพื่อเพิ่มฤทธานุภาพของตน จนเวลาผ่านไปหลายปีจึงสำเร็จได้ดังประสงค์ ท้าวพลีก็ไม่รอช้า สั่งให้โอรสของตนนามว่า "พาณาสุระ" ซึ่งเป็นอสูรที่มีแขนถึง 1,000 แขนและมีฤทธิ์มาก ให้รีบจัดเตรียมกองทัพแทตย์กองทัพใหญ่ เพื่อกรีธาทัพไปตีเหล่าเทวดาบนสรวงสวรรค์ที่ได้เคยสังหารตน.
ฝ่ายพระอินทร์เมื่อทรงทราบว่าเหล่าแทตย์ที่นำทัพโดยพาณาสุระ ได้เคลื่อนทัพมาประชิดสวรรค์ แล้วจึงเรียกประชุมเหล่าเทวดา เพื่อทำการตั้งรับและตอบโต้ในทันที การรบนี้ได้ดำเนินไปอยู่นาน พระอินทร์เห็นว่ากองทัพอสูรของท้าวพลีซึ่งนำทัพมาโดยพาณาสุระนี้มีกำลังมากเกินกว่าที่จะรับมือไหว จึงทรงเรียกพระพฤหัสปติ ผู้เป็นปุโรหิตมาเข้าเฝ้า แล้วทรงไต่ถามถึงกองทัพของเหล่าอสูรในครั้งนี้ว่าทำไมมีกำลังเข้มแข็งเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่เหล่าเทวดาได้กินน้ำอมฤตมากันแล้ว ก็ยังไม่อาจต้านทานเหล่าอสูรชุดนี้ได้ พระพฤหัสปติจึงทูลว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะท้าวพลีนั้นได้ประกอบยัชญพิธีมากมายจนมีฤทธิ์มีเดชมาก อีกทั้งโอรสของท้าวพลีที่มีนามว่า พาณาสุระ นั้นได้ชื่อว่าเป็นอสูรที่ภักดีต่อพระศิวะเจ้ามาก ไม่ว่าพระศิวะจะเสด็จไปจาริกหรือไปบำเพ็ญตบะที่ไหน พาณาสุระนี้ก็จะติดตามไปปรนนิบัติพัดวีและคอยเป็นธุระให้พระศิวะเสมอไป จนเป็นที่โปรดปรานของพระศิวะยิ่ง ถึงกับทรงประทานพรว่าให้พาณาสุระนี้มีฤทธิ์มากมายจนไม่มีเทวดาตนใดสามารถต้านทานได้ อีกทั้งยังสามารถทูลเชิญให้พระศิวะมาร่วมรบได้ทุกเมื่อด้วย ยิ่งไปกว่านั้น พระศิวะเจ้าได้ประสาทพรไว้ว่าผู้ที่จะสามารถสังหารพาณาสุระได้มีแต่พระกฤษณะเพียงผู้เดียว ซึ่งก็ยังไม่ถึงเวลาที่พระวิษณุเจ้าจะอวตารลงไปเกิดเป็นพระกฤษณะ พระศิวะยังได้ทรงมอบหมายให้พระศุกร์ซึ่งเป็นเทพฤๅษีไปเป็นปุโรหิตครูอาจารย์ฝ่ายท้าวพลีอีกด้วย เรียกได้ว่ามีทั้งฤทธิ์ของตนแล้วยังได้มันสมองของพระศุกราจารย์มาช่วยอีกแรง จึงเป็นการยากที่จะเอาชนะกองทัพของท้าวพลีได้.
พระพฤหัสปติ ได้กล่าวบอกกล่าวพระอินทร์ว่า เป็นคราวเคราะห์ และแนะนำให้พระอินทร์ กับเหล่าเทวดาทิ้งสวรรค์ไปหลบซ่อนตัวกันซักพัก อย่าฝืนทำสงครามต่ออีกเลย ยิ่งสู้ไปก็ยิ่งแพ้อีก ทั้งควรไปขอความช่วยเหลือจากพระวิษณุให้ช่วยแก้ไขจะดีกว่า.
พระอินทร์และเหล่าเทวดาได้ทำตามคำแนะนำของพระพฤหัสปติ โดยรีบแปลงกายเป็นสัตว์ไปหลบซ่อนยังโลกมนุษย์เพื่อลี้ภัยในครั้งนี้ โดยพระอินทร์ได้ทรงแปลงกายเป็นนกยูงแล้วรีบเดินทางไปยังภูเขาเหมะกูฏ เพื่อเข้าเฝ้าทูลขอความช่วยเหลือจากพระกัศยปเทพบิดรและนางอทิติเทพมารดร ฝ่ายพระกัศยปเทพบิดรให้นางอทิติทำการสวดมนต์บูชาพระวิษณุให้ทรงมาทำการช่วยเหลือพระอินทร์โอรสของตน พระวิษณุเมื่อได้ยินคำอ้อนวอนของสาวกผู้ภักดีอย่างนางอทิติเช่นนี้แล้วก็ไม่ทรงรอช้า รีบไปปรากฎต่อหน้านางอทิติ แล้วกล่าวกับนางอทิติว่า "โอ้มหาเทวีอทิติ เรานั้นได้รับทราบการอ้อนวอนจากท่านแล้ว อีกไม่ช้าไม่นานเราจะอวตารลงมาเกิดเป็นโอรสของท่าน เพื่อสยบท้าวพลีและพาณาสุระให้สงบลงเอง" จากนั้นไม่นาน นางอทิติก็ได้ทรงครรภ์ แล้วประสูติโอรสออกมาเป็นเพศชายที่มีลักษณะเป็นคนแคระ พระกัศยปเทพฤๅษี จึงตั้งชื่อให้ว่า "วามน" อันแปลว่า สั้น, ต่ำเตี้ย หรือ คนแคระนั่นเอง.
วามนนั้นถือว่าได้กำเนิดในวรรณะพราหมณ์ตามแบบพระกัศยปเทพมุนี เมื่อเติบโตจึงเริ่มศึกษาพระเวท พิธีกรรมและศาสตร์ต่าง ๆ ของพราหมณ์อย่างมากมาย จนแตกฉานแต่เยาว์วัย. เมื่อท้าวพลียึดสวรรค์มาครอบครองได้สำเร็จแล้ว ก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจอมเทพ แต่พระศุกร์ผู้เป็นอาจารย์ก็แนะนำว่าการที่ท้าวพลี จะขึ้นมาครองตำแหน่งเจ้าแห่งสวรรค์แทนพระอินทร์ให้ได้นั้น ท้าวพลีจะต้องประกอบมหายัชญพิธีหนึ่งขึ้นเสียก่อน จึงจะสามารถแทนที่พระอินทร์ ได้อย่างสมบูรณ์ถูกต้องตามหลักในฤคเวท คือ "พิธีอัศวเมธ" เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ขึ้นเป็นมหาจักรพรรดิ และเพื่อบูชาแสดงความภักดีแด่พระผู้เป็นเจ้า โดยจะนำม้าที่มีอายุมากกว่า 24 ปีมาทำพิธี แล้วปล่อยม้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วให้ม้านั้นวิ่งไปตามใจชอบเป็นเวลาหนึ่งปี ถ้าม้านั้นวิ่งผ่านดินแดนใด เจ้าผู้ครองนครแห่งนั้นต้องออกมาต้อนรับ และถวายบรรณาการแด่พระราชาเจ้าของม้านั้น อันแสดงถึงการยอมรับในอำนาจและบารมี แต่ถ้าราชาของดินแดนนั้นไม่ยอมรับ เขาก็จะขัดขืนด้วยการจับม้าที่ใช้ในพิธีนี้กักไว้แล้วทำสงครามกัน.
พระศุกร์ได้แนะนำให้ท้าวพลีทำพิธีอัศวเมธให้ครบ 100 ครั้ง เพื่อที่จะได้ขึ้นครองเป็นใหญ่ในสวรรค์อย่างถูกต้องตามหลักพระเวทโบราณ แล้วพระอินทร์หรือเทพเจ้าองค์ใดก็จะไม่สามารถมาคัดค้านได้อีก หลายครั้งที่มีผู้ทำพิธีอัศวเมธ เกือบครบ 100 ครั้งแล้ว พระอินทร์มักเข้ามาขัดขวางพิธี เพื่อไม่ให้พระองค์ต้องหลุดจากตำแหน่ง เมื่อจักรพรรดิผู้นั้นทำพิธีอัศวเมธนี้ครบ 100 ครั้งโดยสมบูรณ์ ครั้งนี้ก็เช่นกันเมื่อท้าวพลีได้ทำพิธีอัศวเมธมาถึง 99 ครั้งแล้ว จึงเริ่มประกอบพิธีอัศวเมธในครั้งที่ 100 ณ ริมฝั่งแม่น้ำนรรมะทา แล้วในระหว่างที่กำลังเริ่มประกอบพิธีกรรมนั้น ท้าวพลีเชิญพราหมณ์จากทั่วชมพูทวีปมาร่วมพิธีถวายทานก่อนที่จะทำการปล่อยม้าอุปการ.
ในครั้งนั้น วามนก็ได้เดินทางมาร่วมพิธีนี้ด้วย แล้วการต้อนรับพราหมณ์นั้น ท้าวพลีจะต้องนำน้ำมาล้างเท้าให้พราหมณ์ผู้มาร่วมพิธี แล้วจะรองน้ำที่ชำระเท้าของพราหมณ์นั้นมารดที่ศีรษะของตน เพื่อให้เกิดสิริมงคล ก่อนที่จะทำการบริจาคทานต่อไป เมื่อเสร็จสิ้น แล้วท้าวพลีจึงเอ่ยปากถามพราหมณ์แคระวามนว่าปรารถนาสิ่งใดเป็นการตอบแทน พระนารายณ์ซึ่งอวตารลงมาในรูปของพราหมณ์แคระวามน จึงตรัสตอบไปว่า "ในบรรดาทรัพย์สินอันมีค่าของพระองค์ทั้งหมดนั้นเราหาได้ปรารถนาไม่ เราปรารถนาเพียงแต่แผ่นดินเพียงแค่ย่างสามก้าวก็เพียงพอแล้ว" ท้าวพลีได้ฟังดังนั้นก็หลงกลอุบายของพระนารายณ์อวตาร เพราะคิดว่าเป็นเพียงย่างสามก้าวของพราหมณ์แคระเท่านั้นจะมากมายอะไร จึงตบปากรับคำว่าจะถวายที่ดินเพียงสามก้าวนั้นให้เป็นค่าทักษิณาพราหมณ์ ว่าแล้วก็ยกคณโฑน้ำขึ้นเพื่อหลั่งลงพื้นดิน อันเป็นการประกาศว่าตนนั้นได้ทำพิธีถวายทานแด่พราหมณ์โดยไม่สามารถเรียกคืนได้อีก ฝ่ายพระศุกราจารย์ เห็นภาพวามนมีสี่กรถือสังข์กับจักรก็รู้ทันทีว่าเป็นพระนารายณ์อวตารมา จึงรีบแปลงกายเข้าไปอุดน้ำปากคณโฑนั้น ก่อนที่ท้าวพลีจะหลั่งน้ำถวายทาน ท้าวพลีจะหลั่งน้ำเท่าใดก็หลั่งไม่ออก ฝ่ายพราหมณ์วามนก็รู้ทันพระศุกร์ จึงได้นำยอดหญ้าคาแยงเข้าไปในปากคณโฑ ไปถูกลูกตาของพระศุกร์ จนพระศุกร์นั้นทนเจ็บปวดไม่ไหวจนต้องยอมออกมาจากคณโฑ วามนจึงรีบแบมือรับน้ำอุทิศแล้วสำแดงเดชปรากฎกายใหญ่โตมหึมาสูงสุดลูกหูลูกตาในทันที.
ทางประตูด้านทิศตะวันตกของปราสาทบายน เมืองพระนคร เสียมราฐ ประเทศกัมพูชานั้น มีรูปสลักหินทรายของพราหมณ์วามน ประดิษฐานอยู่, ถ่ายไว้เมื่อ 9 มิถุนายน 2562.
แล้วเริ่มย่างก้าวที่หนึ่งครอบคลุมไปทั้งโลกมนุษย์ ส่วนก้าวที่สองก็ครอบคลุมไปสิ้นทั้งสรวงสวรรค์ จากนั้นพระนารายณ์ในร่างอวตารของพราหมณ์แคระจึงทรงหันมาถามท้าวพลีก่อนจะทรงย่างก้าวครั้งที่สามว่า "จะให้เราวางบาทก้าวที่สามนี้ไว้ ณ ที่ใด" ท้าวพลีจึงทูลตอบไปว่า "โอ้พระผู้เป็นเจ้า เพียงย่างก้าวแค่สองก้าวนั้น ก็ครอบคลุมไปทั่วทั้งจักรวาลแล้ว ย่างก้าวที่เหลือของพระองค์ทรงโปรดมาประทับอยู่บนเศียรของหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันผิดเองที่หลงมัวเมาในอำนาจว่าตนนั้นยิ่งใหญ่หาผู้ใดเทียบเทียมได้ ดังนั้นพระบาทก้าวที่สามของพระองค์นั้นโปรดมาประทับ ยังเศียรของหม่อมฉันจึงจะควรที่สุดแล้ว".
พระนารายณ์อวตารได้ฟังเช่นนั้นก็พอพระทัยที่ทรงทราบว่าท้าวพลีได้สำนึกตนแล้ว จึงวางพระบาทก้าวที่สามไว้บนเศียรของท้าวพลี พร้อมตรัสขึ้นว่า "มหาพลี เดิมเจ้านั้นเป็นราชาแห่งแทตย์ที่อยู่ในศีลในธรรม อีกทั้งพระอัยกาประหลาท (ปู่) ของเจ้าก็เป็นสาวกผู้ภักดีของเรา แต่ด้วยเจ้านั้นหลงมัวเมาในอวิชชาชั่วขณะ จึงได้เกิดความคิดที่ผิดธรรมขึ้น แต่เจ้าก้ได้ทำมหาทานครั้งยิ่งใหญ่ด้วยการถวายทานแก่เราเป็นแผ่นดินสามย่างก้าว ดังนั้นเราจะเหลือโลกบาดาลไว้ให้เจ้าปกครองแทน".
ว่าแล้วพระนารายณ์อวตาร จึงทรงวางพระบาทลงบนเศียรของท้าวพลี แล้วกดลงสู่โลกบาดาลในทันที พร้อมตรัสอีกว่าในกาลต่อไปภายภาคหน้า เมื่อพระอินทร์องค์เดิมหมดบุญบารมีแล้ว ท้าวพลีจะได้ขึ้นมาปกครองสวรรค์แทน ท้าวพลีจึงทำการสวดมนต์สรรเสริญบูชาพระนารายณ์เจ้าในทันที แล้วรับปากว่าจะประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรมตลอดไปตามโอวาทของพระนารายณ์เจ้า เมื่อท้าวพลีถูกกดลงสู่โลกบาดาลแล้ว ทุกอย่างในจักรวาลก็กลับมาเป็นปกติสุขอีกครั้ง พระอินทร์ก็เสด็จกลับมาปกครองสวรรค์ดังเดิม พร้อมพระนารายณ์เจ้าก็เสด็จกลับสู่ไวกูณฐ์ในทันทีที่เสร็จกิจ เรื่องพระนารายณ์อวตารมาเป็นพราหมณ์แคระวามนก็จบเพียงเท่านี้.
และนี่ก็เป็นที่มาของวลีว่า "ย่างสามขุม" เป็นท่าหนึ่งในกระบวนแม่ไม้มวยไทยและยังเป็นการใช้วามนแทนความอ่อนน้อมถ่อมตน และการไม่ดูถูกผู้ที่ต้อยต่ำกว่า จึงนับเป็นอวตารที่มีความหมายลึกซึ้งมาก อวตารหนึ่ง.
ที่มา คำศัพท์ และคำอธิบาย:
01. จาก. web.facebook.com/AsianStudiesTH/photos/pb... ,วันที่สืบค้น 25 พฤศจิกายน 2558.